ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 17 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 17 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

เรือล่องเมฆาบดบังตะวัน ทำให้ตำหนักกลางกับลานหน้าตำหนักถูกปกคลุมอยู่ใต้เงามืดหนาหนัก

แขกมาจากแดนไกลแทนที่จะจอดเวทศัสตราลงพื้น แต่กลับปล่อยมันลอยค้างอยู่กลางอากาศเช่นนี้ เดิมเท่ากับมิให้เกียรติอีกฝ่าย

ทว่าเพราะแขกที่มาเป็นศิษย์พี่ร่วมสำนักของจี้เซียวเจินเหริน เรื่องนี้จึงพออภัยให้กันได้

หลังเซียวถิงอวิ๋นขึ้นเขา เจ้าสำนักเจี้ยนเวยเจินเหรินก็เรียกประมุขยอดเขาทุกคนมาพูดคุยปรึกษาหารือกัน

‘ร่างสถิตวิญญาณกระบี่แต่กำเนิดได้ถือกำเนิดแล้ว พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร’

ประมุขยอดเขาจื่อเยียนเอ่ยปากขึ้นก่อน ‘ข้าคิดว่าเรื่องนี้มีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล ลางสังหรณ์’

สิ่งนี้มิใช่ลางสังหรณ์ของอิสตรี แต่ลางสังหรณ์ของผู้บำเพ็ญพรตคือท่าทีตอบสนองล้ำลึกต่อการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินท่ามกลางสถานการณ์ยากจะเข้าใจ

ประมุขยอดเขาหลิวหลันถาม ‘เจ้าว่าบนตัวเขามีอะไรผิดแปลกอย่างนั้นหรือ หรือว่าเขาเป็นสายที่สำนักอื่นส่งมา?’

‘ข้ามิได้กล่าวเช่นนั้น เพียงแต่จี้เซียวสิ้นชีพไม่นาน การประลองแดนสนธยาฮั่นไห่ก็กำลังจะมาถึง ยามนี้สายตาผู้คนที่จับจ้องมาที่หานซานมีไม่น้อย ช่วงเวลาพิเศษเช่นนี้ พวกเราระวังตัวสักหน่อยเป็นดี’

เจินเหรินเจ้าสำนักพูดอย่างลังเล ‘ตอนเขาขึ้นเขามา ข้ายืนมองดูเขาจากบนเมฆอยู่เป็นนาน ไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด’

ประมุขยอดเขาจ้งปี้กล่าว ‘ลองคิดหาวิธีดูก็แล้วกัน ในเมื่อพวกเราดูเขาไม่ออก เช่นนั้นมิสู้หาใครสักคนมาช่วยดู’

หากจะพูดถึงความสามารถในการอนุมานทำนาย อ่านพลังล่วงรู้ตัวตนแล้ว เจ้าสำนักอู้อิ่นกวนนับว่ามีฝีมือสูงส่ง หากแต่สัมพันธ์ระหว่างอู้อิ่นกวนกับหมิงเยวี่ยหูใกล้ชิดสนิทสนมกันมาแต่ไหนแต่ไร

‘ผู้สูงส่ง’ ที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับหานซานอีกทั้งยังเชี่ยวชาญทักษะการอ่านพลัง ย่อมหนีไม่พ้นประมุขแดนสรวงผู้พำนักอยู่ลึกเข้าไปในม่านเมฆเหนือทะเลหนานไห่

ประมุขแดนสรวงนามหูซื่อเคยให้สัตย์สาบานว่าจะไม่เหยียบเข้าหานซานอีกแม้เพียงครึ่งก้าว

เขายึดมั่นต่อคำสัตย์นี้อย่างที่สุด หลังจี้เซียวสิ้นชีพ ผู้คนจากสำนักต่างๆ พากันมารวมตัวร่วมพิธีเซ่นไหว้ยังศาลบรรพชน มีเพียงเขาเท่านั้นที่ไม่มา

วันนี้เขาตกลงนัดหมายกับเจ้าสำนัก เรือล่องเมฆาลอยค้างอยู่กลางนภาไม่ลงจอด ไหนเลยจะนับเป็นการ ‘เหยียบเข้าหานซาน’ ได้

