ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 11-12 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 11-12 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 12

รอยแผลที่คอของเว่ยจี่ตกสะเก็ดแล้ว แต่เนื้อหนังรอบๆ ยังบวมแดง เห็นได้ชัดว่าเป็นแผลที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ฉู่เซ่าหลิงสั่งคนให้ยกเตากำยานเข้ามาสองใบ พูดเสียงหนัก “ในห้องไม่หนาว เจ้าถอดเสื้อผ้าออก ให้ข้าดูหน่อย”

ตอนแรกเว่ยจี่ไม่กล้าถอด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นฉู่เซ่าหลิงพูดกับเขาด้วยสายตาเช่นนี้ ทำให้เขานึกหวาดจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกอย่างลังเล พอเสื้อนวมหลุดออกไปกลิ่นยาจางๆ ก็โชยออกมา เว่ยจี่ยังสวมเสื้อตัวในเนื้อบาง เขามองฉู่เซ่าหลิงด้วยสายตาลังเล ฉู่เซ่าหลิงเดินเข้ามาเปิดเสื้อตัวในของเว่ยจี่ออก สายตาทวีความเยียบเย็น เพราะร่างบางๆ ตรงหน้าถูกตีจนเป็นแผลหลายสิบแผล แผลหนึ่งบนหลังยังมีเลือดซึม ฉู่เซ่าหลิงใช้ปลายนิ้วแตะยาที่ทาอยู่บนแผลของเว่ยจี่ เม้มริมฝีปากเล็กน้อย พบว่ามันคือผงยาห้ามเลือดทั่วไป

ฉู่เซ่าหลิงสั่งให้คนเอายาสมานแผลมา นางกำนัลก็ยกเข้ามาให้อย่างรวดเร็ว ฉู่เซ่าหลิงให้คนออกไปก่อนหยิบผ้าสะอาดมาเช็ดยาบนตัวของเว่ยจี่ด้วยตัวเอง เว่ยจี่อยากปฏิเสธ แต่พอเห็นสีหน้าน่ากลัวของฉู่เซ่าหลิงแล้ว เขาก็ไม่กล้าพูด

ฉู่เซ่าหลิงพยายามเบามืออย่างเต็มที่ พูดเสียงเบาๆ ว่า “ยาที่เจ้าทามีสรรพคุณแค่ห้ามเลือด แต่ไม่ได้ระงับอาการปวด หากดูแลไม่ดีจะทิ้งรอยแผลเป็น มา…”

ฉู่เซ่าหลิงดึงตัวเว่ยจี่ให้นั่งลงเพื่อทายาให้อีกฝ่ายด้วยตัวเอง เนื้อยาใสให้ความรู้สึกเย็นจนเว่ยจี่ตัวสั่น ฉู่เซ่าหลิงดึงผ้าห่มบนเตียงมาคลุมตัวเว่ยจี่ไว้ ถามเสียงเบา “ผู้ใดตีเจ้า”

เว่ยจี่ก้มหน้า เขาได้ยินแต่กลับสั่นศีรษะ ไม่พูดคำใด

ฉู่เซ่าหลิงไม่คาดคั้น แต่ทายาเบามือกว่าเดิมและดูแลแผลบนร่างของเด็กหนุ่มอย่างละเอียดก่อนถามว่า “ท่อนล่างมีแผลหรือไม่”

เว่ยจี่เปลือยท่อนบน แต่ยังสวมกางเกงท่อนล่างไว้อย่างดี วาจาประโยคนี้ทำให้เขาวางสีหน้าลำบาก รีบสั่นศีรษะ “ไม่มีขอรับ”

ฉู่เซ่าหลิงผงกศีรษะ วางยาไว้ที่ด้านข้าง หยิบผ้ามาเช็ดมือ พูดเสียงเบา “ถ้าไม่หนาวก็ตากลมก่อน ขืนใส่เสื้อผ้าจะเช็ดยาออกหมด”

เว่ยจี่ค่อนข้างอึดอัด เขาจับผ้าห่มในมือไว้อย่างไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ฉู่เซ่าหลิงหลับตาถามอย่างอดทนอีกครั้ง “แผลนี้มาได้อย่างไร”

เว่ยจี่หลุบตา ไม่เอ่ยคำ ฉู่เซ่าหลิงจึงหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าคิดว่าไม่พูดแล้วข้าจะตรวจสอบไม่ได้หรือ เว่ยจี่…นิสัยข้ามิได้ดีนักหรอกนะ”

