ทดลองอ่านนิยาย ขันทีเจ้าดวงใจ เล่ม 1 บทนำ – บทที่ 1 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ขันทีเจ้าดวงใจ

ทดลองอ่านนิยาย ขันทีเจ้าดวงใจ เล่ม 1 บทนำ – บทที่ 1

บทนำ

 

ราชวงศ์หมิง รัชศกหงอู่ปีที่สามสิบเอ็ด ในกลางดึกของเดือนสาม ฮ่องเต้จูหยวนจางทรงพระประชวรหนัก

เยียนอ๋องจูตี้พลิกกายกระสับกระส่ายอยู่บนตั่งนอนโดยมิอาจข่มตาหลับได้ลง ตามที่สายสืบซึ่งเขาส่งไปยังเมืองหลวงหนานจิงกลับมาแจ้งข่าว พระบิดาทรงเขียนพระราชพินัยกรรมแต่งตั้งให้ไท่ซุน* จูอวิ่นเหวินสืบราชสมบัติต่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

จูอวิ่นเหวินเป็นพระภาติยะของเขา แค่เด็กน้อยคนหนึ่งไร้ทั้งผลงานทั้งความสามารถ แต่พระบิดาจะให้เขาคุกเข่าโขกศีรษะต่อพระภาติยะ นั่นจึงทำให้เขาอึดอัดคับข้องใจจนพลิกกายกระสับกระส่ายอยู่นานกว่าจะข่มตาหลับได้ลง

ยามที่หลับลึก เขาฝันเห็นพระบิดาพระเนตรทอประกายคมปลาบจับจ้องมาที่ตน เขาตื่นตกใจทันใด หรือพระบิดาจะรู้ว่าเขาไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อพระภาติยะจึงตั้งใจมาอบรมสั่งสอน เขาคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกล่าวด้วยใจหวาดหวั่น “เสด็จพ่อ ลูก…ลูกเพียงแต่…เพียงแต่…”

“เจ้าไม่ต้องวิตกไป เรามาหาเจ้าแค่ต้องการมอบของสิ่งหนึ่งให้” จูหยวนจางตรัส

เมื่อจูตี้ได้ฟังน้ำเสียงของพระบิดาแล้วพบว่าปราศจากโทสะแฝงอยู่ จึงได้กล้าเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นในพระหัตถ์ของพระบิดาทรงถือป้ายหยกประจำพระองค์ฮ่องเต้อยู่

“สิ่งนี้…พระองค์จะพระราชทานสิ่งนี้แก่ลูกจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ” ป้ายหยกประจำพระองค์ฮ่องเต้เป็นสัญลักษณ์แทนอำนาจ พระบิดาพระราชทานให้แก่เขามิใช่เป็นการบอกว่าต้องการส่งมอบบ้านเมืองให้กับเขาหรอกหรือ เขาอดที่จะยินดีขึ้นมามิได้

“เราแค่ต้องการให้เจ้าเป็นคนเก็บรักษาเอาไว้ก่อน คนที่เราต้องการจะมอบของสิ่งนี้ให้จริงๆ คือเหลนชายของเรา ไม่ใช่เจ้า!” จูหยวนจางประกาศชัด

“เหลนชาย?” เขาตื่นตกใจ ยามนี้จางซื่อ** สะใภ้คนโตกำลังตั้งครรภ์อยู่พอดี เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าเป็นพระโอรสหรือพระธิดา หรือครรภ์นี้จะเป็นพระโอรส

“อืม เจ้าดูว่าบนป้ายหยกสลักคำอะไรไว้” จูหยวนจางตรัสเป็นนัย

เขาเนื้อตัวสั่นระริกขณะประคองป้ายหยกประจำพระองค์ฮ่องเต้ บนนั้นสลักด้วยอักษรใหญ่แปดตัวเอาไว้ว่า ‘สืบแก่หลานชาย รุ่งเรืองตลอดกาล’

“ต้าหมิง*** ของพวกเราได้มาจากการทำศึกสงคราม เจ้ากับเราล้วนทำเรื่องอย่างเข่นฆ่าล้างบาง ใช้กำลังครอบครองแผ่นดินไปไม่น้อย แต่หากทำการไล่ล่าสังหารเช่นนี้ต่อไป บ้านเมืองอาจล่มจม ราษฎรจักเอาใจออกห่างในสักวัน แผ่นดินยากจะเป็นของพวกเราตลอดไป เพราะฉะนั้นหลังจากเจ้ากับเราแล้ว จะให้บ้านเมืองต้าหมิงเข้มแข็งมั่นคงมีแต่จะต้องพึ่งพาคนรุ่นหลัง และคนผู้นี้ก็กำลังจะถือกำเนิด เป็นเจ้าแผ่นดินผู้ทรงคุณธรรมและปัญญา เป็นผู้นำพาความผาสุกที่ร้อยปีพวกเราชาวต้าหมิงจะพานพบสักครา ป้ายหยกประจำพระองค์ฮ่องเต้นี้เราต้องการมอบให้แก่เขา หวังให้ต้าหมิงของพวกเรารุ่งเรืองตลอดกาล!” จูหยวนจางตรัสอย่างหนักแน่น

จูตี้ตื่นเต้นยินดียิ่ง กล่าวมาเช่นนี้แสดงว่าพระนัดดาของเขาต่างหากจึงถือเป็นโอรสสวรรค์ที่แท้จริง มิใช่พระภาติยะที่อยู่ไกลยังหนานจิงอย่างจูอวิ่นเหวิน!

“ลูกน้อมรับพระบัญชา จะชี้แนะสอนสั่งหลานชายด้วยตนเอง ให้หลานชายสามารถปกครองแผ่นดินต้าหมิงด้วยความผาสุกตลอดกาล” เขายินดีจนน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสั่นสะท้าน

“ดี เราขอมอบเรื่องใหญ่เรื่องนี้ให้เจ้าเป็นคนจัดการ แต่ว่า…” ประกายพระเนตรของจูหยวนจางพลันดำมืดลง “มีบุคคลหนึ่งที่เจ้าจะต้องพึงระวังเอาไว้ให้ดี ห้ามมิให้คนผู้นี้เข้าใกล้เหลนชายโดยเด็ดขาด!”

เขาตื่นตระหนก เอ่ยถามด้วยความกังวลทันที “เสด็จพ่อหมายถึงผู้ใด”

“บุตรสาวของซูเฝิง”

“มหาราชบัณฑิตซูเฝิง? แต่เท่าที่ลูกทราบ คนผู้นี้มีเพียงบุตรชายสามคน หาได้มีบุตรสาวไม่”

“เจ้าคอยระวังเอาไว้ หากคนผู้นี้ตลอดชีวิตมิเคยมีบุตรสาว ด้วยความสามารถของเขา เจ้าสามารถให้ความสำคัญได้ แต่ถ้ามี…” จูหยวนจางหรี่พระเนตรที่เต็มไปด้วยประกายอำมหิต สื่อถึงความหมายที่ต้องการโดยไม่จำเป็นต้องตรัสออกมาอีก

ใจกลางหว่างคิ้วของเขาปรากฏหยาดเหงื่อซึมออกมา “ลูกทูลถามได้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงต้องฆ่าสตรีผู้นี้โดยมิอาจละเว้น”

“เหลนชายอายุมั่นขวัญยืนเจ็ดสิบปี ทว่าสตรีผู้นี้กลับจะบั่นทอนอายุขัย ทำให้ป้ายหยกประจำพระองค์ฮ่องเต้ปรากฏรอยร้าว สะบั้นเชื้อสายมังกรของเรา!”

