ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 1 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 1 #นิยายวาย

หูเหวินเจ่าเอ่ยเสียงสลด “ท่านกล่าวถูกต้อง ธนูหลุดจากแล่งยากหวนคืน* เวลานี้ข้าสารภาพทุกอย่างกับท่าน ชั่วดีก็นับเป็นพยานคนหนึ่ง ทางเฉินหลวนต้องไม่ปล่อยข้าไว้แน่ อาจจ้องปองร้ายข้าทุกเมื่อ ท่านสามารถหามือดีสักคนมาคุ้มครองข้าหรือไม่”

ถังฟั่นย้อนถามเยาะๆ “อย่างไร ตัดสินใจร่วมมือกับข้าแล้วรึ ไม่กลัวข้าสู้เฉินหลวนไม่ได้แล้ว?”

หูเหวินเจ่ายิ้มเจื่อน “พวกเขาหักหลังข้าถึงเพียงนี้ หากข้ายังมีความหวังอันใดกับพวกเขาก็โง่งมจนหมดทางเยียวยาแล้ว”

ถังฟั่นเห็นอีกฝ่ายพูดด้วยใจจริงจึงพยักหน้า “ได้ เดี๋ยวข้ากลับไปจะส่งคนมาให้”

หูเหวินเจ่ากลัวจัดจนดึงเสื้อเขาไว้ไม่ปล่อย “พอท่านออกไป เกิดพวกนั้นวิ่งมาฆ่าปิดปากข้าแล้วจะทำเช่นไร”

ถังฟั่นไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ตอนนี้ค่อยรู้จักหวาดกลัว ไม่รู้ตอนแรกมัวไปทำอะไรอยู่!

“ท่านไม่ให้ข้าไป ข้าจะหาคนมาคุ้มครองท่านได้อย่างไร อีกอย่างต่อให้เฉินหลวนมีการตอบสนองว่องไวเพียงไร แต่ตัวเขาไม่ได้อยู่ในอู๋เจียง เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ข่าวในทันที”

หูเหวินเจ่ายังคงไม่ยอมให้เขาไปอยู่ดี “เช่นนั้นข้าขอออกไปพร้อมท่าน ท่านไปที่ใดข้าไปด้วย”

ถังฟั่นเอ็ดว่า “นั่นยิ่งเป็นการตีหญ้าให้งูตื่น ข้าคือคนที่ไม่อยากให้ท่านตายมากที่สุด ท่านวางใจเถอะ คำพูดของข้าถังรุ่นชิงยังไม่เคยไม่รักษามาก่อน! ชั่วดีท่านก็เป็นถึงเจ้าเมืองขั้นสี่ กลับทำท่าเป็นสตรีเยี่ยงนี้ เสียเกียรติสิ้นดี”

หูเหวินเจ่าถูกขุนนางที่อ่อนวัยกว่าและขั้นยศต่ำกว่าตนเองสั่งสอนจนหน้าเทาหน้าดำแต่กลับมิกล้าโต้เถียง จำต้องปล่อยมือจากเสื้อเขาแต่โดยดี

ท่าทางเหมือนสาวสะใภ้น้อยเนื้อต่ำใจของเขาในยามนี้ต่างจากอดีตราวฟ้ากับเหว

ถังฟั่นอ่อนใจ ได้แต่เอ่ยปลอบหลายคำ จากนั้นค่อยพาลู่หลิงซีจากมา

ลู่หลิงซียืนอยู่นอกประตูได้ยินบ้างเล็กน้อย จึงถาม “พี่ถัง เมื่อครู่ท่านไฉนไม่ให้ข้าอยู่คุ้มครองเขา มีข้าอยู่ รับรองไม่มีใครกล้าทำอะไรเขาแน่”

ถังฟั่นส่ายหน้า “ข้ามีงานสำคัญกว่านั้นให้เจ้าไปทำ เรื่องที่หูเหวินเจ่ารู้มีไม่มาก เฉินหลวนจะฆ่าปิดปากหรือไม่ความจริงไม่ต่างกันนัก ดังนั้นเขาไม่น่าจะเกิดเหตุร้ายอันใด แต่เพื่อความสบายใจของเขาเดี๋ยวข้าจะหาคนอื่นมาอารักขาเขาเอง ส่วนเจ้านั้นช่างเถอะ ฆ่าไก่ไยต้องใช้มีดฆ่าโค”