เว่ยจี่เม้มริมฝีปาก ดวงตาแดงเรื่อ

เมื่อวานเว่ยหมิงเรียกเว่ยจี่ไปพบที่ห้องหนังสือ มอบตั๋วแลกเงินให้เว่ยจี่หนึ่งปึกเพื่อให้เขานำไปมอบให้ฉู่เซ่าหลิง แม้เว่ยจี่จะรู้สึกไม่ค่อยดีแต่ก็ยอมรับคำ เพราะเขาเพิ่งรู้เรื่องของเว่ยจั้น แต่ไม่แน่ใจว่าฉู่เซ่าหลิงมีส่วนช่วยด้วยหรือไม่ ทว่าการที่ตนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเพราะความกรุณาของฉู่เซ่าหลิงล้วนๆ การแสดงความเคารพด้วยการมอบตั๋วแลกเงินจึงเป็นสิ่งที่เว่ยจี่ยอมรับได้ เขาจึงรับมันมาอย่างว่าง่าย

มีหลายเรื่องที่เว่ยจี่คิดไม่ถึง แต่เว่ยหมิงแค่มองก็เข้าใจ ตำแหน่งผู้บัญชาการค่ายเซียวฉีของเว่ยจั้นนั้นจื่อจวินโหวเป็นผู้เสนอ จื่อจวินโหวเป็นท่านตาขององค์ชายใหญ่ฉู่เซ่าหลิง และบุตรชายคนเล็กของเขาเว่ยจี่ก็ทำงานอยู่ในอุทยานปี้เทา ไม่ว่าเว่ยจี่จะเป็นที่โปรดปรานขององค์ชายใหญ่ด้วยสาเหตุใด เวลานี้สกุลเว่ยก็กลายเป็นเครื่องหมายขององค์ชายใหญ่ไปแล้ว

เว่ยหมิงไม่แน่ใจว่าเหตุใดจู่ๆ องค์ชายใหญ่ถึงได้ยกย่องครอบครัวของเขาขึ้นมา สกุลเว่ยเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ที่กำลังค่อยๆ หมดอำนาจ เมื่อบรรดาศักดิ์มาถึงตนก็เหลือเพียงตำแหน่งแม่ทัพขั้นที่หนึ่ง บุตรชายสองคนอายุยังน้อย คนในตระกูลที่รุ่นเดียวกันก็ไม่มีความสามารถโดดเด่น คิดอย่างไรก็ไม่มีค่าคู่ควรให้ฉู่เซ่าหลิงให้ความสำคัญ แต่คิดไม่ออกก็ส่วนคิดไม่ออก เว่ยหมิงยังคงปลื้มปีติยินดีอย่างมาก

หลังปีใหม่ราชสำนักจะส่งขุนนางกลุ่มหนึ่งออกไปตรวจการ นี่เป็นงานที่ดีงานหนึ่ง แค่ออกไปรอบเดียวก็สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ไม่น้อย กลับมาหน้าที่การงานย่อมมีการขยับอีก เว่ยหมิงว่างงานอยู่ในกรมปกครองมาตลอด เขาจึงปรารถนาที่จะได้งานนี้มาหลายปีแล้ว เสียดายที่ไม่มีคนช่วยพูดให้ได้ มาวันนี้เมื่อได้ขึ้นสำเภาใหญ่อย่างฉู่เซ่าหลิงเขาจึงเกิดปัญญา หลังมอบตั๋วแลกเงินจำนวนมหาศาลให้ เว่ยหมิงก็พูดถึงงานตรวจการหลังปีใหม่ เว่ยหมิงสั่งเว่ยจี่ให้หาจังหวะเหมาะคุยกับฉู่เซ่าหลิงเรื่องนี้ เว่ยหมิงไม่กล้าคิดถึงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารระดับมณฑลหรือผู้ว่าการมณฑล แต่เขาได้ยินว่าผู้ว่าการมณฑลซานตงกล่าวว่ายังขาดนักปกครองอีกหลายคน เว่ยหมิงจึงมาดหมายตำแหน่งนี้

เว่ยจี่ไม่มีความทะเยอทะยานในงานของทางการ แต่ในฐานะทายาทตระกูลขุนนาง เขาย่อมพอรู้เรื่องนี้บ้าง

