ทดลองอ่าน Nice Alpha ผมเป็นโอเมก้าที่ชอบอัลฟ่าเชื่องๆ Prologue – ตอนที่ 1 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน Nice Alpha ผมเป็นโอเมก้าที่ชอบอัลฟ่าเชื่องๆ Prologue – ตอนที่ 1 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

01.

อูกยองเดินเข้าไปในบาร์ค็อกเทลอันเงียบสงบ เสียงผู้คนพูดคุยกันพึมพำเคล้าไปกับเสียงดนตรีที่ดังคลออยู่ภายใน จองชิกผู้เป็นเจ้าของบาร์จ้องมองอูกยองที่เดินลิ่วเข้ามาจับจองที่นั่งตรงเคาน์เตอร์บาร์ซึ่งมีบาร์เทนเดอร์ยืนอยู่ ก่อนที่เขาจะเริ่มเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน

“ไม่ได้มานานเลยนะ”

“อืม ไม่ได้เจอกันนานเลย พี่ ผมขอแบบเดิมที่หนึ่ง”

“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้าเห็นตากันเลย คงยุ่งมากล่ะสิท่า”

จองชิกวางแก้วเครื่องดื่มลงตรงหน้าพลางเอ่ยถามอูกยอง ลูกค้าขาประจำที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนร้านเขามากว่าสามปี จนกระทั่งสนิทกันถึงขนาดเรียกพี่เรียกน้อง และบางครั้งก็อาจมีถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันบ้างตามประสา

“พอดีผมยุ่งๆ เรื่องเปิดคลินิกนิดหน่อยน่ะ”

“อ้าว เปิดแล้วเหรอ เดี๋ยวจะแวะเข้าไปหาแล้วกัน เผื่อฉันจะได้พาลูกไปตรวจสุขภาพด้วย”

อูกยองกระดกแอลกอฮอล์เข้าปากหนึ่งอึกก่อนกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ใบหน้าติดเย็นชาดูแจ่มใสขึ้นทันตาเมื่อถูกประดับด้วยรอยยิ้ม

“เอาสิ แวะมาได้เสมอ ผมจะตรวจให้ละเอียดยิบตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบฟูลคอร์ส เอาให้สมกับค่าเหล้าที่กินมาสามปีเลย”

“ทำเป็นพูดไป ถ้าทำไม่ได้อย่างที่พูดนะ”

จองชิกปรายตามองอูกยองพลางพูดหยอกอย่างไม่จริงจังกับคำพูดนั้นเท่าไรนัก อูกยองนั่งมองจองชิกที่เริ่มทำค็อกเทลให้ลูกค้าคนอื่นครู่หนึ่ง ก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นมาถืออีกครั้ง

“ขอโทษนะครับ”

ใครบางคนลอบวางมือลงบนแขนของอูกยองที่วางไว้บนเคาน์เตอร์บาร์อย่างเบามือและเอ่ยปากชวนเขาคุย อูกยองที่ไม่ชอบให้ใครมาทำตัวรุ่มร่ามโดยไม่ถามความสมัครใจจึงหันศีรษะไปหา คิ้วตรงสวยขมวดเข้าหากันจนเกิดรอยย่น

“ไม่ทราบว่าคุณพอจะเลี้ยงผมสักแก้วได้ไหมครับ”

ทันทีที่สบตากันชายหนุ่มก็เริ่มขยับนิ้วไล้มาตามเสื้อผ้าของอูกยองอย่างแผ่วเบาพลางหรี่ตาลงช้าๆ พร้อมกับฉีกยิ้ม อูกยองเป็นโอเมก้าที่เห็นเพียงแวบเดียวก็สามารถบอกได้เลยว่างดงามเพียงใด ขนาดตัวเล็กกะทัดรัด ร่างกายบอบบางอ้อนแอ้นน่าปกป้อง ผิวขาวตาโต เครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋ม และริมฝีปากสีแดงชาด ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าเขาเป็นโอเมก้า แถมยังเป็นโอเมก้าที่กำลังแอบหว่านเสน่ห์ใส่อัลฟ่าด้วยการปล่อยฟีโรโมนออกมาอีก

“ทำไมผมต้องเลี้ยงคุณด้วยล่ะครับ” อูกยองยกยิ้มเย็นยะเยียบ

พอโดนอูกยองจ้องตรงๆ และย้อนถามอย่างไม่แยแส ใบหน้าของอีกฝ่ายจึงขึ้นสีด้วยความโกรธเพราะไม่นึกว่าตัวเองจะโดนปฏิเสธ ทว่าก็ยังไม่คิดยอมแพ้ เขากลืนน้ำลายอึกหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากพูดต่อ

“ถ้างั้นผมเลี้ยงเองก็ได้”

อูกยองมองมือที่ยังคงวางอยู่ที่เดิม ก่อนจะจัดการเอามือนั้นออกด้วยการยกแขนขึ้นพร้อมถือแก้วเหล้า เขาเท้าคางพิจารณามองชายหนุ่มที่ดูไม่มีท่าทีจะเลิกตอแยง่ายๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า

ลูกกระเดือกของชายคนนั้นขยับอีกครั้งคล้ายหวั่นใจกับสายตาของอูกยองที่กำลังไล่มองร่างกายตัวเองด้วยแววตาอ้อยอิ่งเสมือนกำลังพินิจบางสิ่งอยู่ กลิ่นประจำตัวโอเมก้าที่อูกยองปล่อยออกมาเข้มข้นขึ้นจนใบหน้าของชายหนุ่มเริ่มขึ้นสีแดงก่ำ ทว่าสีหน้าของอูกยองกลับเยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ ตามความรุนแรงของกลิ่นฟีโรโมนนั้น

“รู้ไหมครับว่าการปล่อยฟีโรโมนใส่คนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตมันเป็นการกระทำที่ต่ำมาก คุณนี่ดูไร้มารยาทกว่าที่เห็นอีกนะครับ”

“เอ่อ…ผมก็แค่…แต่ใครๆ เขาก็ทำกันนี่ครับ…”

อูกยองถอนหายใจอย่างนึกรำคาญ จากที่หงุดหงิดเพราะความต้องการที่ไม่อาจเติมเต็มได้ สุดท้ายเขาเลยลุกออกจากเตียงเพื่อมาที่บาร์ค็อกเทลนี่ แต่พอมาเจอเรื่องแบบนี้อารมณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้วก็พานแย่ลงไปอีก

“ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลยหรือไง”

“คือว่า…คือผมแค่…”

ชายหนุ่มเพียงแค่อยากชวนคุยเพราะหลงใหลในความงดงามของคนตรงหน้าก็เท่านั้น ครั้งแรกที่เห็นด้านหลังของบุรุษกายเพรียวบางที่ดูแล้วน่าจะสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร สมองเขาก็พลันคิดว่าต้องเห็นหน้าเจ้าตัวให้ได้

ยามที่ได้เห็นมุมข้างของชายผู้มีผิวขาว สันจมูกตรง ริมฝีปากบาง รอบกายอวลไปด้วยบรรยากาศเย็นยะเยือกและชวนให้ลุ่มหลง หัวใจเขาก็เต้นแรงและอ่อนยวบลงทันตา หากเป็นที่อื่น การปล่อยฟีโรโมนถือเป็นการกระทำที่เสียมารยาทก็จริง แต่หากเป็นสถานที่เช่นบาร์ค็อกเทลแบบนี้ เขาเคยได้ยินมาว่าบางครั้งการปล่อยฟีโรโมนก็ถูกใช้เป็นเหมือนการส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้ว่ากำลังมีคนสนใจอยู่ได้เช่นกัน

คิ้วของอูกยองขมวดเข้าหากันขณะจ้องมองชายหนุ่มที่กำลังหน้าแดงลนลานเสียอาการอย่างเห็นได้ชัด เขาคงผิดเองที่ออกมาข้างนอกทั้งๆ ที่อารมณ์ยังไม่คงที่ ชายหนุ่มคนนี้ดูเด็กกว่าเขามาก อายุราวยี่สิบต้นๆ เห็นจะได้ หากยังคิดที่จะอยู่ต่อ มีหวังเขาคงได้เอาอารมณ์หงุดหงิดที่พกมาจากบ้านมาลงกับชายคนนี้เป็นแน่

“ช่างเถอะครับ แต่ผมหวังว่าคราวหน้าคุณจะไม่ไปปล่อยฟีโรโมนใส่คนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกนะครับ ไม่งั้นคุณจะซวยเอา…โทษทีนะพี่ ไว้คราวหน้าผมจะมาใหม่”

จองชิกชั่งใจอยู่พักหนึ่งว่าเขาควรปล่อยให้อีกฝ่ายกลับไปเลยดีไหม ทว่าสุดท้ายก็พยักหน้า อูกยองเลื่อนเก้าอี้ลุกขึ้นก่อนจะเดินผ่านชายตรงหน้าไป

 

“คุณหมอมาแล้วหรือคะ”

“สวัสดีค่ะ”

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

อูกยองเอ่ยทักทายเยจินกับจินอาที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ก่อนเดินเข้าไปในห้องตรวจของตน จากนั้นจึงถอดเสื้อตัวนอกออกเพื่อเปลี่ยนเป็นเสื้อกาวน์ ด้วยความที่คลินิกเพิ่งเปิดทำการได้ไม่นาน ห้องตรวจซึ่งอวลไปด้วยกลิ่นของใหม่ๆ จึงถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบตามนิสัยของเจ้าของ

หลังจากเรียนจบสัตวแพทย์อูกยองก็ไปทำงานอยู่ที่คลินิกของรุ่นพี่ได้สามปี ก่อนจะลาออกและปล่อยตัวเองว่างไปอีกหนึ่งปี เขาไม่มีเหตุจำเป็นอะไรให้ต้องรีบหางานทำ เขาเลยมีเวลาเพลิดเพลินกับชีวิตดั่งหนุ่มเจ้าสำราญ ได้ไปเที่ยวอย่างที่ไม่ค่อยได้ไป หรือบางทีอาจมีไปทำงานจิตอาสาตามมูลนิธิบ้างเป็นบางครั้งคราว แต่พอครอบครัวเริ่มบ่นว่าจะเที่ยวเล่นไปถึงเมื่อไร กอปรกับช่วงนั้นคนที่เช่าตึกคนก่อนหน้าย้ายออกเพราะหมดสัญญาเช่าพอดี เขาจึงถือโอกาสเปิดคลินิกที่นั่นเสียเลย