จูตี้ได้ยินแล้วตกใจจนหน้าซีด หากเจ้าแผ่นดินผู้ทรงคุณธรรมและปัญญาอายุสั้น จะปกครองต้าหมิงให้ผาสุกตลอดกาลได้อย่างไร

เขากำลังตระหนกจนนิ่งอึ้ง คิดอยากเอ่ยถามอะไรอีกมากมาย ทว่าพลันได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น

พระบิดาอยู่ที่นี่ ผู้ใดกล้าไร้กาลเทศะ

ขณะโกรธจัดจนอยากตวาดตำหนิ ขันทีที่ภายนอกประตูก็เอ่ยรายงานเข้ามาก่อนแล้ว “ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง พระนัดดาประสูติแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

เขาสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมาในชั่วพริบตานั้น หันศีรษะมองไปโดยรอบ จึงพบว่าตนเองยังนอนอยู่บนตั่งนอน ส่วนพระบิดา…หายตัวไปนานแล้ว!

“ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง พระนัดดาประสูติแล้ว เป็นพระโอรสพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทียังคงประกาศเรื่องมงคลซ้ำอีกครั้ง

เป็นพระโอรส! จางซื่อสะใภ้คนโตให้กำเนิดพระโอรสจริงๆ!

เหตุการณ์ในความฝันคือเรื่องจริง เจ้าแผ่นดินผู้ทรงคุณธรรมและปัญญาในอนาคตของต้าหมิงที่พระบิดาตรัสถึงคือพระนัดดาแท้ๆ ของเขาเอง จูตี้ผุดลุกขึ้นแล้วกระโจนลงจากเตียงอย่างหุนหัน ยังไม่ทันสวมแม้กระทั่งเสื้อคลุมตัวนอกก็รีบวิ่งไปยังที่อยู่ของพระโอรสองค์โต คนเพิ่งมาถึง ซื่อจื่อ* จูเกาชื่อก็ยืนอุ้มพระโอรสที่เพิ่งคลอดรอคอยเขาอยู่แล้ว

เขารับพระนัดดามาอุ้ม เห็นที่หว่างคิ้วปรากฏลักษณะองอาจผึ่งผาย มีเค้าโครงหน้าของฮ่องเต้หลายส่วนก็ยินดีนัก ทั้งเมื่อนึกถึงความฝันเมื่อครู่ของตนเองแล้วยิ่งรู้สึกได้ว่าเป็นเรื่องจริง ในอนาคต แผ่นดินจะเป็นของเด็กน้อยคนนี้ เป็นของสายเลือดของเขาจูตี้!

เขาประกาศเสียงดังด้วยความปีติไปยังทิศเมืองหนานจิง “เสด็จพ่อ ลูกน้อมรับพระราชดำริ ป้ายหยกประจำพระองค์ฮ่องเต้สืบแก่หลานชาย รุ่งเรืองตลอดกาล!”

 

สองเดือนต่อมา จูหยวนจางที่ทรงพระประชวรหนักมาเนิ่นนานเสด็จสวรรคต จูอวิ่นเหวินสืบราชสมบัติ อีกสี่ปีให้หลัง จูตี้อ้างการกระทำ ‘ขจัดขุนนางชั่วข้างกายฮ่องเต้’ เคลื่อนกองกำลังจิ้งหนานเข้าโจมตีเมืองหนานจิง ปราบดาภิเษกตนเองเป็นฮ่องเต้ เปลี่ยนรัชศกเป็นหย่งเล่อ นอกจากนั้นท่ามกลางกองสมบัติของจูหยวนจางเขายังได้พบป้ายหยกประจำพระองค์ฮ่องเต้ที่สลักอักษรใหญ่แปดตัวเอาไว้เช่นเดียวกับที่เขาเคยเห็นในฝัน นับแต่นั้นเป็นต้นมา เขายิ่งเชื่อมั่นโดยปราศจากความลังเลว่าพระนัดดาของตนเองในอนาคตจะเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ทรงคุณธรรมและปัญญาปกครองบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่นอย่างแน่นอน

 

บทที่หนึ่ง

 

ในความฝัน กัวอ้ายสัมผัสได้ว่าทั่วสรรพางค์กายกำลังเจ็บปวดอย่างรุนแรงอีกทั้งแขนขายังหนักอึ้ง คิดอยากลุกก็ลุกไม่ไหว ถึงขั้นรู้สึกว่าแม้กระทั่งจะหายใจยังยากลำบาก

นางฝืนอดทนต่อความเจ็บปวดแล้วออกแรงสูดลมหายใจเข้าลึก ทว่ากลับสูดได้เพียงกลิ่นเหม็นไหม้อย่างรุนแรง ทำให้ไอสำลักออกมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งน้ำตาก็ยังไหลไม่หยุด

“แค่กๆ” นางไอจนทรมาน จึงคิดฝืนบังคับร่างกายให้ขยับลุกขึ้น แต่ร่างกลับอ่อนเปลี้ยไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

“คุณหนูฟื้นแล้ว! ฮูหยิน คุณหนูฟื้นแล้วเจ้าค่ะ!”

น้ำเสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งช่วยปลุกเรียกกัวอ้ายที่กำลังสะลึมสะลือให้มีสติขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากสิ้นเสียงเรียกนี้ กัวอ้ายมองเห็นเงาเลือนรางร่างหนึ่งขยับมาอยู่ข้างกายตนเอง

“ลี่เอ๋อร์…ลี่เอ๋อร์ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นขึ้นมา!” ฟังจากสำเนียงที่แฝงไปด้วยก้อนสะอื้นนี้ ผู้พูดน่าจะเป็นหญิงสาวอายุยังน้อยคนหนึ่ง นางฟุบลงบนร่างของกัวอ้ายสะอื้นไห้เสียงดัง น้ำหนักที่กดทับลงบนตัวทำให้กัวอ้ายทรมานจนขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะใช้แรงยกมือขึ้นผลักร่างของหญิงสาวออกไป

หญิงสาวเงยใบหน้าที่ร้องไห้จนดูบอบบางน่าสงสารขึ้นมา มองมาที่นางอย่างประหลาดใจ ก่อนเอ่ยเรียกน้ำเสียงสั่นเครือ “ลี่ ลี่เอ๋อร์…”

ลี่เอ๋อร์? กำลังเรียกใครกัน!