นักปกครองต้องติดต่อกับขุนนางท้องถิ่นโดยตรง ค่าน้ำร้อนน้ำชาที่ได้จึงไม่น้อย ไม่รู้ว่ามีคนกี่คนที่จดจ้องตำแหน่งนี้ ไม่เพียงเท่านี้เว่ยจี่รู้จักบิดาของตนดีว่าเว่ยหมิงเป็นคนที่มีนิสัยดื้อรั้น ไม่เหมาะกับการทำงานใหญ่ หากเกิดข้อผิดพลาดไม่เพียงจะเดือดร้อนไปถึงฉู่เซ่าหลิง ตัวเว่ยหมิงเองก็ต้องได้รับโทษ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่เหมาะสม เว่ยจี่หวังเพียงให้คนในครอบครัวอยู่ดีมีสุข ไม่ปรารถนาความยิ่งใหญ่ เขาจึงพูดกล่อมเว่ยหมิงหลายประโยค แต่ไม่รู้ว่าประโยคใดเกิดไปจี้ใจเว่ยหมิงจนเดือดดาลขึ้นมา เอาแต่บอกว่าเดี๋ยวนี้เว่ยจี่กลายเป็นขุนนางใหญ่ ไม่เห็นบิดาอยู่ในสายตา พอคว้าแส้ปัดได้ก็ฟาด เว่ยจี่พูดไม่เก่งและพูดเอาตัวรอดไม่ออก ได้แต่ยอมรับการตี

โชคดีที่เจียงฮูหยินตามมาได้ยินจึงรีบเข้ามาขวาง นางร่ำไห้อ้อนวอนอยู่พักหนึ่ง เว่ยหมิงเกรงว่าหากฉู่เซ่าหลิงเห็นแผลบนตัวของเว่ยจี่แล้วจะแก้ตัวไม่ขึ้นจึงหยุดมือไว้

เว่ยจี่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางปิดบังเรื่องนี้จากฉู่เซ่าหลิงได้ แต่เพราะยังกลัวเว่ยหมิงจึงต้องมาขอร้องฉู่เซ่าหลิงที่พูดด้วยได้ง่ายกว่า “ขอร้ององค์ชาย…อย่าได้รับปากท่านพ่อ ท่านพ่ออายุมากแล้ว ไม่เคยต้องวิ่งวุ่นไปที่ใด…”

ฉู่เซ่าหลิงระบายลมหายใจ เขาเข้าใจว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ที่แท้ก็เพราะตำแหน่งนักปกครองเป็นเหตุ แม้จะฟังขึ้น แต่การที่เว่ยจี่ถูกตีมันทำให้ฉู่เซ่าหลิงต้องหาคนมาระบายโทสะ ทันทีที่ได้ยินว่าเว่ยหมิงคุยด้วยไม่ง่ายเขาก็เริ่มวางแผนในใจด้วยการตะล่อมเว่ยจี่ “วางใจเถอะ…ข้ามีแผน บิดาเจ้า…ช่างเถอะ”

ฉู่เซ่าหลิงเจ็บปวดที่เว่ยจี่ต้องทนรับความน้อยเนื้อต่ำใจ เขาจึงรั้งร่างอีกฝ่ายเข้ามากอดอย่างระมัดระวัง พูดเสียงเบา “เหตุใดเจ้าถึงได้ซื่อบื้อเพียงนี้ ทนถูกตีได้อย่างไร วิ่งหนีไม่เป็นหรือ”

เว่ยจี่ถูกห่ออยู่ในผ้านวม โผล่ออกมาแต่ศีรษะ เขาถามเสียงค่อย “ท่านพ่อตีข้า…จะหนีได้อย่างไร”

“หืม?” ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “หากข้าตีเจ้าเล่า จะหลบหรือไม่”

ริมฝีปากบางของฉู่เซ่าหลิงปัดผ่านติ่งหูของเว่ยจี่ ทำให้เด็กหนุ่มหน้าแดง เขาสั่นศีรษะ “ไม่หลบขอรับ”

ฉู่เซ่าหลิงพอใจ เอ่ยอบรมด้วยเสียงแผ่ว “จำไว้นะ ต่อไปห้ามหนีหน้าข้า แต่ไม่ว่าผู้อื่นจะตีหรือแตะต้องเจ้า ไม่ว่าจะเป็นใคร ให้วิ่งหนีไปซ่อนไกลๆ ได้ยินหรือไม่”