อูกยองไม่ได้ตั้งใจจะทำงานอย่างจริงจังเพราะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับการหาเงินนัก เพราะยังเหลือตึกสุดหรูแถวคังนัมเป็นมรดกตกทอดจากคุณปู่อยู่

ในตอนนั้นเองซอนโฮ รุ่นน้องสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็เดินเข้ามาในห้องตรวจพอดี

“เมื่อวานพักผ่อนสบายดีไหมครับ รุ่นพี่”

“อืม ไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหม”

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ เพราะไอ้ไม่มีอะไรเลยนี่แหละที่เป็นปัญหา เมื่อวานเรามีเคสเข้ามาแค่สามเคสเองนะครับ”

เมื่อวานมีแค่เคสตรวจร่างกาย ฉีดวัคซีน และสั่งยานิดหน่อยเท่านั้น ซอนโฮจึงมีเวลาว่างไปนั่งเล่นเม้าท์มอยทั้งวัน อูกยองมองซอนโฮบ่นกระปอดกระแปดก่อนหลุดหัวเราะคิกคักพลางเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเตรียมทำการตรวจ

ช่วงนี้พอซอนโฮเจอหน้าเขาก็จะเอาแต่พูดเรื่องโปรโมตคลินิก ตั้งแต่ ‘เรามาสร้างแอ็กเคานต์อินสตาแกรมกันเถอะครับรุ่นพี่ ไม่สิ ช่วงนี้เป็นยุคทองยูทูบนี่นา เราจ้างช่างตัดขนมาด้วยดีกว่า’ จนถึงเรื่องไร้สาระอย่าง ‘เอารูปรุ่นพี่อูกยองมาทำป้ายแขวนโฆษณากันเถอะ’

“แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนล่ะ กลัวฉันไม่จ่ายเงินเดือนหรือไง”

“เรื่องเงินเดือนน่ะ รุ่นพี่ต้องจ่ายผมแน่ๆ อยู่แล้วแหละ ผมรู้หรอกว่ารุ่นพี่อู้ฟู่ขนาดไหน แต่ปัญหาคือผมกลัวรุ่นพี่จะหมดใจกับคลินิกอันแสนน่าเบื่อนี่ แล้วปล่อยให้เช่าเหมือนที่อื่นเขาน่ะสิ”

“ไม่แน่นะ ถ้างานยุ่งกว่านี้ฉันอาจจะหมดใจไปจริงๆ ก็ได้”

“ผมรู้หรอกน่าว่ารุ่นพี่ไม่ใช่พวกไร้ความรับผิดชอบแบบนั้น”

อูกยองทำเสียงหัวเราะขึ้นจมูกกับถ้อยคำของซอนโฮที่พูดไปยิ้มไป

“ก็ไม่แน่นะ ถ้าเกิดงานมันยุ่งขึ้นมาจริงๆ ฉันจะอาจจะหนีเที่ยวแล้วฝากคลินิกไว้กับนายก็ได้”

“แค่รุ่นพี่ไม่ปิดคลินิกแบบถาวรก็พอครับ แต่พูดก็พูดเถอะ รุ่นพี่ช่วยทำตัวอ่อนโยนกับเจ้าของเด็กๆ กว่านี้สักหน่อยจะได้ไหมครับ”

“ฉันก็ออกจะอ่อนโยน?”

“อย่าอ่อนโยนแค่กับลูกค้าวีไอพีสิครับ อ่อนโยนให้มันทั่วถึงหน่อย”

“ฉันก็ยุติธรรมสุดๆ แล้วนะ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคนพวกนั้นสมควรได้รับการปฏิบัติแบบไหนต่างหาก”

“เฮอะ แล้วผมจะพูดอะไรต่อได้เนี่ย ผมรู้หรอกว่ารุ่นพี่น่ะขี้โมโหจะตาย”

อูกยองมองพลางยิ้มขำซอนโฮที่ส่ายหน้าไปมา รุ่นพี่ที่ไม่นึกโกรธเคืองเวลารุ่นน้องบอกว่าตัวเองขี้โมโหนี่มันขี้โมโหตรงไหนกัน แบบนี้เขาเรียกอ่อนโยนไม่ใช่หรือ

ความจริงแล้วหลังจากเปิดมาได้แค่สองเดือน คลินิกก็ถูกเอาไปวิพากษ์วิจารณ์บนกระทู้ของกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยง เยจินเป็นคนเอามาให้อูกยองดู ตอนนี้เขาเลยกำลังนึกถึงบรรยากาศแบบคร่าวๆ อยู่ว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร ถ้าเอาตามบทวิจารณ์ ในเนื้อหานั้นบอกไว้ว่าเจ้าของกระทู้ได้ลองเข้าไปใช้บริการคลินิกแห่งหนึ่งเพราะหลงใหลรูปโฉมของคุณหมอ ทว่าสุดท้ายก็เป็นอันต้องร้องไห้กระซิกๆ วิ่งหนีออกมา ทั้งยังบอกอีกว่ามีหมอที่นิสัยหยาบคายมากๆ อยู่คนหนึ่ง หากใครกล้าก็ลองเข้าไปพิสูจน์ดูเอาเอง

“ฉันก็แค่พูดในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น พวกเขาโมโหเพราะมันแทงใจดำตัวเอง แล้วจะให้ฉันทำยังไงได้ล่ะ”

อูกยองยักไหล่ทีหนึ่งก่อนขยับฝีเท้าเดินไปทางห้องที่มีบรรดาสัตว์เลี้ยงกำลังนอนรักษาตัวอยู่

“ไหนดูซิ เจ้าโชรงหม่ำๆ หรือยังเอ่ย วันนี้หน้าตาแจ่มใสดีนะเนี่ย”

สัตว์เลี้ยงตัวน้อยเข้ารับการรักษามาตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนด้วยอาการอาเจียนรุนแรงร่วมกับอาการท้องร่วง อูกยองวินิจฉัยว่าเจ้าตัวน้อยเป็นโรคลำไส้อักเสบ ทั้งยังมีอาการขาดน้ำรุนแรงร่วมด้วย เบื้องต้นเขาเลยให้นอนอยู่ที่คลินิกเพื่อดูอาการไปก่อน ทันทีที่เจ้าตัวเล็กซึ่งนอนอยู่ในตู้พักฟื้นเห็นอูกยองเข้า มันก็ลุกขึ้นกระดิกหางไปมาด้วยความดีใจ อูกยองยิ้มพอใจเมื่อเห็นจมูกสีดำมันวาวกับก้นของมันส่ายดุ๊กดิ๊กต้อนรับ

“ซอนโฮ เมื่อวานลองตรวจโชรงหรือยัง”

“ตรวจแล้วครับ โชคดีที่ผลออกมาว่าอาการคงที่แล้ว เมื่อเย็นวานก็เริ่มกินอาหารได้ เดี๋ยวตอนเย็นผมจะติดต่อกับทางเจ้าของว่าให้มารับกลับบ้านได้ครับ”

“โอเค โล่งอกไปทีนะ น่าดีใจจริงๆ ที่โชรงของเราหายดีแล้ว วันนี้คงได้กลับไปนอนกับคุณแม่สักที เนอะ?”

“ถ้ารุ่นพี่มองคุณเจ้าของเหมือนที่มองพวกเด็กๆ บ้าง ป่านนี้คลินิกของเราคงดังระเบิดไปแล้ว”

พอได้เห็นอูกยองเปิดโหมดคุยเสียงสองกับเด็กๆ ซอนโฮก็ได้แต่แอบขมุบขมิบปากบ่นงุบงิบอยู่ด้านหลังพลางทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเลียนแบบไม่ให้เจ้าตัวรู้ อูกยองเลือกที่จะเมินเสียงนั้นพลางลูบหัวเจ้าโชรงอย่างอ่อนโยน อาจจะต้องให้กินยาสักระยะหนึ่งแล้วก็นัดตรวจเพื่อติดตามอาการอีกรอบ แต่ปกติเจ้าของเองก็ใส่ใจดูแลเป็นอย่างดีอยู่แล้วคงฟื้นตัวได้ในไม่ช้า ถ้ามีแต่เจ้าของสัตว์เลี้ยงแบบนี้เขาก็คงไม่ต้องคอยปล่อยลำแสงเลเซอร์ออกจากตาหรอก มันเป็นเพราะคนพวกนั้นชอบทำตัวน่าโมโหเองต่างหาก

อูกยองรินกาแฟกลิ่นหอมเข้มจากหม้อกาแฟที่ถูกจัดเตรียมไว้ในห้องรับรอง ก่อนเดินถือเข้าห้องตรวจและปิดประตูลง เขานั่งลงหน้าโต๊ะพลางคิดเล่นๆ ว่าหากวันนี้ไม่มีเคสก็คงจะดี ซึ่งถ้าซอนโฮได้ยินเข้า เขาคงโดนบ่นจนหูชาเป็นแน่ อูกยองเปิดหนังสือไปยังหน้าที่อ่านค้างไว้ จากนั้นก็จมดิ่งลงสู่เนื้อหาอย่างรวดเร็ว สภาพแวดล้อมที่ไม่มีเคส เงียบสงบ สดชื่น และแจ่มใสเช่นวันนี้ ช่างเหมาะแก่การอ่านหนังสือเป็นอย่างยิ่ง

ทว่าอ่านไปได้ไม่เท่าไรอูกยองก็จำต้องเงยหน้าจากหนังสือตามเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นเบาๆ เยจินผู้เป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคการสัตวแพทย์เป็นคนเดินเข้ามาบอกว่ามีเคสที่กำลังรอให้เขารักษาอยู่ อูกยองพลิกหน้าหนังสือที่กำลังอ่านด้วยท่าทีไร้ซึ่งความกระตือรือร้นพลางพูดขึ้น

“ส่งต่อเคสให้คุณหมอพัคเลยครับ”

“ฉันก็อยากทำแบบนั้นอยู่หรอกค่ะ แต่ตอนนี้คุณหมอพัคกำลังติดคิวตรวจอยู่นี่สิคะ”

คิ้วของอูกยองขมวดเข้าหากันแวบหนึ่ง ฟังจากเสียงเน้นย้ำเป็นพิเศษของเยจินแล้วดูท่าว่าจะไม่ใช่เจ้าของที่น่าพิสมัยสักเท่าไรนัก อูกยองเม้มปากก่อนปิดหนังสือลง

“เชิญเข้ามาได้เลยครับ”