กัวอ้ายส่งสายตาให้หญิงสาวผละออกห่างจากร่างกายตนเอง แล้วออกแรงทั้งหมดที่มีลุกขึ้นนั่ง ขณะเดียวกันสายตาของนางก็ค่อยๆ กลับมาแจ่มชัด หลังพยายามปรับสายตาใหม่แล้ว อันดับแรกที่นางต้องการทำคือดูสถานการณ์ของตนเองก่อน

นางเป็นนักศึกษาแพทย์ปีที่เจ็ด ในปีการศึกษาสุดท้ายได้ยื่นใบสมัครเข้าร่วมฝึกงานในกลุ่มอาสาสมัครออกหน่วย มาถึงยังมณฑลซื่อชวน ประเทศจีน ใครจะไปรู้ว่าในยามบ่ายของวันที่สองที่มาถึงก็ประสบพบเหตุแผ่นดินไหว ตอนนั้นนางกำลังออกตรวจคนไข้ แต่กลับหลบหนีออกมาไม่ทัน โดนกำแพงล้มทับใส่จนหมดสติไป

แต่ว่าตอนนี้นางฟื้นขึ้นมาแล้ว แสดงว่าได้รับความช่วยเหลือแล้วสินะ

นางสำรวจดูแล้วรอบหนึ่ง นอกจากรอยช้ำจำนวนมากก็ไม่ได้มีกระดูกหักหรือบาดแผลที่ร้ายแรง ทั้งๆ ที่โดนกำแพงใหญ่ถึงเพียงนั้นล้มทับ แต่กลับมีบาดแผลเพียงเล็กน้อยเท่านี้ นับได้ว่าเป็นโชคดีอย่างมหาศาลแล้วจริงๆ

แต่ว่าหลังจากตื่นขึ้นมากลับมีเรื่องแปลกอยู่บ้าง…ชุดผู้ป่วยของนางเหตุใดถึงได้ประหลาดอย่างนี้ ดูคล้ายกับชุดสมัยโบราณ อีกทั้งมองไปยัง ‘แพทย์และพยาบาล’ หลายคนรอบข้าง ยิ่งพิลึกมากขึ้นไปอีก

หญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ตรงกลางสวมชุดงดงามหรูหรา บนศีรษะปักปิ่นทองคำ ใบหน้าขาวนวลดุจหยก ทว่าสีหน้าแฝงแววกังวลลึกล้ำ เด็กสาวที่อยู่ด้านหลังมองดูคล้ายสาวใช้ ผมม้วนเป็นสองมวย สวมชุดคลุมผ่าหน้าแขนยาวสีชมพูอ่อน ยังมีบ่าวหญิงอาวุโสที่ดูเข้มงวดอีกคนหนึ่ง

นี่เป็นหน่วยแพทย์และพยาบาลประเภทใดกัน

ยิ่งกว่านั้น สมัยนี้ยังมีคนแต่งตัวเช่นนี้อยู่อีกหรือ

กัวอ้ายไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ตนเองกำลังเห็นทั้งหมดนี้ได้เลย นางขยี้ตา ทว่ายิ่งเห็นการตกแต่งภายในห้องล้วนเป็นไปตามแบบสมัยโบราณก็ยิ่งสับสนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

หรือนางจะถูกกองถ่ายละครโบราณช่วยเอาไว้

แม้จะดูน่าขัน แต่นี่เป็นคำอธิบายเดียวที่นางคิดขึ้นมาได้

“ลี่เอ๋อร์…เจ้าเป็นอะไรไป เจ้าจำแม่ไม่ได้แล้วหรือ”

เห็นบุตรสาวมองมาที่ตนเองและคนอื่นๆ ด้วยสายตาห่างเหินเหมือนมองคนไม่รู้จัก และยังแฝงไปด้วยความสงสัย หญิงสาวในอาภรณ์หรูหราก็อดร่ำไห้เสียงดังออกมาจากก้นบึ้งหัวใจไม่ได้

ทั้งหมดนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดอยู่ๆ หญิงนางนี้ถึงได้เริ่มแสดงละครขึ้นมา

กัวอ้ายโดนท่าทีตอบสนองทางอารมณ์อย่างรุนแรงของอีกฝ่ายทำให้ตื่นตกใจ ส่ายศีรษะออกไปทันที ความสงสัยเต็มท้องถูกยัดกลับเข้าไปข้างในชั่วครู่ คิดเพียงแต่อยากให้คนที่เรียกนางว่า ‘ลี่เอ๋อร์’ หยุดร้องไห้ได้แล้ว

จากนั้นถึงแม้หญิงสาวจะหยุดร้องไห้แล้ว ทว่ายังคงจ้องนางนิ่งงันไปเนิ่นนาน ทั้งสะอึกสะอื้นเอ่ย “ลูกข้าชีวิตอาภัพ ล้วนเป็นเพราะแม่ไม่ดีเอง เจ้าอย่าได้คิดสั้นเป็นอันขาด…”

กัวอ้ายฟังจนรู้สึกเลอะเลือน ร่างกายยังถูกนางพุ่งเข้ามากอดจนปวดตามเนื้อตัวขึ้นมาอีกครั้ง ทำได้เพียงมองไปยังสองคนข้างหลังด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ ให้พวกนางช่วยมาหยุดไม่ให้หญิงสาวร้องไห้ ทว่ากลับเห็นสองคนนั้นกำลังขยับผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาอยู่เช่นกัน

กัวอ้ายพลันรู้สึกหมดเรี่ยวแรง ยื่นมือออกไปวางบนบ่าหญิงสาวแล้วผลักนางออกไปเบาๆ “คือว่า…เกิดอะไรขึ้นกับควันและประกายไฟข้างนอกนั่น เกิดไฟไหม้หรือ”

เปลวเพลิงมองไปแล้วรุนแรงยิ่งนัก ควันดำพัดเข้ามาในห้องเป็นระลอก ต้นเพลิงจะต้องอยู่ห่างออกไปไม่ไกลอย่างแน่นอน หากพวกนางยังไม่รีบหนีอีกเกรงว่าจะไม่ทันกาลแล้ว

นางยังถูกควันทำให้สำลักจนไอออกมาอีกหลายหน รีบร้อนต้องการลงจากเตียง ทว่าหญิงสาวคนเดิมกลับกุมมือทั้งสองของนางแน่น

“ลี่เอ๋อร์ ฟังแม่ อีกสักพักให้เจ้าตามหวังหมัวมัว* ไป แล้วรีบหนีไปให้ไกลจากที่นี่!”

ในตอนนั้นเองบุรุษลักษณะเป็นบ่าวรับใช้หลายคนพลันรีบร้อนกระชากผ้าม่านเข้ามา สีหน้าล้วนตื่นตระหนก

“ฮูหยิน คุณหนูฟื้นแล้วหรือยังขอรับ หน่วยองครักษ์เสื้อแพร** กำลังทำลายประตูเข้ามา พวกเราจะต้านเอาไว้ไม่อยู่แล้ว”

ทุกคนที่ได้ยินต่างล้วนพากันเคร่งเครียด แม้แต่กัวอ้ายยังรู้ว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์เลวร้าย

ในตอนนี้นางเข้าใจสถานการณ์ส่วนใหญ่ของตนเองแล้ว เมื่อครู่เพิ่งฟื้น สมองยังไม่แจ่มใสดีนัก ผ่านทั้งหมดนี้ไปสักพักหนึ่ง เรียบเรียงทุกอย่างที่ได้ยินได้เห็นทั้งวิเคราะห์แล้วก็ได้ข้อสรุปออกมา ที่แท้นางไม่ได้ถูกกองถ่ายละครโบราณช่วยชีวิตเอาไว้ แต่นางข้ามมิติมายังสมัยโบราณต่างหาก

เรื่องการข้ามมิติเวลาเช่นนี้ถึงแม้ในโลกวิชาการจะมีบทความที่เกี่ยวข้องสนับสนุน หากส่วนมากกลับจัดอยู่ในทางทฤษฎีที่ทางปฏิบัติจริงเป็นไปไม่ได้ นางเองตลอดเวลาที่ผ่านมาก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ตอนนี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับตัวของนางเอง ต่อให้ไม่คิดเชื่อก็มีแต่ต้องยอมรับแล้ว

ถึงแม้นางจะไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์อะไรอย่างลึกซึ้ง แต่ความรู้ทั่วไปนับได้ว่ายังพอมี เพียงได้ยินคำว่า ‘หน่วยองครักษ์เสื้อแพร’ ก็เข้าใจในทันทีว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในสมัยราชวงศ์หมิง