หูซื่อไม่ได้แตกหักกับหานซาน หากแต่แตกหักกับผู้เป็นอาจารย์ลุงอย่างอาวุโสไท่ซั่งจั่งเหล่าแห่งหานซาน

ยามนี้อาวุโสไท่ซั่งจั่งเหล่าอายุห้าร้อยหกสิบปีแล้ว บางคนอายุยืนยาวถึงยามนี้ใช้ชีวิตมีแต่จะยิ่งทรงภูมิปัญญา ทว่าบางคนกลับตรงกันข้าม หากมิได้ข้องแวะกับเรื่องส่วนตัวของคนหนุ่มสาว ก็ราวกับเขาสูญเสียความอภิรมย์ในชีวิตจนหมดสิ้น หากเทียบกับโลกมนุษย์ เขาก็ไม่ต่างอันใดกับผู้เฒ่าที่เฝ้าเร่งรัดให้เด็กหนุ่มเด็กสาวข้างบ้านรีบแต่งงาน

ตอนจี้เซียวจับคู่ร่วมบำเพ็ญ ไท่ซั่งจั่งเหล่าได้ตามเจินเหรินเจ้าสำนักมาฟังโอวาท ‘จี้เซียวมีใจมุ่งมั่นอยู่ในมรรคาวิถีมาแต่เล็ก ใครเล่าจะไปนึกว่าสุดท้ายเขากลับแปดเปื้อนธุลีแดงพื้นๆ หาไม่แล้วคงมีหวังที่จะได้ก้าวเป็นผู้สำเร็จมรรคผลขึ้นสู่แดนสวรรค์เป็นคนแรกของโลกใบนี้’

คำตำหนิเมิ่งเสวี่ยหลี่ว่าเป็นพวก ‘พื้นๆ’ นั้นอันที่จริงซ่อนความหมายแฝงไว้ว่าจี้เซียวถูกลิขิตเอาไว้แล้วว่าจะไม่มีวันสำเร็จมรรคผลขึ้นเป็นเซียนได้ ทว่าเพียรบำเพ็ญของจี้เซียวนั้นสูงกว่าตน คำพูดเช่นนี้ไหนเลยจะกล่าวต่อหน้าจี้เซียวได้

ร้อยกว่าปีก่อน หูซื่อมิได้โชคดีเช่นนี้

เขาไม่ฝึกกระบี่ เพียงจมอยู่กับศาสตร์ปลีกย่อยของผู้บำเพ็ญพรตต่างๆ อย่างการปรุงโอสถวิเศษ หลอมเวทศัสตรา อนุมานอ่านพลัง วันที่เขารู้แจ้งนั้นหานซานร้างไร้เงากระบี่ จะมีก็แต่รัศมีสีแดงสว่างพร่างพรายราวกับเปลวไฟในเตาหลอมโอสถ

อาวุโสไท่ซั่งจั่งเหล่ามาพร้อมกับรัศมีสีแดง กล่าวตำหนิเขาต่อหน้า ‘รู้แจ้งรวดเร็วแล้วเช่นไร หานซานของพวกเราเป็นสำนักกระบี่ เจ้าไม่ใช้กระบี่ ไหนเลยจะมีคุณสมบัติเป็นศิษย์ของหานซานได้ หากอาจารย์เจ้ายังอยู่แล้วรู้ว่าจะมีวันนี้ เขาย่อมต้องนึกเสียใจที่รับเจ้าเข้าสำนัก!’

ยามนั้นหูซื่ออายุยังน้อยไม่รู้จักการสังสรรค์พบปะผู้คน อารมณ์ร้อนไม่ยอมคน จึงลั่นคำสาบานเดินจากไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง กว่าจี้เซียวจะปราบมารกลับมา เรื่องราวก็ไม่อาจแก้ไขอันใดได้แล้ว

หลังไปจากหานซาน หูซื่อก็ก่อความวุ่นวายไปทั่ว ทำตัวกำเริบเสิบสาน มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาถึงกับเปลี่ยนไปบำเพ็ญ ‘เมถุนธรรม’* เลี้ยงดูหนุ่มสาวรูปร่างหน้าตางดงามจำนวนมากไว้ที่มหรรณพแดนสรวง บรรเลงขับขานบทเพลง