คู่รักหนุ่มสาววัยประมาณยี่สิบปลายๆ เดินเข้ามาวางลูกแมวตัวเล็กลงบนโต๊ะตรวจอย่างระมัดระวัง เสร็จแล้วจึงนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ทั้งสองกำลังจ้องมองอูกยองด้วยแววตาเป็นประกายอย่างคนที่รอรับคำชมประหนึ่งว่าตนได้ทำความดีอันใหญ่หลวงมา

“พวกเรากำลังเดินๆ อยู่แล้วเห็นเจ้าหนูนี่อยู่บนถนนตัวเดียว ดูท่าจะยังเด็กมากๆ แถมไม่เห็นแม่แมวด้วย พวกเราเลยพามามันที่นี่น่ะค่ะ”

อูกยองเหลือบมองฝ่ายหญิงที่กำลังอธิบายเหตุการณ์ ก่อนจับลูกแมวน้อยอ้าปากออกเพื่อเช็กดูอายุโดยประมาณ จากนั้นก็เริ่มตรวจร่างกายด้วยมือเปล่า หลังจากตรวจตา หู และฟังเสียงชีพจร รวมถึงตรวจจุดอื่นๆ เสร็จก็ค่อยๆ ใช้นิ้วมือกดคลำหน้าท้องของลูกแมว ร่างของเจ้าเหมียวน้อยที่ดีดดิ้นไปมาเพราะไม่คุ้นชินกับสัมผัสจากมือมนุษย์ถูกวางลงบนโต๊ะตรวจอย่างเบามือ

“ที่เรากำลังทำอยู่นี่เขาเรียกว่าการช่วยแมวจรใช่ไหม”

“อื้ม น่าจะใช่นะ ปกติเห็นแค่ในอินเตอร์เน็ต แต่เพิ่งเคยลองทำครั้งแรก สุดยอดไปเลยเนอะ”

อารมณ์หงุดหงิดของอูกยองไหลมากองรวมกันตรงกลางหว่างคิ้วยามได้ยินบทสนทนาของคู่รักทั้งสองที่คุยโต้ตอบกันเสมือนกำลังแบ่งปันประสบการณ์อันน่ารื่นรมย์ ความจริงไม่มีอะไรต้องตรวจด้วยซ้ำ สภาพร่างกายของเจ้าลูกแมวนี่ไม่ใช่แค่ดีเยี่ยม แต่เรียกได้ว่าสมบูรณ์ไร้ที่ติเลยต่างหาก นอกจากนี้ยังเพิ่งเกิดมาได้แค่เดือนเดียว ไม่ใช่วัยที่จะสามารถแยกออกจากอกแม่ได้ด้วย ดูก็รู้ว่าแม่แมวตั้งใจดูแลลูกของมันอย่างสุดกำลัง อูกยองอยากจะตะโกนออกไปว่า ‘เจ้าพวกเซ่อเอ๊ย’ เหลือเกินแต่ก็ต้องยั้งเอาไว้

“แบบนี้เขาไม่เรียกว่าช่วยแมวจรหรอกนะ เขาเรียกว่าลักพาตัวแมว”

“คะ?”

“ผมหมายความว่าพวกคุณไปลักพาตัวเจ้าหนูนี่มาต่างหาก”

“ลักพาตัวอะไรกันคะคุณหมอ ลูกแมวยังเล็กขนาดนี้จะให้ใช้ชีวิตข้างถนนตัวเดียวมันอันตรายออกนะคะ ดูท่าจะออกหาอาหารเองไม่ได้ด้วย ถ้าเกิดอดตายหรือโดนตัวอื่นรังแกขึ้นมาจะทำยังไงล่ะคะ”

“ใครบอกว่าเจ้าหนูนี่อยู่ตัวเดียวกันครับ”

“พวกเรามองดูรอบๆ แล้วก็ไม่เห็นตัวแม่แมวเลยนี่คะ นายก็ไม่เห็นใช่ไหม”

“ใช่ครับคุณหมอ แถวนั้นไม่เห็นมีแม่แมวเลย”

คู่รักยังไม่ยอมย่อท้อต่อการหาข้ออ้างมาสาธยาย คงเพราะเริ่มรู้สึกแล้วว่าตัวเองทำอะไรผิดเข้าสักอย่าง คำว่า ‘ถ้าไม่รู้ก็อยู่เงียบๆ จะดีกว่า’ เป็นประโยคที่ควรเอามาใช้ในเวลาแบบนี้จริงๆ

ในทุกๆ ปีเมื่อถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิที่เจ้าเหมียวมักจะขยายพันธุ์กันเป็นว่าเล่น มีลูกแมวจำนวนมากที่ถูกช่วยเหลือไว้เพราะสภาพแวดล้อมตามท้องถนนไม่เหมาะแก่การใช้ชีวิต หรือเพราะมีสภาพร่างกายที่ดูน่าเป็นกังวล แต่กระนั้นก็ยังมีกรณีที่พวกลูกแมวถูกคนไม่รู้สี่รู้แปดมาพรากมันออกจากอกแม่ที่ดูแลลูกของมันเป็นอย่างดีให้เห็นแบบนี้อยู่เป็นประจำ อาจเป็นเพราะอิทธิพลจากคลิปที่คู่รักพูดถึงกันเมื่อครู่ จึงทำให้คนเราเกิดการโรแมนติไซส์*ว่าการกระทำแบบนี้เป็นเรื่องดีงาม พอดูคลิปสัตว์น่ารักน่าเอ็นดูเหล่านั้นจบก็พากันไปจับพวกมันมาเลี้ยงในบ้านหน้าตาเฉยโดยไร้ซึ่งความรับผิดชอบและการวางแผนในการรับมือใดๆ

“แม่แมวจะกระเตงลูกไปหาอาหารตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงได้ยังไงกันครับ ถ้ากลับจากหาอาหารแล้วเห็นลูกตัวเองหายไป ป่านนี้มันคงกำลังร้อนใจออกตามหา หรือบางทีมันอาจจะกำลังซ่อนตัวอยู่สักที่และกำลังร้องไห้เสียใจมองดูลูกของมันถูกมนุษย์ใจร้ายลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตาก็ได้นะครับ”

“คือพวกเราไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นนะคะ…เราไม่ได้เอาเจ้าหนูนี่มาด้วยเจตนาร้ายแบบนั้นเลยจริงๆ นะคะ”

แหงสิ นึกใจบุญพาเขามา แต่ไม่ทันคิดว่าตัวเองก่อผลลัพธ์แบบไหนลงไปแล้ว แต่ถ้ามาระเบิดลงเอาตรงนี้ก็คงไม่ช่วยอะไร อย่างไรเสียเจ้าลูกแมวก็ถูกมือคนสัมผัสไปแล้ว เขาเองก็ไม่มั่นใจเลยว่าหากคืนเจ้าหนูนี่ให้แม่แมวไปแล้ว แม่ของมันจะยังจำกลิ่นลูกของตัวเองได้หรือเปล่า และเขาก็ไม่มั่นใจด้วยว่าแม่แมวจะยังอยู่ที่เดิมไหม ดังนั้นภาระความรับผิดชอบต่อชีวิตของลูกแมวตัวนี้จึงต้องตกไปอยู่ที่หนุ่มสาวคู่นี้แทน

“คราวหน้าคราวหลังถ้าเจอลูกแมวอยู่แค่ตัวเดียวให้จับตาดูอย่างน้อยสักสองวันนะครับว่าแม่ของมันไม่อยู่จริงๆ หรือแค่ทิ้งลูกไว้ครู่หนึ่งแล้วออกไปข้างนอกเฉยๆ ถ้าหากสภาพร่างกายไม่ถึงกับน่าเป็นห่วงก็ไม่ควรจับต้องมันเด็ดขาด แล้วจะเอาไงต่อครับ ไหนๆ ก็ไปพรากลูกเขามาแล้ว พวกคุณสองคนคงคิดที่จะดูแลลูกแมวตัวนี้ไปตลอดชีวิตอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ”

อูกยองวาดรอยยิ้มหวานจอมปลอมพลางจ้องมองคู่รักตรงหน้า ครั้นเห็นสีหน้าท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ ของคู่รักที่มองหน้ากันไปมาเพราะตกใจกับคำถามของเขาเข้า เขาก็รับรู้ได้ทันทีเลยว่าหนุ่มสาวสองคนนี้พาเจ้าหนูนี่มาแบบไม่ทันได้คิดอะไรเลยจริงๆ

“โธ่ ไม่เอาน่า ไปลักพาตัวลูกแมวสภาพครบสามสิบสองมาแบบนี้จะทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ได้ยังไงกันล่ะ กลิ่นมนุษย์ติดลูกแมวขนาดนี้แล้ว มันจะกลับไปหาแม่ของมันได้ไหมก็ไม่รู้ ถ้าพวกคุณสองคนไม่ยอมดูแลเองแล้วชีวิตเจ้าหนูนี่จะเป็นยังไงต่อไปล่ะ ใช่ไหมครับคุณเยจิน”

“นั่นสิคะ น้องไม่น่าจะกลับไปหาคุณแม่ได้อยู่แล้ว ยังเล็กแบบนี้ขืนส่งเข้ามูลนิธิรับเลี้ยงไปแล้วเกิดติดเชื้อขึ้นมาคงวุ่นกันเข้าไปใหญ่ นี่คงเป็นโชคชะตาที่น้องแมวจรตัวนี้จะได้มีบ้านอยู่แล้วล่ะค่ะ”

ใบหน้าของคู่รักทั้งสองที่จ้องมองอูกยองและเยจินซึ่งพูดเสริมรับส่งกันไปมาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก อูกยองที่กำลังครุ่นคิดอยู่ว่าถ้าจะให้ฝากแมวน้อยไว้กับสองคนนี้ สู้เขาเอามาดูแลที่คลินิกเองแล้วค่อยหาคนรับเลี้ยงน่าจะดีกว่ามั้ง ทว่าทั้งสองคนก็ตอบขึ้นมาเสียก่อน

“นะ…นั่นสินะคะ”

“ถ้างั้นพวกเราจะรับเลี้ยงเองครับ”

แม้จะไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไร แต่นั่นก็ไม่ใช่กงการของเขาที่จะต้องไปบังคับขู่เข็ญ อูกยองสูดหายใจเข้า ภาวนาเพียงแค่ให้คู่รักเซ่อซ่านั่นเลี้ยงดูลูกแมวเป็นอย่างดีไปจนถึงที่สุดก็พอ ท่าทางก็ไม่น่าใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร เขาได้แต่หวังว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อาจเป็นหนทางที่ทำให้หนุ่มสาวสองคนนี้ก้าวเข้าสู่การเป็นทาสแมวก็เป็นได้