เว่ยจี่อึ้ง คำพูดประโยคนี้ฟังดูแปลกๆ หรือต่อไปหากท่านพ่อจะตีเขาก็ให้หนีไปดื้อๆ เลยเช่นนั้นหรือ จริงอยู่ที่เว่ยหมิงอาจจะไม่ไล่ตามเขา ทว่าการวิ่งหนีไปย่อมทำให้คลี่คลายปัญหาได้ลำบาก แต่เขาต้องเชื่อฟังคำพูดของฉู่เซ่าหลิง เว่ยจี่จึงผงกศีรษะ จดจำใส่ใจ

ฉู่เซ่าหลิงพอใจสีหน้าจริงจังเช่นนี้ของเขา แม้จะดูน่าสนุกน้อยลงแต่นี่คือความน่ารักของเว่ยจี่ ฉู่เซ่าหลิงขำเล็กน้อยก่อนเอ่ย “เมื่อครู่ข้าล้อเจ้าเล่นหรอก ข้าจะตีเจ้าได้อย่างไร หากเจ้าไม่เชื่อฟัง ข้าย่อมมีวิธีอื่นมาทรมานเจ้า…” ฉู่เซ่าหลิงลดเสียงลง เขาจุมพิตติ่งหูของเว่ยจี่ ทำให้แก้มของอีกฝ่ายแดงร้อนขึ้นทันที ได้แต่ทำเสียงอู้อี้

ฉู่เซ่าหลิงอารมณ์ดีขึ้นมาก เขาหัวเราะเบาๆ “ถูกเจ้ากวนจนเกือบลืมเรื่องสำคัญ ข้าเห็นในหีบหนังสือเจ้ามีแต่ตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ หนังสือของอู๋ฉี่* เจ้าชอบตำราทหารหรือ”

เว่ยจี่พยักหน้า พูดเสียงค่อย “ชอบขอรับ ตอนเด็กๆ เวลาไม่มีอะไรทำ ข้าจะไปอ่านตำราทหารของพี่ใหญ่ รู้สึกว่า…สนุกมาก”

“หากชอบ ต่อไปเจ้าไปอ่านในห้องหนังสือของข้าได้ ข้ามีหนังสือที่เจ้ายังไม่เคยอ่านอีก” ฉู่เซ่าหลิงเห็นยาบนตัวของเว่ยจี่เริ่มแห้งแล้วก็หยิบเสื้อของตัวเองมาคลุมให้เขา “เมื่อวานข้าไปหาจางลี่เฟิงมา เจ้ารู้จักคนผู้นี้หรือไม่”

เว่ยจี่ผงกศีรษะ “รู้จักขอรับ! แม่ทัพใหญ่จางที่ปราบปรามความไม่สงบทางตะวันตกเฉียงเหนือ”

“สกุลจางมีสายสัมพันธ์กับสกุลของมารดาข้า จางลี่เฟิงจึงเป็นกึ่งๆ อาจารย์ของข้า ข้าไปหาเขาเพื่อขอให้เขามาสอนวิชาการทหารให้แก่เจ้าดีหรือไม่”

เว่ยจี่เบิกตาโต “ให้แม่ทัพจางสอนข้า? จะเป็นไปได้อย่างไร…”

“เหตุใดจะเป็นไปไม่ได้” ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “ต่อไปเขาจะเข้าวังมาสอนวิชาการทหารให้เจ้าทุกวัน ข้าฟังเรื่องพวกนั้นจนเบื่อแล้ว หากเจ้าชอบก็ตั้งใจเรียนให้ดี รับรองว่าต้องมีประโยชน์ ข้าคุยกับเขาแล้ว”

เว่ยจี่ยังตั้งตัวไม่ทัน ทว่าแววตากลับเปล่งประกายด้วยความสุข “จะเป็นไปได้อย่างไร แม่ทัพใหญ่ผู้เคยทำศึกผู้นั้น…”

ฉู่เซ่าหลิงลูบศีรษะเว่ยจี่ยิ้มๆ ขณะนั้นมีเสียงนางกำนัลดังมาจากนอกห้องอุ่นว่า “องค์ชายเพคะ ยามสอง แล้ว”

ฉู่เซ่าหลิงรับคำก่อนเอ่ยว่า “เปลี่ยนผ้าห่ม”