หน่วยองครักษ์เสื้อแพรคือเหยี่ยวและสุนัขล่าเนื้อของฮ่องเต้ มีชื่อเสียงฉาวโฉ่มาโดยตลอด ยามนี้พวกเขาบุกมาถึงประตูบ้านดุจเทพแห่งโรคระบาด*** เกรงว่าจะมิใช่เรื่องดี ยิ่งคิดถึงที่หญิงสาวโน้มน้าวให้นางตามบ่าวหญิงอาวุโสนางนั้นไปก่อน ตนเองกลับไม่คิดไปที่ใด ก็รู้สึกว่าเช่นนี้ไม่ถูกต้องจึงรีบร้อนเอ่ย “ข้ากับหวังหมัวมัวหนี แล้วพวกท่านไม่หนีหรือ”

“แม่ไปไม่ได้ เป็นเพราะแม่ไม่ดีเอง ไม่ควรให้เจ้าหวนกลับมาทำความรู้จักกับบรรพบุรุษตระกูลซู ถ้าหากยังอาศัยอยู่ที่วังจ้าวอ๋อง หายนะครั้งนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น หลังจากนี้เจ้าจะต้องเชื่อฟังคำพูดของหวังหมัวมัว ใช้ชีวิตต่อไปให้ดี แม่จะคอยปกป้องเจ้าตลอดไป…”

กัวอ้ายได้ยินคำพูดพวกนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจ แต่ต่อให้นางมีเรื่องสงสัยอยากจะถาม ทั้งยังอยากโน้มน้าวให้อีกฝ่ายหนีไปด้วยกัน ทว่า…ไม่มีเวลาแล้ว

ที่ด้านหน้าห้องมีข้ารับใช้มารายงานอีกครั้งว่าหน่วยองครักษ์เสื้อแพรทำลายประตูหน้าได้แล้ว หญิงสาวก็รีบร้อนผลักบุตรสาวขึ้นหลังหวังหมัวมัว

น้ำตาของมารดาไหลริน เอ่ยอย่างเศร้าโศก “ลี่เอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าเพิ่งถูกคนช่วยขึ้นมาจากบ่อน้ำ บนร่างล้วนเต็มไปด้วยบาดแผล แต่อดทนหน่อยเถิด การหนีเอาตัวรอดครั้งนี้ต้องเร่งรีบ อย่าได้ชักช้าเด็ดขาด รีบไปกับหวังหมัวมัวเร็วเข้า!” จากนั้นยังกำชับหวังหมัวมัวอีกรอบอย่างปวดร้าว แล้วจึงปล่อยมืออย่างไม่อาจตัดใจท่ามกลางเสียงเร่งเร้าของทุกคน

หวังหมัวมัวที่มีร่างกายแข็งแรงแบกกัวอ้ายไว้บนหลัง นางเพียงเห็นคนอื่นๆ ช่วยกันยกแผ่นเตียงขึ้น หญิงสาวคนนั้นยังขยับปลอกหยกประดับเสาเตียงอันหนึ่ง ไม่รู้ว่าไปโดนกลไกอะไรเข้า ใต้เตียงกลับปรากฏเส้นทางลับลงไปใต้ดินเส้นหนึ่งขึ้นมา

“ลูกเอ๋ย เจ้าจะต้องดูแลตนเองให้ดี…”

หญิงสาวตรงหน้ากัวอ้ายหยดน้ำตาร่วงหล่น น้ำเสียงตีบตัน ในแววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความรักของมารดา ทำให้นางอดคิดถึงบิดามารดาที่อยู่ห่างไกลยังยุคปัจจุบันไม่ได้ ในใจเองก็เอนเอียงไปทางรู้สึกเศร้าโศก ทว่าไม่รู้ว่านางข้ามมิติมายังร่างลี่เอ๋อร์นี้ เช่นนั้นลี่เอ๋อร์ตัวจริงไปอยู่ที่ใด ใช่ข้ามมิติไปอยู่ยุคปัจจุบันแทนที่นางหรือไม่ หรือว่าเสียชีวิตตั้งแต่ตอนตกลงไปในบ่อน้ำแล้ว

“คุณหนู ได้โปรดจับบ่าวไว้ให้แน่นๆ พวกเราจะไปกันแล้วเจ้าค่ะ” หวังหมัวมัวกล่าวจบก็ก้มศีรษะลง มุดเข้าไปในเส้นทางลับทันที

กัวอ้ายไม่อาจคิดอะไรมากมายได้อีก นางรีบก้มศีรษะแนบติดกับแผ่นหลังหวังหมัวมัวเช่นกัน ด้วยกลัวว่าถ้าไม่ระมัดระวัง ศีรษะจะไปกระแทกเข้ากับทางเข้าเส้นทางลับที่ต่ำเตี้ยนั้นได้

รอจนพวกนางเข้าไปในเส้นทางลับ ด้านบนได้ยินเพียงเสียงกลไกดังขยับไหว แสงสว่างหายไป เสียงร่ำไห้และใบหน้าเป็นกังวลของหญิงสาวคนนั้นก็ถูกหินก้อนใหญ่หน้าทางเข้าก้อนนั้นขวางกั้นเอาไว้

หวังหมัวมัวแบกกัวอ้ายเคลื่อนที่ด้วยความว่องไว นางประหลาดใจที่หวังหมัวมัวสามารถเดินได้รวดเร็วปานนี้ในความมืดมิดที่ยื่นมือออกไปยังไม่เห็นแม้แต่ปลายนิ้ว ความรู้สึกบอกว่าพวกนางกำลังเดินเป็นเส้นตรง จึงคิดว่าเส้นทางลับนี้เพื่อให้คนสะดวกเดินทางในความมืดจึงได้ตั้งใจออกแบบมาเป็นทางตรง

เพราะว่าต่อให้ลืมตาก็มองไม่เห็นอะไร นางจึงหลับตาลงเสียเลย นอกจากเสียงลมและเสียงฝีเท้าเร่งรีบของหวังหมัวมัว เสียงหายใจหนักหน่วงที่ได้ยินข้างหู จมูกยังได้กลิ่นชื้นแฉะของดินโคลน กลิ่นเชื้อราและกลิ่นเหม็นไหม้เบาบาง กลิ่นนี้ทำให้หัวใจนางบีบรัดแน่น

แม้ได้พบกันเพียงไม่นานก็เผชิญหน้ากับเปลวเพลิงลุกโหมรุนแรงทั้งยังต้องเร่งรีบสั่งลา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นพวกเขาที่ช่วยรักษาชีวิตนางให้อยู่รอดปลอดภัย นึกถึงเรื่องนี้ กัวอ้ายพลันรู้สึกตื้นตันอย่างถึงที่สุด ยังมีหน่วยองครักษ์เสื้อแพรเข้ามากดดันเช่นนี้ หญิงสาวคนนั้นกับบรรดาสาวใช้และบ่าวรับใช้เกรงว่าคงยากจะมีชีวิตรอดออกมาแล้ว ถึงแม้ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ทำความผิดร้ายแรงอะไรถึงขั้นไม่อาจให้อภัยได้ แต่นางรู้สึกมาโดยตลอดว่าพวกเขาล้วนได้รับความไม่เป็นธรรม ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงเชื่อมั่นเช่นนั้น…นางเพียงแค่มีความรู้สึกเชื่อมั่นเช่นนั้นขึ้นมาเอง