“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาฉีดวัคซีนเพราะเจ้าหนูนี่ยังเด็กอยู่ แล้วก็ไม่ได้มีจุดไหนที่ได้รับบาดเจ็บเป็นพิเศษ แต่ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากนี้กรุณาพามาฉีดวัคซีนด้วยนะครับ เสร็จแล้วออกไปด้านนอกเพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับของใช้ที่จำเป็นและวิธีการดูแลขั้นพื้นฐาน แล้วก็ถือโอกาสนี้ขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงไปด้วยเลยก็ได้นะครับ ผมหวังว่าจะได้พบพวกคุณในอีกหนึ่งเดือนให้หลังนี้นะครับ”

คู่รักทั้งสองตอบรับอูกยองที่เน้นเสียงหนักแน่นตรงคำว่า ‘หวังว่า’ ด้วยน้ำเสียงหงอยๆ พวกเขาอุ้มลูกแมวเดินออกไปจากห้องตรวจ อูกยองมองตามแผ่นหลังของสองคนนั้นพลางส่ายศีรษะไปมา ก่อนทำการบริหารร่างกายเพื่อยืดกล้ามเนื้อที่จับตัวยึดกัน

“วันนี้คุณหมอดูไม่ค่อยหัวร้อนเท่าไหร่นะคะ”

“พวกเขาออกไปแล้วใช่ไหมครับ”

“ค่ะ”

อูกยองเลิกคิ้วพร้อมยักไหล่ให้กับคำพูดของเยจินที่ยิ้มกว้างเดินเข้ามา

“ถ้าพวกเขาเกิดโมโหผมแล้วเอาแมวไปปล่อยไว้ที่เดิมขึ้นมา เจ้าแมวนั่นก็ยิ่งน่าสงสารน่ะสิครับ”

เยจินนึกภาพตามถึงคู่รักจอมเด๋อด๋าสองคนนั้น ถึงพวกเขาจะดูไม่มีเจตนามุ่งร้ายเลยแม้สักนิด แต่ก็เหมือนจะขาดความรับผิดชอบต่อการรับใครสักคนเข้ามาเป็นครอบครัว เธอก็คงได้แต่ภาวนาให้พวกเขากลายเป็นครอบครัวที่ดีของเจ้าลูกแมวที่ถูกพรากจากแม่ตั้งแต่ยังเล็กด้วยเถอะ

“คุณหมอเอาร่มมาด้วยหรือเปล่าคะ”

เยจินที่ยืนพูดอยู่ข้างประตูจู่ๆ ก็โพล่งถามขึ้นหลังมองเห็นบรรยากาศนอกหน้าต่างจากทางด้านหลังของอูกยองที่กำลังมืดครึ้มลงฉับพลัน

“ไม่ได้เอามาครับ”

“เห็นเขาว่าวันนี้ตั้งแต่ช่วงบ่ายฝนจะตกหนัก คุณหมอไม่ได้ดูพยากรณ์อากาศเหรอคะ”

อูกยองลูบคางเล็กน้อยพลางหมุนเก้าอี้แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนออกมาทำงานเมื่อเช้านี้อากาศก็ดูเหมือนว่าจะแจ่มใสทั้งวันแท้ๆ ไฉนจู่ๆ ท้องฟ้ากลับมืดมัวปกคลุมไปด้วยเมฆฝนเสียได้

“ไม่ได้ดูเลยครับ คุณเยจินเอามาเหรอครับ”

“ฉันก็ไม่ได้เอามาเหมือนกันค่ะ พอดีเมื่อเช้าฟังมาจากพี่จินอาอีกที”

เยจินถอนหายใจเฮือก เมื่อคืนเธอดันนอนดึกเช้าวันนี้เลยลนลานมัวแต่เตรียมตัวออกมาทำงาน ไม่มีสติกระทั่งเช็กสภาพดินฟ้าอากาศ

“ไหนๆ เลิกงานก็ไม่มีอะไรต้องทำเป็นพิเศษแล้ว ติดรถผมไปด้วยกันเลยมั้ยครับ”

อูกยองส่งสายตาพร้อมคำถามไปหาเยจินที่จ้องเขม็งมาทางตนเอง เยจินยืนกอดแฟ้มประวัติการรักษาพลางพิจารณาอูกยองไปด้วย หญิงสาวฉีกยิ้มครู่หนึ่งก่อนเอื้อนเอ่ย

“คุณหมอรู้ตัวหรือเปล่าคะว่าคุณหมอเป็นคนที่ละเอียดอ่อนมาก”

อูกยองมองเยจินเสมือนอยากถามว่าเธอไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า เคยได้ยินคนบอกเขาหยาบคายมามาก แต่คำว่าละเอียดอ่อนนี่เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ละเอียดอ่อนอย่างนั้นหรือ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นคำที่ไม่คู่ควรกับเขาสักเท่าไร

“ฉันเพิ่งรู้ซึ้งจริงๆ ก็เมื่อสี่เดือนที่แล้วนี่เอง อย่างแรกเลยคือคุณหมอมักอ่อนโยนกับผู้คนที่เข้ามาอยู่ในอาณาเขตของตัวเอง แถมยังอ่อนโยนเกินคาดด้วยค่ะ เพราะแบบนั้นเลยจ้างคนแบบฉันทั้งๆ ที่เพิ่งเปิดคลินิกเป็นครั้งแรกใช่ไหมล่ะคะ”

“คนแบบคุณมันทำไมเหรอครับ คุณทั้งนิสัยดี ขยันทำงาน และรับผิดชอบไม่เคยบกพร่องเลยไม่ใช่หรือไง”

อูกยองพูดพลางยักไหล่ข้างหนึ่งอย่างไม่ยี่หระ เยจินวาดรอยยิ้มขอบคุณให้กับท่าทางของคุณหมอ

สี่เดือนก่อนเยจินเห็นประกาศรับสมัครตำแหน่งเจ้าหน้าที่เทคนิคการสัตวแพทย์ของคลินิกที่เพิ่งเปิดใหม่พอดี จึงเดินเข้าไปในคลินิกนั้นพร้อมกับเอกสารสมัครงาน เธอได้สอบสัมภาษณ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งกับอูกยอง ณ ที่แห่งนี้ซึ่งยังไม่เปิดทำการอย่างเต็มรูปแบบ ความจริงตอนที่หอบเอกสารสมัครงานมาจนถึงที่นี่ เยจินไม่ได้คาดหวังมากมายว่าจะได้งานด้วยซ้ำ เพราะเธอได้ลิ้มรสความล้มเหลวของการสมัครงานมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ซึ่งตีตราชัดอยู่บนใบหน้าด้านหนึ่งของเยจินที่กำลังแย้มยิ้มราวกับกำลังนึกถึงเรื่องราวในวันวาน

จำไม่ได้ว่าตั้งแต่อายุเท่าไร เยจินกำลังเล่นอยู่บนกระดานลื่นและเกิดอุบัติเหตุร่วงตกลงมาจากที่สูง มันเป็นโชคร้ายครั้งใหญ่สำหรับเธอ เพราะเธอเผลอเอาหน้าลง มิหนำซ้ำยังตกลงไปบริเวณก้อนหินที่พวกเด็กๆ มักเอามากองเล่นกันอีก รอยแผลขนาดใหญ่ยากต่อการลบเลือนจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีกหนึ่งของเธอ ทว่าโชคดีที่โดนแค่แก้มกับกระดูกโหนกแก้ม ไม่ได้ลามไปถึงดวงตา จมูก และปาก แต่รอยแผลลักษณะเป็นหลุมลึกผิดแผกแปลกตานั้นก็ทำให้คนที่มองมาขมวดคิ้วไปตามๆ กัน

เยจินรู้ดีว่าใบหน้าของตนดูเป็นอย่างไรในสายตาคนอื่นๆ เธอเคยแอบคาดหวังว่ามันจะจางหายไปทีละเล็กทีละน้อยตามกาลเวลา ทั้งยังเคยเข้ารับการรักษามาบ้างแล้วแต่กลับไม่ได้ผลเลย แม้จะเห็นใบหน้าตัวเองอยู่ทุกวันมาตลอดยี่สิบปีก็ไม่เคยทำใจให้ชินได้สักที

เมื่อถึงช่วงเวลาต้องตัดสินใจเลือกอาชีพ เยจินจึงหมายมั่นปั้นมือว่าจะทำอาชีพเกี่ยวกับเทคนิคการสัตวแพทย์ เธอคิดว่าหากสิ่งที่ต้องเผชิญคือสัตว์ไม่ใช่คน รอยแผลบนใบหน้านี้คงไม่เป็นปัญหากวนใจแก่ใคร หากแต่ความเป็นจริงกลับสวนทางกับสิ่งที่คิด เพราะแม้จบมาด้วยผลการเรียนอันยอดเยี่ยม แต่การหางานนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ต่อให้เป็นโรงพยาบาลสัตว์หรือคลินิกรักษาสัตว์สุดท้ายก็ต้องมารับมือกับคนด้วยกันอยู่ดี แต่แค่ไม่มีใครเคยบอกกล่าวเธอก่อนก็เท่านั้น เธอวิ่งวุ่นถือเอกสารสมัครงานไปด้วยทุกครั้งเมื่อมีโอกาส ทว่าไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่ความคาดหวังว่าตนเองจะทำสำเร็จกลับกำลังเลือนหายไป วันที่เธอมาที่นี่ก็เช่นกัน

‘คลินิกเริ่มเปิดตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป เชิญเริ่มงานได้ตั้งแต่ตอนนั้นเลยนะครับ’

เธอทำหน้าประหลาดใจกับอูกยอง ทันทีที่เธอเดินเข้ามาอีกฝ่ายแค่มองหน้าครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงกวาดตามองเอกสารสมัครงาน อูกยองทำเพียงพินิจดูเอกสารในมือโดยไม่มีการถามคำถามเพิ่มเติมเลย เยจินสูดหายใจเข้าแรงๆ เฮือกหนึ่งตอนที่อูกยองพูดคำว่าให้เริ่มงานได้ออกมาหน้าตาเฉยหลังพิจารณากระดาษแสนบางเฉียบหนึ่งแผ่นที่ไร้ซึ่งประสบการณ์การทำงานใดเขียนเอาไว้เลย เนื่องจากเธอไม่เคยเริ่มทำงานมาก่อน

‘จริงเหรอคะ จะไม่เป็นไรเหรอคะ แม้ว่าใบหน้าของฉันจะเป็นแบบนี้น่ะเหรอคะ’

อูกยองวางเอกสารที่ถือไว้ลงบนโต๊ะและจัดท่านั่ง ก่อนเลิกคิ้วขึ้นกับคำพูดของเยจิน

‘ยังเจ็บอยู่เหรอครับ’

‘ไม่เจ็บเลยค่ะ!’