ลู่หลิงซีหวานชื่นในใจไปกับคำพูดหลังนี้ บนหน้าอดผุดยิ้มมิได้

กลับเห็นเบื้องหน้ามีเสียงเอะอะ กลางวันแสกๆ ถึงกับมีนักเลงหลายคนเกี้ยวพาสตรีกลางถนน

ลู่หลิงซีพินิจละเอียด พลันร้องเอ๊ะ “นั่นมิใช่สตรีที่ตกน้ำตอนอยู่นอกเมืองหยางโจวหรอกหรือ”

วันนั้นเป็นช่วงค่ำมองเห็นไม่ถนัด ยามนี้เพ่งมองกลางแดด รูปโฉมของแม่นางผู้นั้นยิ่งเด่นชัดสะดุดตา แทบจะสะคราญล่มเมืองก็ว่าได้ บวกกับข้างกายนางเพียงมีสาวใช้คนหนึ่ง ทั้งไม่ปิดคลุมใบหน้า จึงเป็นที่ดึงดูดของพวกนักเลงอันธพาล

ลู่หลิงซีมีหน้าที่อารักขาถังฟั่น เดิมก็ไม่อยากแส่เรื่องชาวบ้าน ยามนี้เห็นมีคนเข้าไปผดุงความยุติธรรมแล้วจึงใคร่พาถังฟั่นอ้อมไปอีกทาง

มิคาด ถังฟั่นกลับโพล่ง “ไปช่วยนางเถอะ”

ลู่หลิงซีผงะ “หา?”

“พบเห็นผู้ถูกรังแกพึงชักดาบผดุงธรรม จิตวิญญาณผู้กล้าของเจ้าหายไปอยู่ที่ใดหมดแล้วเล่า”

“แต่มีคนเข้าไปช่วยแล้วนี่นา นักเลงหลายคนนั้นก็ฝีมือธรรมดา อีกอย่างเดี๋ยวคนของทางการก็มาแล้ว”

ถังฟั่นกล่าว “ชื่อเสียงของสตรีสำคัญยิ่ง หากได้รับความช่วยเหลือล่าช้าอาจเสื่อมเสียได้ หนำซ้ำพวกเราเคยช่วยนางมาแล้วครั้งหนึ่ง พานพบก็คือมีวาสนา เจ้าไปช่วยนางสักคราเถอะ”

ลู่หลิงซีไม่สบอารมณ์นัก หากก็หมดปัญญาโต้แย้ง ได้แต่ขึ้นหน้าไปจัดการนักเลงหลายคนนั้น

เห็นชัดว่าแม่นางคนงามก็จำเขากับถังฟั่นได้ ไม่เพียงพร่ำขอบคุณต่อลู่หลิงซี ยังเดินมาขอบคุณถังฟั่นอีกด้วย

“ขอบคุณผู้มีพระคุณทั้งสองที่ยื่นมือ ก่อนหน้านี้ผู้มีพระคุณไม่ยอมให้ข้าน้อยขึ้นเรือเพื่อขอบคุณ คิดไม่ถึงวันนี้จะได้พบเจออีก พระคุณสองคราไม่ทราบควรตอบแทนเช่นไรจริงๆ” แม่นางน้อยค้อมเอวขอบคุณอย่างชดช้อย

ถังฟั่นกล่าว “เจ้าออกจากบ้านไฉนไม่พาคนมาให้มากหน่อย ใช่ว่าจะโชคดีเช่นนี้ทุกคราไป”

แม่นางน้อยปั้นหน้าเศร้า “บุพการีของข้าน้อยล้วนล่วงลับ เดิมตั้งใจมาพึ่งพิงญาติในซูโจว คิดไม่ถึงปีที่แล้วเกิดภัยอดอยาก บ้านของญาติสนิทแตกฉานซ่านเซ็น แม้แต่คนก็หาไม่พบแล้ว ข้าน้อยจำต้องมองหาสถานที่พักอาศัยชั่วคราวก่อน แต่เพราะฐานะไม่สู้ดี มิอาจเลี้ยงดูบ่าวไพร่มากมายจึงต้องเลิกจ้างไปหลายคน ทุกวันนี้ก็เหลือเพียงสาวใช้คนนี้เท่านั้น”