ถึงเขาจะหันหลังให้กับมรรคาวิถี ทว่าสภาวะกลับสูงส่ง แม้ไม่ข้องแวะกับเรื่องราวทางโลก แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากเดินทางมาขอโอสถวิเศษเวทศัสตรากับเขาเสมอ ด้วยเหตุนี้มหรรณพแดนสรวงจึงมีแต่รุ่งเรืองมิเสื่อมทราม

 

ครั้นหัวหน้าฝ่ายการกิจขี่กระบี่เข้าใกล้เรือล่องเมฆา โฉมสะคราญกลุ่มหนึ่งก็ตรงเข้ามาต้อนรับ

เรือวิเศษล้ำค่าแดงฉานราวสุริยัน กระโปรงของหญิงสาวเหล่านั้นสะบัดพลิ้วดั่งแสงตะวันรอน ไม่ต่างอันใดกับคำที่ว่าช่วงเวลาที่ดีทัศนียภาพงดงาม ครั้นนึกถึงลีลาท่วงท่าของผู้เป็นศิษย์พี่ขึ้นมา จี้เซียวก็ปวดหัวเล็กน้อย

เขาเดินตามสาวใช้บนเรือ หลังชำระร่างกายอาบกำยานที่ห้องชั้นล่างของลำเรือ เปลี่ยนมาสวมใส่อาภรณ์ชุดใหม่เป็นที่เรียบร้อย สตรีหน้าตาพริ้มเพราอีกนางก็พาเขาเดินขึ้นชั้นบนมาหยุดอยู่ยังชั้นบนสุดของเรือล่องเมฆา ย่ำเท้าเปลือยเปล่าไปบนเสื่อไม้ไผ่ อ้อมผ่านฉากบังตาสีดำชั้นแล้วชั้นเล่า

ที่นี่เป็นห้องเงียบสงัดกว้างใหญ่ห้องหนึ่ง สาวใช้ก้มหน้าเดินนำทางไม่พูดไม่จา ท่ามกลางความเงียบงันมีเพียงเสียงชายกระโปรงกวาดผ่านเสื่อไม้ไผ่ดังขึ้นแผ่วเบาเท่านั้น

ครั้นเดินเข้ามาถึงห้องด้านใน ประตูฉลุลายสองบานที่อยู่ตรงหน้าก็เคลื่อนเปิด

เจ้าสำนักกับประมุขยอดเขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่งสีขาว ด้านหน้ามีโต๊ะเตี้ยวางอยู่ตัวหนึ่ง มีสาวใช้หน้าตางดงามคอยรินน้ำชาจัดแจงของว่างให้มิขาด

ทว่าทุกคนกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าไม่คุ้นเคยกับการต้อนรับเช่นนี้

ที่ด้านหน้าของที่นั่งแขกยังมีเบาะนั่งว่างอยู่เบาะหนึ่ง ขยับขึ้นหน้าไปอีกเล็กน้อยคือม่านโปร่งซึ่งกั้นระหว่างแขกกับผู้เป็นเจ้าเรือน

ที่พอเห็นได้เลาๆ อยู่หลังม่านโปร่งคือเงาคนผู้หนึ่ง คนผู้นั้นนั่งตัวตรง ท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง

ที่ไม่เหมือนกับท่าทางของเขาเลยแม้แต่น้อยคือเส้นผมยาวสยายเต็มแผ่นหลัง อาภรณ์ตัวนอกหลวมกว้างเผยให้เห็นถึงแผ่นอกเปลือยเปล่า

เขาบอกกับเซียวถิงอวิ๋น “นั่งลง”

จี้เซียวทำตามที่อีกฝ่ายบอก นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของม่านโปร่ง

หากมองปราดเดียวก็รู้ชะตาชีวิตของคนได้แล้ว นั่นย่อมไม่ใช่ผู้บำเพ็ญพรตแต่เป็นเซียนเทพ ยามผู้บำเพ็ญพรตอ่านพลังจำต้องเชื่อมต่อฟ้าดิน คิดคำนวณโดยละเอียด