‘ถ้างั้นมันเป็นปัญหายังไงเหรอครับ’

แววตาที่จ้องมองมายังตนราวกับกำลังถามว่าสรุปแล้วมีปัญหาอะไรไหมทำเอาเยจินขนลุกชัน ปกติสายตาที่มองมาหาเยจินนั้นมักมีอยู่สองแบบ ไม่แววตาเวทนาอย่าง ไปทำอีท่าไหนมากันนะ’ ก็แววตารังเกียจอย่าง ‘รกสายตาจริง’ ทว่าดวงตาของผู้ชายคนนี้กลับไม่มีแววเหล่านั้นปะปนอยู่เลย

นี่แผลเป็นของเราคงไม่ได้จางหายไปแล้วจริงๆ หรอกนะ

เยจินยกมือซ้ายมาจับมือขวาที่พยายามจะจับเช็กใบหน้าโดยอัตโนมัติแน่น

‘ลูกค้าจะรังเกียจเอานะคะ’

คำพูดนั้นชวนให้คิ้วของอูกยองขยับมาชนกัน ในอกเยจินนั้นสั่นรัวไปชั่วขณะ หรือว่าใบหน้าของเธอจะเป็นปัญหาจริงๆ? ตอนแรกให้เริ่มงานได้ แต่พอลองคิดอีกทีแล้วมันไม่โอเคจริงๆ หรือเปล่านะ

‘คุณไม่ได้จะมาสมัครงานหรอกเหรอครับ ถ้าตั้งใจมาสมัครแล้วทำไมถึงพูดอะไรแบบนั้น ดูท่าปัญหามันจะไม่ได้อยู่ที่แผลเป็น แต่อยู่ที่บุคลิกของคุณมากกว่า ต่อให้คุณมีตาเดียวหรือสองปาก สัตว์ที่เข้ามารักษาในคลินิกของเราก็คงไม่สนใจหรอกครับ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเรื่องนั้นมันถึงเป็นปัญหาในการทำงานได้’

ด้วยเหตุนั้นเยจินจึงได้มาทำงานที่นี่ในที่สุด เธอรู้สึกขอบคุณอูกยองเหลือเกิน ไม่ใช่เพราะเขารับเธอเข้ามาทำงาน แต่เป็นเพราะเขาเลือกที่จะมองข้ามรอยแผลเป็นของเธอต่างหาก ทุกคนที่ได้รู้จักกับเธอก็เช่นกัน รวมถึงเพื่อนร่วมงานอย่างคุณหมอพัคและพี่จินอาด้วย ผู้คนทั่วไปมักยิ้มแหยๆ และให้เกียรติกันตอนพบปะครั้งแรก แต่พอสนิทสนมคุ้นเคยมากขึ้นก็มักจะเริ่มถามถึงรอยแผลว่าได้มาอย่างไร เคยลองรักษาหรือยัง เจ็บมากไหม ทว่าอูกยองไม่ใช่คนเช่นนั้นเลย

อูกยองทำท่าทีเหมือนไม่รู้ว่าบนใบหน้าของเธอมีรอยแผลประดับอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเลิกสนใจคนอื่นไปแล้วหรืออย่างไร แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอูกยอง เยจินก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้กลายเป็นคนธรรมดาทั่วไปอีกครั้ง เธอจึงรู้สึกซาบซึ้งใจกับเหตุการณ์ในวันนั้นมากจริงๆ

 

อากาศเริ่มอึมครึมตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ ราวกับว่ามันกำลังดูดกลืนความชื้นเข้าไป ท้องฟ้าเป็นสีขี้เถ้าคล้ายกับฝนจะเทลงมาในอีกไม่ช้า และแล้วฝนเม็ดใหญ่ที่เคยตกเปาะแปะช่วงใกล้เลิกงานก็แปรเปลี่ยนเป็นพายุฝนรุนแรง

ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นฝนในฤดูใบไม้ผลิที่ตกหนักแบบนี้ อูกยองครุ่นคิดก่อนเปิดหน้าต่างห้องตรวจออก กลิ่นชื้นของฝนอวลพัดเข้ามาภายใน หยาดน้ำฝนสาดมาโดนวงกบ ก่อนจะกระเซ็นลงบนหลังมือของเขาที่กำลังจับกรอบหน้าต่างอยู่ เมื่อใกล้ได้เวลาเลิกงานอูกยองก็ได้ยินเสียงสนทนาเซ็งแซ่ของเหล่าบุคลากรดังลอดผ่านประตูห้องตรวจที่เปิดค้างไว้

“คุณหมอพัคเลิกงานแล้วจะไปไหนต่อเหรอคะ”

“วันนี้ฝนตกหนักน่าดู เลยว่าจะนั่งดื่มเบียร์ชิลๆ ดูหนังสยองขวัญน่ะครับ”

“ชอบดูหนังแนวนั้นเหรอคะ”

“ครับ วันที่ฝนตกหนักแบบนี้เนี่ย หนังสยองขวัญคือที่สุดแล้วครับ บรรยากาศอึมครึมกับอากาศชื้นๆ มันทำให้อินมากกว่าเดิมอีกนะครับ”

อูกยองฟังแล้วขมวดคิ้วไปครู่หนึ่ง หนังสยองขวัญนี่ตัวขยาดเขาเลย ยิ่งหนังที่มีผีหรือซอมบี้จากจักรวาลอื่นโผล่มายิ่งแล้วใหญ่ ให้ดูหนังระทึกขวัญเสียยังดีกว่า เขาไม่ชอบดูหนังแนวนั้นเพราะกลัวว่าพอเห็นพวกคุณๆ ที่ขยับตัวด้วยท่าทางพิลึกพิลั่นโผล่มาตุ้งแช่กันแล้วจะเก็บเอาไปฝัน

ซอนโฮเคาะห้องตรวจของอูกยองทันทีที่นาฬิกาบอกเวลาหนึ่งทุ่มตรงซึ่งเป็นเวลาเลิกงาน ใบหน้าที่โผล่มาตรงช่องประตูซึ่งเปิดแง้มอยู่นั้นดูร่าเริงเบิกบาน อูกยองหลุดหัวเราะกับคนที่ชอบบ่นให้เขาหัดทำหน้าเรียกแขกเรียกลูกค้า แต่พอถึงเวลาตัวเองเลิกงานกลับดูระริกระรี้เสียอย่างนั้น

“รุ่นพี่ครับ ผมกลับบ้านก่อนนะ”

“อืม วันนี้ขอบใจมาก”

“คุณหมอคะ ฉันก็ขอตัวกลับก่อนค่ะ”

“ครับ กลับดีๆ นะครับ”

พอซอนโฮกับจินอากลับไปแล้ว เขาก็เริ่มทำการบีบนวดลำคอที่แข็งตึง วันนี้อูกยองกับเยจินมีตรวจล่วงเวลาจนถึงสี่ทุ่ม เพิ่งผ่านวันหยุดมาแท้ๆ กลับต้องมานั่งทำงานล่วงเวลาเอาเสียได้ เขาคงจัดตารางงานผิดพลาดแน่ๆ เนื่องจากซอนโฮยืนกรานว่าเราจำเป็นต้องมีการเปิดล่วงเวลาด้วย ผลสรุปจึงลงเอยที่อูกยองกับเยจินต้องอยู่ตรวจล่วงเวลาทุกวันอังคาร ส่วนซอนโฮกับจินอาจะประจำทุกวันพฤหัสบดี อูกยองเคยแย้งไปว่าลูกค้าก็ไม่เห็นมี แล้วจะทำงานล่วงเวลาไปเพื่ออะไรกัน ซึ่งซอนโฮได้ตอบกลับมาว่าอาจมีเคสฉุกเฉินโผล่มาได้ทุกเมื่อ และนั่นก็ทำเอาเขาเถียงไม่ออกเลย

“มื้อเย็นวันนี้เราทานอะไรกันดีคะคุณหมอ”

“อะไรก็ได้ครับ”

“คุณหมอรู้ไหมคะว่าคนเรามักจะเกลียดคำตอบแบบนั้นมากที่สุด”

“นั่นสินะครับ ผมว่าผมควรจะชวนคุณล่วงหน้า แต่ตอนนี้คงช้าไป ฝนกำลังตกหนัก งานก็ไม่อยากทำ ถ้าเราปิดคลินิกแล้วได้พาจ็อน* กับมักกอลลี** สักแก้วนี่คงจะสุดยอดไปเลย”

ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่พูดนั่นแหละ ปากก็ว่าขี้เกียจบ้าง เหนื่อยบ้าง แต่พอมีเคสฉุกเฉินเข้ามาก็แทบวิ่งเท้าเปล่าไปหา ปากไม่ตรงกับใจแบบนี้เสมอ เยจินหัวเราะออกมาเพราะรู้สึกเหมือนกำลังมองดูน้องชายคนเล็กของตัวเองที่มักทำท่าทางกระจองอแงให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

 

อูกยองยืนอยู่ตรงหน้าต่างบานกระจกหน้าคลินิก เขาเหม่อมองสายฝนที่กระหน่ำตกลงมาอย่างไม่มีเค้าลางว่าจะหยุด

นี่คงเป็นฤดูฝนในเดือนเมษาสินะ

หยาดฝนเม็ดหนาสาดลงมาหนักหน่วงจนเขาเริ่มคิดเพ้อเจ้อ เขาเปิดหน้าต่างกับประตูทั้งหมดเพื่อระบายกลิ่นอาหารจีนที่สั่งมาทานกับเยจินเป็นมื้อเย็น เสียงฝนตกดังเข้ามาถึงภายในคลินิกจนอื้ออึง

ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานเข้าปกคลุม แม้บนท้องถนนจะยังมีแสงไฟส่องสว่าง แต่ผู้คนที่สัญจรไปมากลับบางตา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายฝนที่เทลงมาอย่างหนักหน่วงด้วยหรือเปล่า คนที่เดินอยู่บนท้องถนนบ้างก็กระชับคันร่มให้เข้ามาใกล้ตัวแล้วตั้งหน้าตั้งตาเดิน บ้างก็เดินเร็วหน่อยจนปลายกางเกงถูกย้อมเปียกกลายเป็นสีเข้ม