ถังฟั่นเห็นใจเหลือเกิน “เรือนรั่วยังเจอคืนฝนกระหน่ำ** เจ้าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ชวนให้ผู้คนสะท้อนใจจริงๆ”

แม่นางน้อยน้ำตาคลอหน่วย ข่มแล้วข่มอีกยังคงร่วงริน จึงเมินหน้าคล้ายไม่อยากให้ถังฟั่นเห็นความน่าสมเพชของตน

แต่นางหาทราบไม่ กิริยาร้าวรอนเช่นนี้กลับชวนให้ผู้คนเวทนา ยิ่งกระตุ้นความรู้สึกอยากปกป้องของบุรุษเพศ

ต่อให้ถังฟั่นสุภาพอ่อนโยนปานใด จะอย่างไรก็เป็นบุรุษเพศคนหนึ่ง

“ไม่ทราบชื่อแซ่ของแม่นางคือ?” ถังฟั่นถาม

แม่นางน้อยยอบกายคราหนึ่ง “ข้าน้อยแซ่เซียว ชื่อคำเดียวว่าอู่”

งามแฉล้มแช่มช้อยสมชื่อจริงๆ สตรีที่อ่อนหวานบอบบางปานนี้เดิมสมควรถูกเก็บซ่อนในเรือนทองด้วยความห่วงหวง ไม่สมควรออกมาต้องแดดต้องลม

ถังฟั่นกล่าว “แม่นางเซียวหาที่พักได้แล้วหรือไม่”

เซียวอู่ขบริมฝีปากล่าง สั่นหน้า “ค่าเช่าบ้านในเมืองนี้ราคาสูงเหลือเกิน ข้าน้อยจึง…จึง…”

สุ้มเสียงนางยิ่งมายิ่งค่อย สุดท้ายก็เงียบหาย

ถังฟั่นก็ไม่คิดไปสะกิดความลำบากใจของผู้อื่น กลับกล่าวอย่างเอาใจใส่ “หากแม่นางเซียวไม่รังเกียจ สามารถอาศัยในบ้านพักรับรองขุนนางไปก่อนชั่วคราว จากนั้นค่อยๆ มองหาลู่ทางอีกที”

เซียวอู่เงยหน้าจ้องมองถังฟั่น ในดวงตาปรากฏแววตื้นตันระคนสับสน เห็นชัดว่ากำลังต่อสู้กับทิฐิในใจ ไม่ปรารถนารับความช่วยเหลือจากผู้อื่นโดยไม่จำเป็น แต่สภาพในตอนนี้กลับน่าอนาถนัก ดังนั้นจึงอดจะอึดอัดใจมิได้

ถังฟั่นก็มิได้เร่งเร้า เขาซึ่งเดิมทีกำลังรีบกลับบ้านพักรับรอง ตอนนี้กลับยืนรอคำตอบของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น

ลู่หลิงซีอดเตือนมิได้ “พี่ถัง ให้นางพักในบ้านพักรับรองเกรงว่าคงไม่สะดวกกระมัง”

สุ้มเสียงไม่ดังไม่ค่อย พอดีให้เซียวอู่ได้ยิน

ฝ่ายหลังกระดากอายจนหน้าแดง พลันปาดชายกระโปรงยอบกายคำนับ แล้วหมุนตัวผละไปทันที

ด้วยความร้อนใจถังฟั่นถึงกับยื่นมือไปคว้าชายเสื้อนาง “ช้าก่อนแม่นางเซียว น้องชายข้าคนนี้อายุยังน้อย พูดจาไม่ตริตรอง ความจริงเขามิใช่รังเกียจเจ้า แต่เพราะในบ้านพักรับรองยังมีผู้อื่นพำนักอยู่ ก็คืออีกสองคนที่อยู่บนเรือด้วยกันกับข้าในวันนั้น เจ้าก็เคยเห็น น้องชายข้าจึงเอ่ยวาจาล่วงเกินเจ้า หากก็มิได้มีเจตนาร้าย เจ้าอย่าได้คิดมาก”

เซียวอู่ก้มหน้าทำท่าจะรั้งชายเสื้อตนเองกลับมา จนใจที่ถังฟั่นกำแน่น สีหน้านางจึงเริ่มแดงระเรื่อ ทว่ามิใช่หน้าแดงเพราะความอึดอัดใจเช่นก่อนหน้านี้

“ข้า…ข้ามิได้คิดมาก เพียงไม่อยากเพิ่มความยุ่งยากแก่พวกท่าน…”