พอนางกำนัลได้ยินก็รีบออกไปเปิดตู้หยิบผ้าห่มมา แต่ละคนล้วนเป็นนางกำนัลรุ่นใหญ่ที่รับใช้อยู่ข้างกายฉู่เซ่าหลิงมานานหลายปี และได้รับคำสั่งมาจากหวังมู่หานจึงไม่จำเป็นต้องให้ฉู่เซ่าหลิงพูดมาก นางกำนัลสองคนหอบเอาผ้าห่มผืนใหญ่เท่าเตียงกับหมอนใบใหญ่เข้ามา เว่ยจี่คิดไม่ถึงว่านางกำนัลจะตรงเข้ามาเช่นนี้เลยหน้าแดง เขากำลังเปลือยท่อนบน อยากหลบแต่ไม่มีที่ให้หลบ ได้แต่มองฉู่เซ่าหลิงด้วยใบหน้าแดงก่ำ นางกำนัลสองคนทำเหมือนไม่เห็นเว่ยจี่บนเตียง พวกนางเปลี่ยนผ้าห่มวางหมอนอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ก้มศีรษะ ย่อตัวแล้วถอยออกไป

ฉู่เซ่าหลิงมองท่าทีเขินอายของเว่ยจี่แล้วก็หัวเราะ “วันนี้เจ้านอนกับข้า เรือนบริวารของเจ้าทั้งมืดทั้งหนาว ไม่เหมาะกับการรักษาบาดแผล”

“จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร” เว่ยจี่เกรงว่านอกห้องจะยังมีนางกำนัลคอยเฝ้าจึงพูดเสียงเบาอย่างร้อนใจ “เกิดมีคนรู้แล้วเอาองค์ชายไปพูด…”

“เสื้อผ้าเจ้าถูกพวกนางเก็บไปหมดแล้ว เจ้าจะเดินตัวเปล่ากลับไปหรือ” ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “ในอุทยานปี้เทาไม่มีผู้ใดกล้าเอาเรื่องภายในออกไปพูดข้างนอก อีกอย่าง…ข้าไม่เคยกลัวว่าจะโดนผู้อื่นพูดว่าอะไร”

ทันใดนั้นเว่ยจี่ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าที่ตนถอดออกไปก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้วจริงๆ นอกจากห่อตัวด้วยผ้าห่มทั้งหน้าแดงๆ เขาก็ไม่มีวิธีอื่น ฉู่เซ่าหลิงขำพลางรั้งตัวเว่ยจี่ลงนอน พูดปลอบว่า “เอาล่ะๆ คอยให้แผลเจ้าหายก่อน ข้าจะปล่อยเจ้ากลับ นอนเถอะ…”

หลังหลอกล่อคนขึ้นเตียงมาได้ ฉู่เซ่าหลิงรู้สึกสบายใจมาก ไม่นานก็หลับไป สงสารก็แต่เว่ยจี่ที่เอาแต่หน้าแดง ในอกก็เหมือนมีกระต่ายกระโดดไปมาอยู่ในอกตลอดเวลา จนยามสามเขาถึงทนไม่ไหวค่อยผล็อยหลับไป

วันต่อมาฉู่เซ่าหลิงก็ไปบอกกล่าวคนของกรมปกครองด้วยวาจาเพื่อขอตำแหน่งนักปกครองประจำซานตงให้แก่เว่ยหมิงหนึ่งตำแหน่ง

ในเมื่อเว่ยหมิงอยากออกไปข้างนอก เขาก็จะให้อีกฝ่ายไป เพราะถ้าเจ้าตัวอยู่ในบ้านทั้งวันแล้วเกิดต่อยตีเว่ยจี่ขึ้นมาจะทำอย่างไร ฉู่เซ่าหลิงไม่สามารถเก็บตัวเว่ยจี่ไว้ ไม่ให้กลับบ้านในวันหยุดได้ ส่วนเรื่องที่ว่าจะให้เว่ยหมิงได้กลับมาเมื่อใด เขาไม่มีทางตามใจเว่ยหมิงแน่นอน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทที่ 13-14 ได้ในวันที่ 17 .. 64

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-1

บทที่ 27-1 หวงปอรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานาน แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกไป๋ตันหย่งที่ยืนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของฮ่องเต้มาตั้งแต...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 125

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า หลายวันก่อนตอนรอเขากลับมา ซูเสวี่ยจื้อเคยมโนภาพหลายครั้งมากว่าคนทั้งคู่จะพบหน้ากันแบบไหน แต่เธอค...

community.jamsai.com