“ถ้าวันนี้ไม่มีคนเข้ามาเลยก็คงจะดีนะคะ”

เยจินพูดขึ้นขณะยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์พลางเหม่อมองสายฝนที่เทกระหน่ำ อูกยองพยักหน้าเห็นด้วยพลางถอนหายใจบางเบาออกมา หากมีเคสเข้ามาในช่วงฝนตกหนักเช่นนี้ ส่วนใหญ่มักจะเป็นเคสฉุกเฉินจริงๆ เสียงฝนตกดังอื้ออึงจนเหมือนหูแทบดับ อูกยองจำต้องปิดประตูลง แม้จะได้ยินเสียงเล็ดลอดผ่านช่องหน้าต่างอยู่บ้าง แต่รอบด้านก็เงียบลงอย่างเห็นได้ชัด

อูกยองมองเห็นเยจินหยิบไม้ถูพื้นเดินออกไปเช็ดน้ำฝนที่กระเซ็นเข้ามาทางช่องประตู ผ่านไปไม่นานเยจินก็เช็ดทั้งหมดเสร็จด้วยความว่องไว จากนั้นจึงนำไม้ถูพื้นไปเก็บเข้าที่ ก่อนเดินกลับไปยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์เช่นเดิมราวกับหายตัวได้

“อยากให้คืนนี้เจ้าซอนโฮมันดูหนังผีแล้วเก็บไปฝันร้ายจังเลยแฮะ”

คำพูดของอูกยองดังขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เยจินทำตากลมมองอูกยองที่เอาแต่จดจ้องออกไปด้านนอกนิ่ง

“ทำไมเหรอคะ”

“ก็การอยู่เวรในวันที่ฝนตกหนักแบบนี้มันโหดร้ายจะตายไปนี่ครับ”

เสียงบ่นอุบของอูกยองทำเอาเยจินหลุดหัวเราะออกมา

“เห็นคุณหมอพัคบอกว่าตัวเขาเองเป็นคอหนังสยองขวัญขั้นสุดเลยล่ะค่ะ เขาชอบกินต้มเลือดวัวตอนดูหนังที่มีเผ่ากินคน แถมยังชอบกินเนื้อวัวดิบด้วย”

อูกยองนึกภาพฉากที่ซอนโฮกินต้มเลือดวัวขณะดูหนังเลือดสาดตามแล้วก็ขนลุกซู่จนต้องลูบแขนไปมา ถ้าร้านขายเนื้อมีหลอดไฟสีแดงติดอยู่ด้วยก็คงไม่ต่างอะไรกับหนังสยองขวัญสักเรื่องดีๆ นี่เอง

“สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็เป็นรุ่นน้องที่น่าเอ็นดูแท้ๆ ไม่นึกว่าจะชอบหนังน่ากลัวแบบนั้น เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ”

อูกยองเดินกลับเข้าไปในห้องตรวจโดยปล่อยเยจินที่กำลังส่งเสียงหัวเราะคิกคักไว้ เขาควงปากกาเล่นสักพักก่อนจะหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ตั้งแต่ช่วงกลางวันขึ้นมาอ่านอีกครั้ง

เวลาผ่านไปไม่เท่าไรอูกยองผู้ไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูของเยจินก็ต้องสะดุ้งโหยงที่จู่ๆ ประตูถูกเปิดเข้ามา ด้านหลังเยจินมีชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ราวกับเสาไฟยืนอยู่ อูกยองเห็นฟ้าแลบสว่างวาบผ่าลงมาจากที่ไกลๆ ด้านหลังชายคนนั้น

กายหนาเปียกปอนไปทั่วจากน้ำฝนจนน้ำหยดติ๋งๆ ลงพื้น นัยน์ตาสีดำขลับกำลังจ้องมองตรงมาที่อูกยอง หยดน้ำฝนจากเส้นผมไหลลงมาค้างอยู่บนแพขนตายาวครู่หนึ่ง และเมื่อชายหนุ่มกะพริบตา มันก็ไหลหยดลงมาที่พื้น

ช่างเป็นผู้ชายที่เหมาะกับสายฝนเสียจริง

อูกยองนิ่งพินิจมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกราวกับถูกบรรยากาศที่อวลอยู่รอบกายชายคนนั้นสะกดไว้ ในขณะเดียวกันก็ราวกับว่าเขากำลังจมดิ่งเข้าไปในนัยน์ตาลึกล้ำของอีกฝ่าย

“คุณหมอคะ”

เสียงของเยจินดังขึ้นเรียกสติ อูกยองจึงละสายตาออกมา ก่อนเบนไปหาสุนัขพันธุ์มอลทีสตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมอกของชายหนุ่ม พออูกยองเห็นเจ้ามอลทีสที่ถูกฝนจนตัวสั่นเทิ้ม เขาก็ดันเก้าอี้ออกพร้อมกับลุกขึ้นแล้วสาวเท้าก้าวเข้าไปรับตัวสุนัขมาจากมือของชายคนนั้น

สุนัขตัวเล็กจิ๋วเปียกชุ่มและสั่นเทาดูน่าสงสาร อาจเกิดจากการที่มันโดนฝนมาพักใหญ่ อูกยองสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่ลดฮวบจากฝ่ามือ เขาจึงรีบอุ้มเจ้าตัวน้อยเข้าห้องตรวจฉุกเฉินทันที

“คุณเยจิน ขอไดร์หน่อยครับ”

อูกยองวางมันลงบนโต๊ะตรวจแล้วใช้ผ้าขนหนูซับความเปียกชื้นออกจากเส้นขนให้อย่างรวดเร็ว เยจินเองก็รีบถือไดร์เข้ามายืนข้างอูกยองก่อนจะเริ่มทำการเป่าขน

ผ่านไปราวสิบนาทีทันทีที่เส้นขนเริ่มแห้ง อาการตัวสั่นของลูกสุนัขก็ลดลงไปได้ระดับหนึ่ง เขาลองสำรวจดูบาดแผลภายนอกคร่าวๆ ตอนเป่าขนให้ แต่ก็ไม่พบจุดไหนที่สะดุดตา

อูกยองนำมันเข้าห้องตรวจปกติอีกครั้งเพื่อวัดอุณหภูมิ เมื่อพบว่าอุณหภูมิปกติดี เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อค้นพบว่าชายคนนั้นยังคงยืนนิ่งสงบอยู่ที่เดิมเหมือนเมื่อครู่ไม่เปลี่ยนแปลง เยจินที่เข้ามาในห้องตรวจหยิบผ้าสะอาดออกมา จากนั้นจึงยื่นส่งให้ชายหนุ่ม

“เช็ดเถอะค่ะ”

พอรับผ้าขนหนูจากเยจินมาเช็ดใบหน้าจนเสร็จสรรพ ชายคนนั้นก็สาวเท้าเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของอูกยองที่กำลังนั่งอยู่ รอยเท้าที่เปียกเลอะลากยาวเป็นทางมาตามทางที่ชายหนุ่มเดิน

“ผมเดินๆ อยู่แล้วเห็นมันเปียกฝน ผมเลยพามันมาที่นี่ครับ”

เสียงทุ้มนั้นแม้จะแผ่วเบา ทว่ากลับนุ่มนวลในความรู้สึก ความคิดที่ว่าช่างเป็นผู้ชายที่เหมาะกับสายฝนเสียจริงแล่นผ่านเข้ามาในหัวอีกครั้ง อีกฝ่ายดูสูงสะดุดตา พอได้นั่งเงยหน้ามองใบหน้าของอีกฝ่ายที่น่าจะสูงกว่าหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรแล้ว เขาก็นึกปวดคอขึ้นมาทันที

“เชิญนั่งครับ”

อูกยองพูดพร้อมส่งสายตาไปทางเก้าอี้ ชายหนุ่มมองกายเปียกชื้นของตนสลับกับโต๊ะหนังสือ ก่อนจะหันกลับมามองเก้าอี้ยาวขนาดสองคนนั่งราวกับกำลังชั่งใจว่าจะนั่งลงไปทั้งๆ ที่ตัวเปียกแบบนี้เลยดีหรือไม่

“นั่งได้เลยค่ะ มันเป็นเบาะหนังเทียมอยู่แล้ว เดี๋ยวค่อยเช็ดเอาก็ได้ค่ะ”

เมื่อเยจินยิ้มและเรียกให้นั่งอีกครา ชายหนุ่มจึงไม่รอช้านั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทางสง่างามเรียบร้อย เมื่อเรียวขายาวที่ถูกหุ้มไว้ด้วยกางเกงสีดำงอพับลง ระดับสายตาของคนทั้งสองจึงขยับมาอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน

“คุณจะบอกว่าเขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของคุณใช่ไหมครับ”

“ครับ”

อูกยองหยิบเครื่องสแกนขึ้นมาเพื่อเช็กดูว่ามีชิปยืนยันตัวตนฝังอยู่ภายในตัวของเจ้าสุนัขหรือไม่ ดูจากขนที่หนาจนจับตัวเป็นก้อนแล้วมันคงอยู่ข้างถนนมานานพอสมควร แต่ไม่แน่ว่ามันอาจจะกำลังหลงทาง บางทีตอนนี้ทางครอบครัวคงกำลังตามหากันให้วุ่นแล้วก็เป็นได้

เครื่องสแกนตรวจเจอชิปที่ฝังเอาไว้ในตัวสุนัขทันทีตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้ บนหน้าจอปรากฏหมายเลขที่ลงทะเบียนไว้ อูกยองจึงเริ่มค้นหาข้อมูลจากหมายเลขนั้น เจ้ามอลทีสตัวกะเปี๊ยกมีอายุสิบสองปีแล้ว ซึ่งถือว่าอายุไม่น้อยเลย ทั้งยังเป็นอายุที่ควรได้รับการดูแลเอาใส่ใจและควรได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอันแสนสุขสบายกับครอบครัวอย่างสุขสันต์ได้แล้ว อูกยองจดเบอร์โทรศัพท์ใส่กระดาษโพสต์อิตก่อนยื่นให้ชายหนุ่มเป็นการบอกให้อีกฝ่ายลองติดต่อไป

“เจ้าหนูนี่ชื่อเต้าหู้ครับ คุณลองโทรหาเจ้าของดูสิ”

หลังจากเห็นว่าชายหนุ่มรับแผ่นโพสต์อิตไปและควักโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมา อูกยองก็เบนสายตามามองเจ้าเต้าหู้ ดวงตาฝ้าฟางที่ไม่แน่ใจว่าใช่ต้อกระจกหรือไม่จ้องมองมาที่อูกยอง มันทั้งดูใสซื่อ ใจดี และอ่อนล้า