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ตะเกียงกำยานดับมอดก่อนจะถูกจุดขึ้นใหม่อีกคราว ฟากฟ้าตะวันออกเริ่มสว่างไสวขึ้นทีละน้อย ประมุขแดนสรวงยังคงไม่ขยับ

เบื้องหน้าคือสายตาพินิจพิจารณาถี่ถ้วนของประมุขแดนสรวง เบื้องหลังคือสายตาจับจ้องของผู้คนจำนวนมาก จี้เซียวไม่ขยับเขยื้อนเช่นกัน

ขณะที่ประมุขยอดเขาเยวี่ยเชวียที่มีนิสัยบุ่มบ่ามที่สุดเริ่มใกล้หมดความอดทน ประมุขแดนสรวงก็ยกมือขึ้น

สาวใช้รูปโฉมงดงามสองนางเลิกม่านโปร่งออก เผยให้เห็นใบหน้าสดใสเฉกจันทร์กระจ่างของเขา

ในที่สุดหูซื่อก็ขยับริมฝีปาก เขากล่าวออกมาสองคำ “ศิษย์น้อง”

ทันทีที่คำพูดดังกล่าวหลุดออกจากปาก ประมุขยอดเขาทั้งหมดก็ต่างพากันตื่นตะลึง พรวดพราดลุกขึ้นยืน โต๊ะเตี้ยพลิกล้ม ถ้วยตะไลหล่นร่วง

สายตาเจ้าสำนักเจี้ยนเวยเจินเหรินราวกับอสุนีบาต เขาจ้องดูเซียวถิงอวิ๋นเขม็ง

จี้เซียวทำเพียงเลิกคิ้ว เผยให้เห็นความรู้สึกฉงนสนเท่ห์จางๆ

ประมุขแดนสรวงพูดต่อ “ศิษย์น้อง ยามนี้สำนักหานซานได้ผู้มีความสามารถแล้ว มีผู้สืบทอดเช่นนี้ หากแม้นวิญญาณเจ้าในปรภพรับรู้คงวางใจได้แล้ว!”

ประมุขยอดเขาทั้งหลายพูดอะไรไม่ออก ลมหายใจติดขัด

ประมุขแดนสรวงหันไปกล่าวกับเจินเหรินเจ้าสำนัก “เด็กหนุ่มผู้นี้หากคิดบรรลุมรรคาวิถี มีข้อต้องห้ามประการหนึ่ง”

“ข้อต้องห้ามอันใด”

ประมุขแดนสรวงกล่าวออกมาสองคำ “เลี่ยงหิมะ”

ประมุขยอดเขาหลิวหลันไม่ยอมรับ “พวกข้าล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ อยู่ต่อหน้ากระบี่ความชั่วร้ายอันใดล้วนมิอาจต้าน ไร้ข้อยกเว้น! บอกให้เลี่ยง เลี่ยงอะไร”

ประมุขยอดเขาจ้งปี้ขมวดคิ้ว “หานซานล้วนมีหิมะขาวโพลนทุกแห่งหน เขาจะหลบเลี่ยงไปที่ใดได้ หรือชั่วชีวิตได้แต่ต้องอยู่ที่วิหารถกสัจธรรมที่เชิงเขานั่น?”

ประมุขยอดเขาจื่อเยียนโบกพัดไปมา “มิสู้ให้เขาคำนับข้าเป็นอาจารย์ ฝึกกระบี่เพลิงอสุนี วันหน้ามีเพลิงม่วงคุ้มกาย รับรองหิมะอันใดมิอาจแปดเปื้อน”

ประมุขยอดเขาทั้งหลายต่างโต้เถียงกันมิสิ้นสุด

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-1

บทที่ 27-1 หวงปอรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานาน แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกไป๋ตันหย่งที่ยืนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของฮ่องเต้มาตั้งแต...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 125

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า หลายวันก่อนตอนรอเขากลับมา ซูเสวี่ยจื้อเคยมโนภาพหลายครั้งมากว่าคนทั้งคู่จะพบหน้ากันแบบไหน แต่เธอค...

community.jamsai.com