ถังฟั่นยิ้มกว้าง “ไม่ยุ่งยาก ไม่ยุ่งยากสักนิด ในเมื่อพานพบสองคราแสดงว่ามีวาสนาต่อกัน สำหรับเจ้าคือความเกื้อกูลใหญ่หลวง สำหรับข้ากลับเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ขอเจ้าอย่าได้ปฏิเสธเลย”

เรื่องเล็กน้อยอันใดกัน หลงเสน่ห์ความงามก็บอกมาเถอะ! ลู่หลิงซีบ่นพึมพำในใจ เซียวอู่งามล้ำปานใด เวลานี้ในใจเขาก็เป็นได้แค่พาหะนำภัย

แต่ถังฟั่นยืนกรานจะเหนี่ยวรั้ง เขาก็ไม่อาจปริปากห้ามปราม มิฉะนั้นจะกลายเป็นฉีกหน้าถังฟั่น

เซียวอู่เห็นถังฟั่นคะยั้นคะยอ บวกกับตนเองจนตรอกจริงๆ จึงยอมรับข้อเสนอของถังฟั่นในที่สุด “เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอรบกวนใต้เท้าสักหลายวันแล้ว พระคุณครั้งนี้ข้าน้อยซาบซึ้งตื้นตันยิ่ง ไม่ทราบจะกล่าวเช่นไรแล้ว”

ถังฟั่นแย้มยิ้ม “ไม่ว่าเช่นไรก็ล้วนไม่ต้องกล่าวแล้ว”

บทแทรกเล็กๆ ทำให้เกิดความล่าช้านิดหน่อย กว่าพวกถังฟั่นจะกลับถึงบ้านพักรับรองกลางเมืองก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงวันแล้ว

เฉียนซันเอ๋อร์กำลังยืนชะเง้อรออยู่หน้าประตูใหญ่ สีหน้ากรุ่นโกรธเจือรอยกังวล ครั้นเห็นถังฟั่นกลับมาก็รีบขึ้นหน้ามาฟ้อง “ใต้เท้า ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที เจิงเผยกับอู๋จงเจ้าลูกเต่าสองตัวนั้น…”

ถังฟั่นโบกมือ ห้ามมิให้เขาพูดต่อ

เฉียนซันเอ๋อร์ก็หัวไว พลันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติจึงหุบปากทันใด

ถังฟั่นบอกกับลู่หลิงซี “อี้ชิง เจ้าพาแม่นางเซียวไปที่ห้องพักก่อน”

เซียวอู่กลับมิได้ซักไซ้ เพียงพร่ำขอบคุณถังฟั่นแล้วผละไปพร้อมกับลู่หลิงซี แม้จะเป็นเช่นนั้น ตลอดทางที่เดินมาความงามอันชวนตะลึงของนางก็ดึงดูดสายตาผู้คนไม่น้อย แม้แต่เฉียนซันเอ๋อร์ยังเคลิบเคลิ้มอยู่นานกว่าจะคืนสติ มองส่งเงาหลังของเซียวอู่ เอ่ยเสียงติดอ่าง “ตะ…ใต้เท้า แม่นางท่านนี้รู้จักกับท่านหรือ”

คืนที่ถังฟั่นช่วยนาง เฉียนซันเอ๋อร์พอดีเข้าเมืองซื้อของ มิได้อยู่ในเหตุการณ์ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตัวจริง ย่อมตกตะลึงตาค้างเป็นธรรมดา

สายตาเร่าร้อนหลายคู่จับจ้องเรือนร่างของเซียวอู่ไปตลอดการย่างเท้าของนาง ทว่าบ้านพักรับรองอย่างไรก็คือบ้านพักรับรอง ถึงสตรีนางนี้งามล้ำล่มเมือง ความปลอดภัยยังคงได้รับการรับรอง ทว่าหากพวกถังฟั่นกลับเมืองหลวง สตรีที่อ่อนแอนางหนึ่งเยี่ยงเซียวอู่นี้ย่อมเป็นที่จับจ้องตาเป็นมันของผู้คนไม่น้อยอยู่ดี ดังนั้นความงามมักนำภัยมากกว่านำสุข

ถังฟั่นจับศีรษะเฉียนซันเอ๋อร์หันกลับมา “ตามข้ากลับห้อง”