อูกยองลูบแผ่นหลังเจ้าเต้าหู้เบาๆ หวังให้จิตใจของมันผ่อนคลายลง เขาสัมผัสได้ถึงกระดูกสันหลังที่นูนออกมาจากร่างกายที่สั่นระริก สุนัขตัวนี้ผอมแห้งมากจนเขาอดคิดไม่ได้ว่ามันเตร็ดเตร่อยู่ข้างถนนมานานเท่าไรแล้ว เขายื่นมือของตนไปตรงจมูกเพื่อให้มันดมกลิ่นด้วยความรู้สึกสงสาร

“สวัสดีครับ”

หลังจากเสียงรอสายดังอยู่นานพอควร ในที่สุดปลายสายก็รับโทรศัพท์ ชายหนุ่มจึงเปิดปากพูด

“ใช่เจ้าของน้องเต้าหู้หรือเปล่าครับ พอดีผมเจอเขาอยู่ข้างถนน ตอนนี้ผมอยู่ที่…”

เสียงของชายหนุ่มขาดหายไปเมื่อจู่ๆ เสียงร้องไห้จากปลายสายดังแทรกขึ้นมาแทน เสียงสะอื้นไห้ของหญิงสาวดังทะลุโทรศัพท์ออกมาจนอูกยองที่นั่งอยู่ตรงข้ามยังได้ยิน เขามองเห็นหูของเจ้าเต้าหู้กระดิกถี่

แกคงได้ยินเสียงคุณแม่สินะ

อูกยองลูบหัวเจ้าเต้าหู้อย่างนึกเอ็นดู

นี่ เจ้าเต้าหู้ ถ้าแม่แกกำลังวิ่งร้องไห้มาหาแกก็คงดีเนอะ แกจะได้กลับไปหาอ้อมกอดอุ่นๆ ไม่ต้องเร่ร่อนแบบนี้อีกแล้ว

แต่ทว่าดูเหมือนสถานการณ์จะผิดไปจากที่อูกยองคาดคิดเอาไว้ เขาสังเกตเห็นสีหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าเริ่มตึงขึ้นเรื่อยๆ คิ้วสวยขมวดมุ่น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนกลายเป็นเส้นตรง

“แปลว่าคุณจะไม่มารับเต้าหู้กลับไปสินะครับ คุณจะทิ้งมันไปใช่ไหม”

ในน้ำเสียงแข็งกระด้างของชายหนุ่มเจือไปด้วยความรู้สึกนึกตำหนิปลายสาย อูกยองถอนหายใจเฮือกใหญ่ ชายหนุ่มตรงหน้าที่ได้ยินเสียงนั้นจึงชำเลืองมองมาที่เขา สองมือของอูกยองเลื่อนมาปิดหูของเจ้าเต้าหู้เอาไว้

ตอนนี้คนคนนั้นไม่ใช่แม่แกแล้ว ลืมเสียงนั่นไปซะเถอะ 

อูกยองยื่นมือออกไปหาคนที่กำลังสบตาด้วย ชายหนุ่มส่งโทรศัพท์ให้ถึงมืออย่างวางใจ อูกยองรับมันมาแล้วทำการกดปุ่มอัดเสียงที่อยู่บนหน้าจอเพื่อเอาไว้ใช้เป็นหลักฐานเวลาที่เจ้าของโผล่มาอ้างสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของภายหลัง

“สวัสดีครับ คุณเป็นเจ้าของน้องเต้าหู้ใช่ไหมครับ”

“ฮึก…ขอโทษนะคะ ขอโทษ…จริงๆ ค่ะ พอดีฉันเพิ่งคลอดลูก…แต่พ่อแม่สามีและสามีของฉันไม่อยากให้ลูกอยู่ด้วยกันกับเจ้าเต้าหู้น่ะค่ะ…ฮึก…ขอโทษนะคะ เจ้าเต้าหู้เป็นเด็กดีมากจริงๆ ค่ะ ได้โปรด…ฝากน้องด้วยนะคะ ฉันขอโทษจริงๆ ค่ะ”

ฮึ…งั้นสินะ

จริงๆ แล้วมนุษย์เราก็มีเหตุผลพันแปดที่จะทอดทิ้งสัตว์เลี้ยงกันทั้งนั้น แต่ละคนต่างก็สร้างเหตุผลและข้ออ้างของตัวเองขึ้นมามากมาย และในบรรดาเหตุผลเหล่านั้นจะมีอยู่ข้อหนึ่งที่คนมักใช้กันบ่อย ข้อแก้ตัวหน้าด้านๆ ที่ว่าไม่สามารถเลี้ยงลูกคนกับลูกสัตว์ไว้ด้วยกันได้

“ครับ งั้นสินะครับ เพราะงั้นคุณก็เลยทิ้งเจ้าเต้าหู้เอาไว้บนท้องถนนที่หนาวเหน็บแบบนั้นสินะครับ”

เสียงของอูกยองหยาบกระด้างขึ้นทันใด น้ำเสียงถากถางซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของเขาดังแทรกเข้าโสตประสาทของหญิงสาวผ่านทางโทรศัพท์

“งั้นผมก็ขอให้คุณเลี้ยงลูกของคุณให้ดีนะครับ อย่าทอดทิ้งเขาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมจะถือว่าบทสนทนาในสายนี้คุณได้สละสิทธิ์ความเป็นเจ้าของของสุนัขตัวนี้แล้ว ผมอัดเสียงไว้เรียบร้อยแล้วครับ หลังจากนี้หวังว่าเราจะไม่มีเรื่องให้ต้องพูดคุยกันอีกนะครับ”

อูกยองไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจเสียงสะอื้นไห้ลากยาวของหญิงสาวคนนั้นเลยแม้แต่น้อย เธอคือคนที่กล้าทิ้งสัตว์ที่เลี้ยงมาสิบกว่าปีไว้ข้างถนนได้อย่างเลือดเย็น หากเธอเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เธอควรรีบหาเจ้าของใหม่ให้มันเพื่อที่มันจะได้มีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย ไม่ต้องมาโดนทิ้งไว้ข้างทาง อย่างน้อยมันจะได้ไม่ต้องเร่ร่อนไปมาในวัยที่กำลังต้องการอ้อมกอดจากครอบครัวแบบนี้ ตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำตาที่เธอหลั่งออกมานั้นเป็นน้ำตาที่กลั่นออกมาจากความรู้สึกของเธอจริงๆ หรือเปล่า

อูกยองส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของหลังสิ้นสุดการสนทนา ชายหนุ่มรับมันไปเงียบๆ พลางสบตากับอูกยอง

“ต่อจากนี้คุณจะเอายังไงดีครับ จะให้ผมติดต่อมูลนิธิให้ไหม ดูจากภายนอกแล้วไม่ได้มีบาดแผลอะไรน่าเป็นห่วง ถ้าส่งไปมูลนิธิก็จะได้ให้สัตวแพทย์ของที่นั่นดำเนินการต่อให้”

แววตาของชายหนุ่มฉายแววดุขึ้นมาทันทีที่ได้ยินถ้อยคำของอูกยอง ตอนแรกเขาคิดเอาไว้ว่าอีกฝ่ายเป็นชายผู้เหมาะกับสายฝน แต่ดูท่าคงจะเป็นพายุฝนเสียแล้วล่ะมั้ง อูกยองจ้องมองชายหนุ่มที่ดูท่านิสัยจะเอาเรื่องพอตัวอย่างไม่หลบสายตา

แม้เขาจะไม่ได้อยากถามออกไปแบบนั้น แต่เขาก็ต้องถามไปตามตรง ในความเป็นจริงสัตว์ไร้บ้านที่คลินิกได้รับมาทั้งหมด ทางคลินิกจะไม่มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ด้วย ดังนั้นตอนนี้เจ้าเต้าหู้มีแค่สองตัวเลือก ถ้าไม่ไปกับชายคนนี้ก็ต้องถูกส่งตัวไปที่มูลนิธิ ชะตากรรมของเจ้าเต้าหู้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของอีกฝ่ายเท่านั้น

ถ้าไปมูลนิธิก็อาจโชคดีหาครอบครัวใหม่ได้ แต่ก็น่าเศร้าเพราะเปอร์เซ็นต์ที่สุนัขวัยเริ่มชราจะถูกรับเลี้ยงนั้นต่ำนัก ร้อยทั้งร้อยล้วนให้ความสนใจกับสัตว์อายุน้อยๆ กันทั้งนั้น ถึงจะน่าเศร้าใจนัก ทว่าโลกแห่งความจริงมันก็เป็นแบบนี้เสมอ อีกทั้งหากมูลนิธิไม่เหลือที่ว่างแล้ว พวกเขาก็จำต้องจบชีวิตพวกมัน โดยเริ่มจากตัวที่ป่วยหนักก่อน เรื่อยไปจนถึงตัวที่ชรามากๆ ไม่ว่าจะจากไปด้วยน้ำมือของธรรมชาติหรือจากไปด้วยน้ำมือของมนุษย์ อย่างไรเสียมันก็ต้องจากโลกนี้ไปอยู่ดี บางครั้งโชคชะตาของเหล่าสัตว์เลี้ยงที่ถูกทอดทิ้งก็โหดร้ายแบบนี้แหละ

บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจจะเตรียมใจทิ้งเจ้าเต้าหู้ด้วยความหวังที่ว่าเดี๋ยวคงมีคนอื่นมารับเลี้ยง เธอคงคิดว่าถ้าเจ้าเต้าหู้เข้ามูลนิธิไป เดี๋ยวทางมูลนิธิก็คงจัดการหาเจ้าของใหม่ให้มันเอง เพราะอย่างน้อยทางมูลนิธิก็ต้องดูแลให้อยู่แล้ว อย่างไรเสียมันก็เป็นหน้าที่ของมูลนิธิ

ไม่แน่ว่าวันนี้หลังคุยโทรศัพท์เสร็จเธอคงโล่งใจที่มันไม่ได้ตายอยู่ข้างถนน แถมยังมีคนไปพบเข้าอีก เธอคงได้ปลดเปลื้องภาระในใจเรื่องความเป็นอยู่ของเจ้าเต้าหู้แล้ว แต่ภาพความคิดพวกนั้นมันก็เป็นเพียงแค่จินตนาการเพื่อลดทอนความผิดบาปที่ตนได้ทอดทิ้งสัตว์เลี้ยงของตัวเองไปก็เท่านั้น