ในขณะเดียวกันกับที่คิดอยู่นี้ ความรู้สึกเศร้าโศกรุนแรงก็พลันซัดโถมขึ้นมาจากในส่วนลึกของจิตใจ ทำให้ดวงตานางมีม่านหมอกมาบดบัง ปลายจมูกตีบตัน ในลำคอเองก็ราวกับมีอะไรบางอย่างอุดกั้นอยู่ให้ยิ่งทรมาน

ความคะนึงหายึดครองจิตใจนางอย่างรุนแรงโดยไร้ที่มา ค่อยๆ แทนที่อารมณ์วิตกกังวลที่เดิมมีอยู่ในใจ นางอดคิดถึงพ่อแม่ในยุคปัจจุบันขึ้นมาไม่ได้ ชั่วขณะนั้นนางพลันตระหนักขึ้นมาว่าต่างฝ่ายต่างอาจจะไม่มีวันได้พบกันอีกแล้ว ด้วยเหตุของความสับสนอ่อนล้า ความเสียใจท้อแท้ และความสิ้นหวังที่ได้โอบล้อมตัวนางไว้ ทำให้เขื่อนน้ำตาพังทลายและไหลรินลงมาโดยปราศจากเสียง…

กัวอ้ายปิดตาลงร้องไห้เงียบๆ ในสายตาเบื้องหน้าปรากฏใบหน้าคนในครอบครัวทั้งสอง กับใบหน้าอ่อนโยนทว่าเศร้าโศกของหญิงสาวนางนั้นขึ้นมา นางคาดเดาว่าจะต้องเป็นความคะนึงของลี่เอ๋อร์ที่ส่งต่อมาถึงนาง ทำให้เกิดความรู้สึกเห็นใจลี่เอ๋อร์ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

หวังหมัวมัวที่แต่เดิมกำลังตั้งอกตั้งใจหนีตาย ราวกับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของนาง หลังจากถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงก็ได้แต่เอ่ยปากปลอบโยน “คุณหนู…ท่านนอนหลับสักพักเถิด…ทุกอย่างปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบ่าวเอง ตื่นมาก็ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ”

ใช่แล้ว นอนหลับสักตื่นก็ไม่เป็นไรแล้ว เรื่องข้ามมิติเช่นนี้นับได้ว่าไร้สาระเกินไปแล้วจริงๆ จะต้องเป็นเพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่งอย่างแน่นอน

หวังว่าหลังจากนางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไร…

 

นับตั้งแต่ข้ามมิติมาอย่างไร้สาเหตุ และหลังจากได้ผ่านการหนีตายอย่างเร่งรีบครั้งใหญ่นั้น กัวอ้ายเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสมัยราชวงศ์หมิงมาได้สามถึงสี่เดือนแล้ว ในช่วงเวลานี้ ที่สุดแล้วนางก็เริ่มทำความเข้าใจเรื่องราวได้บางส่วน และไม่ได้ท้อแท้กับเรื่องข้ามมิตินี้อีกต่อไป ตรงกันข้ามนางกลับลุกขึ้นมาสู้ได้อีกครั้ง

ตอนนี้อยู่ในรัชศกหย่งเล่อ ฮ่องเต้หมิงเฉิงจู่จูตี้ ส่วนร่างนี้ของนางเจ้าของเดิมเป็นเด็กสาวอายุประมาณสิบห้าปี ชื่อซูลี่

ชาติกำเนิดของซูลี่ค่อนข้างซับซ้อน นางเป็นบุตรสาวลับๆ ของบัณฑิตแห่งสำนักราชบัณฑิตซูเฝิง มารดามู่ซื่อเป็นน้องสาวของชายาจ้าวอ๋อง บิดามารดาทั้งสองแม้จะรักใคร่กันและลอบแต่งงานกันอย่างลับๆ แต่ด้วยซูเฝิงมีครอบครัวอยู่ก่อนนานแล้ว ทั้งยังเกรงกลัวภรรยาเป็นที่สุด จึงไม่กล้าแสดงความรับผิดชอบต่อมู่ซื่อ

หลายปีที่ผ่านมามู่ซื่ออาศัยอยู่ที่วังจ้าวอ๋องเป็นการชั่วคราวมาโดยตลอด แอบคลอดบุตรสาวซูลี่อย่างลับๆ จนกระทั่งในปีนี้ซูลี่อายุครบสิบห้าปี ภรรยาเอกของซูเฝิงเสียชีวิต สองแม่ลูกจึงถูกรับตัวกลับจวนบัณฑิต ได้ทำความรู้จักกับบรรดาบรรพบุรุษ

แต่เดิมเหตุการณ์นี้ควรเป็นครอบครัวกลับมาอยู่พร้อมหน้า นับแต่นี้ต่อไปสัมผัสถึงแต่ความสุขในครอบครัว ทว่าซูเฝิงเดิมค่อนข้างได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้มานั้นไม่รู้ไปกระทำสิ่งใดเป็นการล่วงเกินพระองค์ ไม่เพียงแต่ถูกหน่วยองครักษ์เสื้อแพรจับกุมเข้าคุกทรมานจนตายไปในไม่กี่วัน ยังสร้างความลำบากให้ทั้งสกุล กระทั่งคนแก่และเด็กต่างก็ถูกเข่นฆ่าไม่มีละเว้น อีกทั้งซูลี่ยังมีนิสัยขี้ขลาดและขี้กังวลจนเกินไป ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว จนกระทั่งเกิดความคิดฆ่าตัวตายขึ้นมา

แม้มู่ซื่อจะช่วยชีวิตบุตรสาวกำพร้ากลับมาได้ แต่หลังจากเสียสามีที่รักไป นางก็ปราศจากความอยากมีชีวิตอยู่ต่อ เพียงแต่หวังได้เห็นบุตรสาวสามารถใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข จึงสั่งให้หวังหมัวมัวสาวใช้ที่ติดตามชายาจ้าวอ๋องมาจากสกุลเดิมช่วยพานางหนีตาย ส่วนตนเองอาศัยฐานะนายหญิงตระกูลซูตายไปพร้อมกันกับตระกูล

ว่ากันว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุดคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด หลังจากวันนั้นที่หวังหมัวมัวพานางหนีตายแล้วถึงได้ตัดสินใจอาศัยที่เมืองหลวงซึ่งอยู่ภายใต้ฝ่าพระบาทโอรสสวรรค์ต่อไป เพราะยามนี้ทุกๆ ประตูเมืองล้วนมีการรักษาการณ์อย่างเข้มงวดยิ่ง หวังหมัวมัววางแผนรอให้คลื่นลมสงบลงกว่านี้อีกสักหน่อยแล้วค่อยพานางหนีไปให้ไกลจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายแห่งนี้

เวลานี้พวกนางขอเช่าห้องพักจากแม่ม่ายคนหนึ่งใกล้กับสะพานเจิ้นไหว ด้วยฐานะของซูลี่ที่ค่อนข้างพิเศษ ดังนั้นหวังหมัวมัวจึงให้ซูลี่แต่งกายเป็นบุรุษ และบอกให้คนภายนอกรับรู้ว่าทั้งสองคนเป็นแม่ลูกจากต่างเมืองที่มาดำเนินชีวิตในเมืองหลวง

ถึงแม้ในตอนที่พวกนางหนีออกมา ในห่อผ้าของหวังหมัวมัวจะพอมีของมีค่าอยู่บ้าง แต่หลายเดือนที่ผ่านมานี้ก็ได้ใช้ไปจนเหลืออยู่อีกไม่มากนักแล้ว หวังหมัวมัวเลยต้องออกไปหางานทำ เดิมกัวอ้ายเองก็คิดอยากช่วย ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ใครจะกล้าให้คุณหนูไปใช้แรงงาน’