เฉียนซันเอ๋อร์เพิ่งตื่นจากฝัน ทางถังฟั่นก็เดินถึงเรือนเล็กของตนเองแล้ว ฝีเท้าเร่งร้อนจนผู้อื่นไล่ไม่ทัน ไม่คล้ายคนที่วิ่งวุ่นอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนสักนิด

กลับถึงในห้อง ถังฟั่นไม่ทันล้างหน้าล้างตาก็โพล่งถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

เฉียนซันเอ๋อร์รายงานเสียงขุ่น “ช่วงที่ท่านออกไป สมาคมพ่อค้าซูโจวให้คนส่งของขวัญมา ข้ายืนกรานไม่รับท่าเดียว แต่เจิงเผยกับอู๋จงเจ้าลูกเต่าสองตัวนั้นกลับรับไว้ในนามของท่าน ข้าจึงยืนเฝ้าหน้าเรือนไม่ให้พวกมันยกของเข้ามา พวกมันก็เลยวางไว้นอกเรือนแล้วผละไป ข้านับว่ามองออกแล้ว นี่เป็นการสาดโคลนให้ท่านชัดๆ”

ฟังเขาเล่าจบถังฟั่นกลับมิได้โมโห เพียงทำหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก

“ใต้เท้า?” เฉียนซันเอ๋อร์กระวนกระวาย

“ตอนนี้ของอยู่ที่ใด” ถังฟั่นถาม

“อยู่นอกเรือนนี่เองขอรับ เป็นหีบเล็กๆ แต่หนักอึ้งเลย” เฉียนซันเอ๋อร์รีบบอก

“ไปยกเข้ามา” ถังฟั่นสั่ง

“หา?”

“มัวยืนเซ่ออะไร ยังไม่ไป!” ถังฟั่นเอ็ด

เฉียนซันเอ๋อร์รุ่มร้อนแล้ว หวั่นว่าอีกฝ่ายเลอะเลือนชั่วขณะอาจตกหลุมพรางผู้อื่นได้ “ถ้ายกเข้ามา พวกมันจะกล่าวหาว่าท่านรับสินบนนะขอรับ”

ถังฟั่นหัวเราะ “หรือเจ้าวางไว้ข้างนอกนั่นก็แปลว่าข้าไม่ได้รับสินบนแล้ว? ไปยกเข้ามาเถอะ เจ้าคนเดียวคงยกไหวกระมัง”

“ยกน่ะยกไหว…”

“เช่นนั้นก็ไปสิ”

เฉียนซันเอ๋อร์จนใจ ได้แต่วิ่งออกไปย้ายหีบเข้ามา

“ด้านบนมีกุญแจ แต่ลูกกุญแจถูกทับอยู่ใต้หีบ ข้าเอาเข้ามาด้วยแล้ว ท่านดู…”

“เปิด” ถังฟั่นสั่ง

พริบตาที่หีบนั้นเปิดออกก็สาดแสงวูบวาบจนลูกตาของเฉียนซันเอ๋อร์เกือบบอด

เขาสูดหายใจลึก “นี่…นี่…”

ในนั้นอัดแน่นด้วยทองหยวนเป่าเต็มหีบ ตรงช่องว่างยังถมด้วยมุกขนาดเท่าหัวแม่มือ

 

* ธนูหลุดจากแล่งยากหวนคืน เป็นสำนวน หมายถึงเมื่อทำสิ่งใดแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด ไม่อาจย้อนกลับได้

** เรือนรั่วยังเจอคืนฝนกระหน่ำ หมายถึงเกิดเรื่องเดือดร้อนขึ้นมาในเวลาเดียวกัน

Comments

comments

Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 1

บทที่ 1 ปีที่ยี่สิบสี่รัชศกเฉียนเต๋อแห่งราชวงศ์ต้าผิงได้ถูกกำหนดให้เป็นปีที่ต่างไปจากปกติธรรมดา ชุนจื้อ เพิ่งผ่านไป ข่าว...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน บทนำ-บทที่ 2

บทนำ   เทวทูตแห่งเขาปี้ลั่ว   วันนี้เป็นวันจิงเจ๋อ ขณะทูตจากเขาปี้ลั่วมาถึงสกุลมู่ มู่เฉินเพิ่งจะดึงถังน้ำขึ้นมาจาก...

community.jamsai.com