“คุณหนู ท่านค่อยๆ กินนะเจ้าคะ อีกสักพักบ่าวต้องไปทำงานที่บ้านเดิมของสวีหยวน วันนี้ที่จวนมีงานเลี้ยงสังสรรค์ บ่าวอาจจะกลับมาช้าสักหน่อย หากบ่าวกลับมาเย็นเกินไป คุณหนูหิวแล้ว ในตะกร้าไม้ไผ่มีเส้นแป้งต้มเตรียมเอาไว้แล้วสองมื้อ รบกวนคุณหนูนำออกมาอุ่นกินเองนะเจ้าคะ”

หวังหมัวมัวมีประสบการณ์ในการทำงานหลายอย่าง หางานทำได้ง่ายดายนัก เพียงแต่หลายวันที่ผ่านมาล้วนใช้เวลาไปกับงานรับใช้ให้กับพวกตระกูลเศรษฐี ออกจากบ้านแต่เช้ากลับมามืดค่ำทุกวัน รวมเข้ากับระยะนี้ร่างกายรู้สึกไม่ค่อยสบาย นางจึงจำใจต้องปล่อยมือให้คุณหนูทำงานบ้านบางอย่างเอง

“ได้เลย หวังหมัวมัวทำงานให้เต็มที่ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องในบ้านหรอก มีข้าอยู่ทั้งคน” กัวอ้ายยกโจ๊กถั่วในชามขึ้นและซดจนหมด ท่าทางการกินแบบไม่เรียบร้อยทำให้หวังหมัวมัวขมวดคิ้ว พอนางเห็นเช่นนั้นจึงสำรวมกิริยาท่าทางในทันที

เมื่อมองไปที่นางอีกครั้ง หวังหมัวมัวก็ถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังหนักแน่น “แม้ทุกวันนี้คุณหนูจะแต่งกายเป็นบุรุษ แต่อย่าได้ลืมว่าจริงๆ แล้วท่านเป็นคุณหนูผู้ดีมีสกุล อย่าได้ไปติดนิสัยหยาบกระด้างของเหล่าชายหนุ่มในตลาดพวกนั้นมานะเจ้าคะ”

คำพูดเดิมๆ ประเภทนี้จากหวังหมัวมัวนับได้ว่าเป็นเรื่องปกติในระยะนี้ ในเมื่อที่จริงแล้วกัวอ้ายเป็นเด็กสาววัยรุ่นที่มาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ต้องมาทำตัวเป็นคุณหนูสมัยโบราณผู้เพียบพร้อมจึงมิใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ย่อมมีการหลุดอาการออกไปบ้าง โชคยังดีที่หวังหมัวมัวนอกจากบ่นออกมาเพียงไม่กี่คำแล้ว ก็ไม่ได้คิดไปถึงเรื่องผิดปกติอื่นใด เพียงคิดว่านางเสียขวัญจากการตกไปในบ่อน้ำก่อนหน้านี้ พอพานางไปจุดธูปขอพรให้ชีวิตสงบสุขที่อารามเป้าเอินแล้วก็ไม่ได้ว่ากล่าวอันใดอีก

กัวอ้ายแลบลิ้นพลางยิ้มแย้มเอ่ย “หวังหมัวมัวพูดถูกแล้ว ข้าจะจำไว้”

หวังหมัวมัวเห็นนางรับปากดิบดี แต่ท่าทางกลับไม่จริงจังไม่หนักแน่น เดิมคิดอยากจะพูดอะไรออกไปอีก แต่ก็อาจทำให้ตนเองไปทำงานสายจึงจำต้องรีบออกจากบ้านไป

เมื่อหวังหมัวมัวจากไปแล้ว กัวอ้ายก็รีบเก็บถ้วยชามและตะเกียบอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังบิดขี้เกียจอย่างเต็มที่ “เป็นอิสระแล้ว!”

ยามที่หวังหมัวมัวอยู่มักจะคอยจับตามองทุกการกระทำของกัวอ้าย มีเพียงตอนที่นางออกไปทำงานแล้วเท่านั้น กัวอ้ายจึงกลับมาเป็นตัวของตนเองได้ ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งเป็นคุณหนูผู้เพียบพร้อมของทุกคน

กัวอ้ายย่องเบาไปข้างบานประตูใหญ่ ผลุบศีรษะออกไปมอง เห็นเงาร่างของหวังหมัวมัวกลืนหายไปกับฝูงชนคึกคักแล้ว ก็รีบพุ่งกลับเข้าไปด้านในอย่างมีความสุข เตรียมตัวดำเนินการขั้นต่อไป

นางตั้งใจออกไปหางานทำอีกครั้ง แม้หวังหมัวมัวจะพิจารณาความปลอดภัยถึงได้ให้นางอาศัยอยู่แต่ในบ้านทั้งวัน แต่จะให้นางทนเห็นบ่าวหญิงอาวุโสคนหนึ่งทำงานหนักทุกวันเพื่อเงินไม่กี่อีแปะ* ยุ่งราวกับลูกข่างที่ไม่เคยหยุดหมุนเช่นนั้นได้อย่างไรกัน นางจึงคิดอยากช่วยหวังหมัวมัวแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในบ้านบ้าง

เพียงแต่ความตั้งใจนี้คิดง่าย แต่กลับทำได้ยากยิ่ง นางเป็นเพียงนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ที่ไม่ได้มีความสามารถโดดเด่นอะไรให้พูดถึง กระทั่งทำงานบ้านตามปกติยังชอบแอบขี้เกียจ ส่งผลให้มือเท้าไม่คล่องแคล่วว่องไวพอ หนำซ้ำซูลี่คุณหนูผู้ดีมีสกุลผู้นี้ ที่ผ่านมายิ่งไม่เคยลงมือทำงานบ้าน หัวหน้าพ่อบ้านเพียงเห็นลักษณะผิวพรรณบอบบางของนางก็ส่ายหัวทันทีแล้ว กระทั่งบางคนคิดว่านางเป็นลูกผู้ดีมีเงินที่รู้สึกเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำจึงออกมาหาเรื่องสนุก ต่างก็รีบไล่นางไปให้พ้นเสียด้วยซ้ำ

เมื่อกัวอ้ายเดินไปถึงประตูห้องของตนเองก็เผชิญเข้ากับดวงตากลมโตคู่หนึ่งยืนรออยู่ที่หน้าประตู นางสะดุ้งตกใจ หลังจากมองจนแน่ชัดแล้วว่าเป็นเด็กน้อยเพื่อนบ้านใกล้เคียงจึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา

เด็กคนนี้อายุราวแปดเก้าปี กัวอ้ายพบเขาบนถนนตอนกำลังถูกกลุ่มเด็กเกเรรุมรังแก นางที่แต่ไหนแต่ไรก็รังเกียจพฤติกรรมคนแข็งแกร่งรังแกคนที่อ่อนแอกว่าเช่นนี้ที่สุดอยู่แล้วจึงออกโรงขัดขวางในทันใด หลังจากนั้นเป็นต้นมาเด็กคนนี้ก็มักมาหานางอยู่บ่อยครั้ง

เพียงแต่กัวอ้ายไม่ได้เห็นเขามาสักพักหนึ่งแล้ว ยามนี้เห็นเขาอยู่ๆ ก็มาหาอย่างกะทันหัน อีกทั้งสีหน้ายังดูไม่ค่อยดี จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้น ไฉนสีหน้าเจ้าจึงดูไม่ได้เช่นนี้”

เขาเอ่ยอย่างลังเล “พี่ชาย ข้าขอแบ่งของกินบางส่วนจากบ้านท่านไปได้หรือไม่”

กัวอ้ายอึ้งไป นางรู้ว่าครอบครัวเด็กคนนี้ยากจนมาก มักจะอดมื้อกินมื้ออยู่เสมอ มารดาของเขาก็ด่วนจากไปเร็ว หลายปีที่ผ่านมานี้ล้วนอาศัยบิดาเพียงคนเดียวคอยดูแลเขากับผู้สูงอายุทั้งสอง ถึงอย่างนั้นบิดาของเขายังมาได้รับบาดเจ็บที่ขาจากการทำงานครั้งหนึ่งเข้า นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไร้หนทางให้กลับไปทำงานได้อีก เมื่อไม่นานมานี้ปู่ย่ายังมีอาการเจ็บป่วยไม่สบาย ครอบครัวยากจนถึงขั้นไม่มีเงินไปหาหมอ อาการป่วยจึงไม่มีท่าทีจะดีขึ้นได้เลย

“บ้านข้าไม่เหลืออะไรให้กินได้แล้ว แต่เดิมปู่ย่าป่วยหนัก สองวันมานี้ยิ่งหิวจนหัวหมุนตาลาย พ่อข้าร้อนใจจึงออกไปขอยืมเงิน ยืมข้าวสาร ทว่าไม่มีใครยินยอมให้พวกเรายืม…ข้ากลัวว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป ปู่ย่าจะต้องอดตายอย่างแน่นอน”

ระหว่างที่พูดเขาก็ร้องไห้ขึ้นมา ทำให้กัวอ้ายรู้สึกทนไม่ได้ ที่ผ่านมานางเองก็เคยช่วยเหลือพวกเขาอยู่หลายหน มาคราวนี้เห็นสถานการณ์เร่งด่วน จึงเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องโดยไม่ต้องคิด

นางนำเส้นแป้งต้มสองชามที่หวังหมัวมัวเตรียมไว้ให้เดินออกมายื่นส่งให้เด็กน้อยถือไว้ และกลับเข้าไปในห้องอีกหน ตั้งใจจะหยิบเงินบางส่วนมอบให้เด็กคนนั้น

ทว่าในตอนที่นางเปิดกระเป๋าใบเล็กที่ใช้เก็บเงิน กลับเห็นเงินเหลืออยู่เพียงห้าสิบอีแปะเท่านั้น

ที่บ้านเองก็ไม่มีเงินแล้ว…นางถอนหายใจยาว ลังเลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่คิดถึงสถานการณ์ทางบ้านของเด็กคนนั้นแล้วก็ทนไม่ได้อย่างยิ่ง ตัดสินใจเด็ดขาดหยิบเงินทั้งหมดห้าสิบอีแปะออกมาในคราวเดียว

เด็กคนนั้นรู้ว่าที่บ้านกัวอ้ายเองก็มีหวังหมัวมัวทำงานอยู่เพียงคนเดียว ฐานะยากจนเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นนางต้องการมอบเงินให้จึงรีบร้อนส่ายหน้า “นี่จะได้อย่างไรกัน ข้าไม่สามารถรับเงินของพี่ชายได้…ถ้าท่านถูกแม่ด่าขึ้นมาจะตอบแม่อย่างไร”

กัวอ้ายเห็นเขาปฏิเสธจึงยิ้มแย้มเอ่ย “เจ้าไม่ใช่มาหาข้าเพราะไม่มีหนทางแล้วหรอกหรือ สถานการณ์บ้านเจ้าเร่งด่วน แม่ข้าจะต้องเข้าใจได้อย่างแน่นอน” นางดึงมือของเด็กชาย ยัดเงินเหล่านั้นใส่ไปในมือเขา

เด็กคนนั้นขอบตาแดงระเรื่อ เก็บเงินลงไปอย่างระมัดระวังแล้วหันมาขอบคุณกัวอ้ายอีกครั้ง ทั้งสัญญาว่าจะรีบนำเงินกลับมาคืนโดยเร็วที่สุด

กัวอ้ายรู้อยู่แก่ใจว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่สามารถทำเป็นไม่สนใจเด็กชายได้จริงๆ ทั้งคิดว่าอย่างน้อยที่บ้านนางยังมีรายได้จากทางหวังหมัวมัว คงจะพอฝืนทนผ่านช่วงเวลายากลำบากไปได้

ถึงแม้จะคิดเช่นนี้ ทว่าเมื่อเด็กคนนั้นจากไปแล้ว นางก็ยังถอนหายใจออกมาอย่างหนักอึ้งและรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา

เช่นนี้ไม่ดีแน่ ที่บ้านไม่มีเงินเหลือแล้ว หลังจากนี้ควรจะทำอย่างไรต่อไปดีนะ

พอย้อนมองตนเองที่คราวนี้ตีหน้าบวมแสร้งว่าอ้วน* จนทำให้บ้านตนเองพลอยตกอยู่ในสภาวะขัดสน นางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขมขื่นออกมา ขณะเดียวกันก็รู้สึกละอายแก่ใจต่อหวังหมัวมัวหลายเท่าตัว

หากวันนี้นางสามารถหางานทำได้อย่างราบรื่นก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าไม่ได้ ตัวนางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในอีกหลายวันข้างหน้านี้จะใช้ชีวิตผ่านไปได้อย่างไร

ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่าตอนแรกที่หนีออกมา ในห่อผ้าของหวังหมัวมัวมีเสื้อผ้าสวยงามอยู่หลายชุด ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ซูลี่ในอดีตชื่นชอบ กัวอ้ายคิดถึงว่าตอนนี้ตนเองมีชีวิตยากลำบาก เสื้อผ้าเหล่านั้นเองก็ไม่ได้ใช้งาน ไม่สู้เอาไปจำนำแลกเงินยังดีเสียกว่า

หลังจากลังเลอยู่ชั่วอึดใจ นางก็ตัดสินใจทำตามความคิดนี้ รีบเข้าไปในห้องหยิบเสื้อผ้าเหล่านั้นออกมาทันที เลือกชุดที่ออกแบบสวยงาม เนื้อผ้าดีๆ มาสองสามชุดแล้วออกจากบ้านไป

นางออกจากตรอกเดินไปบนถนนหลัก ในหัวคิดคำนวณว่าสุดท้ายแล้วสิ่งของเหล่านี้จะสามารถแลกเป็นเงินได้มากน้อยเพียงใด พอให้พวกนางใช้ได้นานเท่าไร

ชีวิตในยุคปัจจุบันของนางร่ำรวย ของกินของใช้ล้วนได้ที่บ้านสนับสนุน ไหนเลยจะเคยมีปัญหากับการใช้ชีวิต ยามนี้กลับต้องมาเป็นทุกข์จริงจัง จำนำสิ่งของเหล่านี้แล้วถึงแม้จะสามารถประคับประคองไปได้ระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่นานนักอย่างแน่นอน

นางมองหาโรงจำนำข้างทาง หลังจากสังเกตผู้คนที่เดินเข้าออกโรงจำนำแห่งหนึ่งได้สักพัก เห็นว่ากิจการดูไม่เลวนัก เถ้าแก่ก็มีใบหน้าที่ดูซื่อสัตย์และใจดี ท่าทางไม่น่าเอาเปรียบคน นางถึงได้เดินเข้าไป

เถ้าแก่เห็นลักษณะนางดูดีมีชาติตระกูล สิ่งของที่นำมาคุณภาพก็ไม่เลว จึงไม่ได้หาเรื่องให้นางลำบากดังคาด ทั้งยังมอบเงินให้นางทันทีสองตำลึง

กัวอ้ายเดินออกจากประตูโรงจำนำ ขณะที่กำก้อนเงินแวววาวเอาไว้ในมือ ตั้งใจจะไปหางานทำต่อ ทว่าชายร่างอ้วนท้วนสวมอาภรณ์หรูหราคนหนึ่งกลับสะดุดเข้ามาในสายตานาง

ชายอ้วนคนนั้นบนศีรษะสวมหมวกทองคำ สวมเสื้อคลุมตัวยาวสีแดงเลือดหมูกลัดกระดุมด้านหน้าชายเสื้อสีทองปักอักษรมงคล รองเท้าปักดิ้นเงินลายสรรพสัตว์ การแต่งตัวเช่นนี้เดินในตลาดจะไม่ดูโดดเด่นสะดุดตาได้อย่างไร

ที่ยิ่งดึงดูดไปกว่านั้นคือท่าทางเขาไม่ระมัดระวังตัวเลย กระเป๋าเงินซึ่งคาดอยู่ที่เอวโผล่ออกมาให้เห็นด้านนอกแล้วยังไม่รู้ตัว ผู้ติดตามของเขาเองก็ล้วนเดินขวางอยู่ด้านหน้าคอยเปิดทางให้เขาทั้งสิ้น ช่างราวกับจงใจเปิดช่องให้หัวขโมยอย่างไรอย่างนั้น

กัวอ้ายเพิ่งกำลังคิดว่าถ้าไปดึงดูดความสนใจของหัวขโมยเข้าจะทำอย่างไร นางก็ต้องตกใจเมื่อเห็นมือหัวขโมยล้วงไปที่เอวของชายอ้วน ทำให้กระเป๋าเงินใบนั้นหายวับไปในพริบตาเดียว!

นางร้อนใจตะโกนออกมาทันที “มีขโมย!”

นางตะโกนครั้งนี้ ทุกคนล้วนก้มหน้าลงมองกระเป๋าเงินของตน

ชายอ้วนเพียงเห็นกระเป๋าเงินของตนหายวับไปแล้ว ก็รีบร้อนออกคำสั่งให้ผู้ติดตามค้นหาตัวผู้กระทำผิดทันที แต่ผู้คนพลุกพล่าน จะตามหาได้อย่างไร

ในเวลาเดียวกันนั้น กัวอ้ายเห็นทุกคนพากันปกป้องกระเป๋าเงินของตนเอง แต่มีอยู่คนหนึ่งที่หลังตนตะโกนแล้วกลับรีบร้อนสับขาวิ่งหนี นางรีบพุ่งไปหาชายอ้วนทันที แล้วชี้ไปยังทิศหัวขโมยคนนั้นพร้อมเอ่ย “หัวขโมยวิ่งหนีไปทางนั้นแล้ว เป็นคนตัวผอมสวมชุดสีดำคนนั้น!”

ผู้ติดตามของชายอ้วนมีฝีมือร้ายกาจ ไล่ติดตามหัวขโมยคนนั้นไปทันที เพียงไม่นานก็สามารถกระชากตัวคนกลับมาได้

ชายอ้วนรับกระเป๋าเงินที่ผู้ติดตามส่งมาให้ จากนั้นหยิบตำลึงเงินก้อนเล็กก้อนหนึ่งยื่นให้กัวอ้าย

“ขอบคุณหนุ่มน้อยที่ช่วยเหลือ สิ่งนี้ถือเป็นค่าเลี้ยงน้ำชาหนุ่มน้อยแทนคำขอบคุณ”

กัวอ้ายเพียงชั่งน้ำหนักตำลึงเงินก้อนนั้นในมือก็ต้องตกใจที่มันอาจจะหนักมากถึงห้าตำลึง จึงรีบร้อนปฏิเสธในทันที แต่ท่าทีของชายอ้วนกลับยืนกรานยิ่ง ซ้ำยังพูดว่าต้องการเลี้ยงข้าวนาง นางถึงได้ปฏิเสธมื้ออาหารอย่างสุภาพแล้วยอมรับเงินนั้นมา

ห้าตำลึงเงินเทียบได้กับห้าพันอีแปะ เพียงพอให้พวกนางใช้จ่ายไปได้หลายเดือน เงินก้อนนี้ที่ได้มาโดยไม่คาดฝันแน่นอนว่าย่อมทำให้กัวอ้ายดีใจ นางจึงไปตระเวนหางานตามท้องถนนต่อ ถึงแม้ไม่มีใครจ้างงานนางเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มีเงินห้าตำลึงก้อนนั้นก็พอช่วยแก้ไขเรื่องด่วนที่อาจเข้ามาได้ จิตใจนางเองจึงไม่เป็นกังวลถึงเพียงนั้นแล้ว

ในระหว่างเดินทางกลับ นางอารมณ์เบิกบานเป็นอย่างมาก ฝีเท้าเองก็ผ่อนคลาย จนกระทั่งยามที่นางกลับไปถึงที่อยู่ในตรอกเล็กๆ แล้วพบเพื่อนบ้านที่ปกติไม่เคยไปมาหาสู่พากันมารวมตัวกันอยู่หน้าบ้านของตนเอง บรรยากาศค่อนข้างผิดปกติ ทั้งหมดนี้ทำให้นางเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว

* ไท่ซุน หรือหวงไท่ซุน คือตำแหน่งพระราชนัดดาที่สามารถขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์ได้ ซึ่งคัดเลือกจากบรรดาพระโอรสขององค์รัชทายาท

** ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่าซื่อ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดขึ้นก็มี

*** ต้าหมิง ใช้เรียกแทนแผ่นดินจีนในสมัยราชวงศ์หมิง

* ซื่อจื่อ หรือรัฐทายาท เป็นตำแหน่งทายาทของอ๋องผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ไปปกครองเมืองอื่น

* หมัวมัว เป็นคำเรียกหญิงสูงวัย มีความหมายหลากหลาย ทั้งย่า ยาย แม่นม ป้า และยังเป็นคำเรียกหญิงรับใช้อาวุโสในเชิงยกย่อง รวมถึงนางข้าหลวงอาวุโสในวังด้วย

** องครักษ์เสื้อแพร เป็นหน่วยงานพิเศษขึ้นตรงกับฮ่องเต้เพื่อตรวจสอบและจัดการขุนนางรวมถึงกลุ่มอำนาจซึ่งอาจเป็นภัยต่อบัลลังก์ เริ่มก่อตั้งขึ้นโดยฮ่องเต้หมิงไท่จู่ สมัยราชวงศ์หมิง

*** เทพแห่งโรคระบาด ใช้เปรียบกับคนชั่วร้ายที่นำพาหายนะมาสู่ผู้อื่น

* อีแปะ (เหวิน) คือหน่วยเงินสำริด (เป็นเหรียญที่มีรู) ซึ่งมีค่าเล็กที่สุดในหน่วยเงินตราสมัยก่อนของจีน

* ตีหน้าบวมแสร้งว่าอ้วน เป็นสำนวน หมายถึงคนที่ดันทุรังทำในสิ่งที่เกินกำลังความสามารถของตนด้วยความกลัวเสียหน้าตนเอง

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ขันทีเจ้าดวงใจ

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com