“อายุสิบสองปีนี่ไม่นับว่าน้อยเลยนะครับ แถมยังมีภาวะต้อกระจกร่วมด้วยอีก คิดไว้แล้วล่ะครับว่าต้องตรวจเพิ่มเติม แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพบจุดอื่นที่น่าเป็นห่วงอีกไหม อีกอย่างนะครับจากการที่น้องเร่ร่อนอยู่ข้างนอกมานาน ผมจำเป็นต้องตรวจหาพยาธิหนอนหัวใจด้วย แน่นอนว่าต้องมีค่าตรวจ และถ้าผลออกมาเป็นบวกก็จะมีค่ารักษาเพิ่มเติมด้วย ผมไม่ได้อยากจะถามแบบนี้หรอกนะครับ แต่มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องถาม คุณยินดีที่จะรับผิดชอบเจ้าเต้าหู้ไหมครับ”

“ถ้าไม่คิดจะรับผิดชอบจนถึงที่สุดผมคงไม่ไปยุ่งกับเขาแต่แรกหรอกครับ ถ้าเขามีครอบครัวให้กลับไปหาคงดีกว่านี้ ไหนๆ ก็โดนทิ้งแล้ว ผมจะพาเขากลับไปเอง รบกวนช่วยตรวจทุกอย่างที่จำเป็นให้เขาด้วยนะครับ”

อูกยองกับชายหนุ่มจ้องมองตากันและกัน นัยน์ตาภายใต้ขนตาเป็นแพยาวที่เหมือนมีพายุฝนเมื่อครู่เริ่มปรากฏให้เห็นความสุขุมเยือกเย็น แก้วตาสีดำขลับมีประกายแววเย็นชาเป็นพิเศษ อูกยองมองเห็นร่างกายท่อนบนของชายหนุ่มที่ดูกำยำราวกับได้รับการดูแลมาเป็นอย่างดีผ่านเสื้อเชิ้ตแบรนด์ชั้นนำอันเปียกชุ่มที่พอดีตัวเป๊ะราวกับสั่งตัด สมกับที่คลินิกแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ใจกลางเขตคังนัม

ริมฝีปากสีแดงเริ่มคลี่ยิ้มและฉายแววอบอุ่นออกมาทางดวงตา หัวคิ้วของชายหนุ่มเหมือนจะเลิกขึ้นเล็กน้อยเพราะรอยยิ้มสดใสของอูกยอง

“ได้เลยครับ ถ้างั้นผมขอเริ่มตรวจเลยแล้วกัน เดี๋ยวรบกวนคุณออกไปรอข้างนอกสักครู่นะครับ”

อูกยองก้าวเดินตัวปลิวเข้าไปในห้องตรวจฉุกเฉินเพื่อเตรียมการสำหรับเจาะเลือดเจ้าเต้าหู้

 

ชีฮูเดินเข้ามาในห้องก่อนวางสิ่งของที่ซื้อมาจากคลินิกไว้บนโต๊ะ เขาเหลือบมองเจ้าเต้าหู้ที่อยู่ในอ้อมกอดตัวเองพลางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วค่อยวางมันลงบนพื้น ชีฮูหยิบกระป๋องอาหารเปียกในถุงพลาสติกออกมาหนึ่งกระป๋องพลางนึกไปถึงคำพูดที่บอกว่าในหนึ่งวันต้องค่อยๆ แบ่งให้กินหลายๆ รอบเพื่อไม่ให้ท้องไส้ปั่นป่วน เพราะระบบย่อยอาหารอาจจะยังทำงานได้ไม่เป็นปกติ เขาอ่านตัวหนังสือขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวที่เขียนไว้บนฝาจากนั้นจึงเปิดออก

ชายหนุ่มเข้าไปในห้องครัวเพื่อหาชามขนาดพอเหมาะ ก่อนได้ชามเซรามิกก้นตื้นสำหรับใส่เครื่องเคียงกับชามใส่ข้าวมาหนึ่งใบ เขาเดินไปที่เครื่องกรองน้ำ ใช้ชามข้าวรองน้ำ จากนั้นตักแบ่งอาหารเปียกหนึ่งส่วนสามของกระป๋องออกมาใส่ชามเซรามิก ก่อนเดินตรงไปยังเจ้าเต้าหู้

เขาค่อยๆ วางชามไว้ข้างเจ้าเต้าหู้ที่นั่งนิ่งสนิท ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแปลกที่หรือเจ้าตัวมีนิสัยสงบเสงี่ยมอยู่แล้ว จมูกสีดำสนิททำฟุดฟิดเหมือนดมกลิ่นก่อนเคลื่อนตัวไปหาชามที่ใส่อาหารไว้ในทันที เขาจ้องมองเจ้าเต้าหู้ที่เริ่มต้นกินอาหารแล้วจึงขยับตัวบ้าง เสื้อผ้าเปียกฝนที่แนบติดอยู่กับตัวทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวและอับชื้น

แผละ

ชีฮูที่เดินมาถึงห้องนั่งเล่นหลังอาบน้ำเสร็จชะงักฝีเท้า เนื่องจากรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่แปลกไปข้างใต้ฝ่าเท้า ไม่ต้องดูก็รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่เขาก็ยังถอยเท้าออกมาเพื่อสำรวจดู ก่อนคิ้วทั้งสองจะย่นขยับเข้าหากัน มันคือซากอารยธรรมที่เจ้าเต้าหู้ก่อร่างสร้างไว้บนพื้นพรมห้องนั่งเล่นหลังจากกินเสร็จ ชีฮูที่เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองลืมซื้อแผ่นรองซับสำหรับสัตว์เลี้ยงมาด้วยเดาะลิ้นแล้วเดินวกกลับไปที่ห้องน้ำโดยพยายามไม่ให้เท้าสัมผัสโดนพื้น พอล้างเท้าเสร็จก็เช็ดทำความสะอาดอุจจาระกับปัสสาวะที่ติดพรมแบบพอให้สะอาดก่อนมองดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว อย่างไรเสียเขาก็ต้องซักมันอยู่ดี ชีฮูยักไหล่ก่อนจะอุ้มเจ้าเต้าหู้ที่นอนอยู่แถวมุมพรมขึ้นมาแล้วนั่งลงบนโซฟา

เขาไม่เคยมีความคิดที่จะมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเองเลยสักครั้ง เพราะตนเองนั้นไม่เคยมีเวลาว่างและใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมานาน สัตว์เลี้ยงตัวเดียวในชีวิตของเขาคือสุนัขของพ่อแม่ที่เลี้ยงไว้ในบ้านตอนเขาอายุใกล้จะยี่สิบ ซึ่งตอนนั้นเขาก็ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกคนเดียวพอดี ทำให้ได้เจอกับมันไม่บ่อยนัก แต่ทว่าตอนที่ได้พบกับเจ้าก้อนขนสีขาวตัวสั่นเทาขณะเปียกฝนนั้น เขาไม่สามารถทำเมินเฉยได้จริงๆ อุณหภูมิอบอุ่นและความหนักอึ้งแผ่กระจายทั่วหน้าตัก เขาลูบไล้เส้นขนที่เรียงตัวหนานุ่มเหมือนก้อนแป้งต๊อกอย่างแผ่วเบา

โชคดีที่สุขภาพของเจ้าเต้าหู้ถือว่าค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับอายุขัย ผลการตรวจพยาธิหนอนหัวใจที่สัตวแพทย์วินิจฉัยไว้ก็ออกมาเป็นลบและร่างกายมีภูมิต้านทานดีเยี่ยม อาจเป็นเพราะได้รับการฉีดวัคซีนมาอย่างครบถ้วน สัตวแพทย์คนนั้นบอกอีกว่าต้อกระจกยังคงมีอยู่ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้น แต่ตอนนี้ต้องให้มันพักผ่อนก่อน ไว้อีกสักพักค่อยแวะเข้าไปตรวจเพิ่มเติมให้ละเอียดอีกที

“เจ้าเต้าหู้ ถึงแกจะถูกทิ้งมา แต่ก่อนหน้านั้นแกก็คงได้รับการดูแลมาอย่างดีเลยสินะ แต่ถึงยังไงความจริงที่แกโดนทิ้งมา มันก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่ดีล่ะนะ”

ชีฮูยิ้มหัวเราะยามนึกถึงท่าทางและคำพูดที่ตรงไปตรงมาของสัตวแพทย์หนุ่ม รูปลักษณ์ภายนอกดูคล้ายกับตุ๊กตาแสนเย็นชา ซ้ำคำพูดคำจายังโผงผางไม่น้อย ในวินาทีที่ภาพใบหน้าเปื้อนยิ้มหันมาทางเขาก่อนเริ่มการตรวจผุดขึ้นมาในความคิด เขาถึงกับหยุดชะงักไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง แม้จะมีใบหน้าที่เย็นชาจนน้ำแข็งแทบเกาะ ทว่าเวลายิ้มกลับ…

ชีฮูหยุดความคิดทั้งหมดลงก่อนจะอุ้มเจ้าเต้าหู้ลุกขึ้น วันนี้คงให้นอนด้วยกันก่อน ส่วนพรุ่งนี้ค่อยออกไปซื้อแผ่นรองซับปัสสาวะกับบ้านให้มันทีหลัง เขาเดินเข้าห้องนอนพลางนึกประหลาดใจตัวเองที่ปกติเป็นคนรักความสะอาด แต่กลับไม่เคยคิดว่าขนของเจ้าเต้าหู้สกปรกเลย

 

“คุณหมอคะ ได้ข่าวว่าเมื่อวานมีคุณเจ้าของเบ้าดีมาที่นี่ด้วยเหรอคะ เห็นยายเยจินบอกว่างานดีกว่าดาราเสียจนตกใจเลย โอ๊ย! ฉันน่าจะได้เจอบ้าง เขาหล่อจริงอย่างที่ว่ามาไหมคะคุณหมอ”

“ผมเองก็อยากรู้ รุ่นพี่เล่าให้ผมฟังบ้างสิ”

ซอนโฮกล่าวเสริมอยู่ข้างๆ อย่างสงสัยใคร่รู้ด้วย พอเห็นจินอาถามตาเป็นประกาย อูกยองจึงนิ่งคิดถึงลูกค้าคนเมื่อวานครู่หนึ่ง รูปร่างหน้าตาแบบนั้นต่อให้เห็นแค่ครั้งเดียวก็คงยากที่จะลืม ทว่าราวกับชายคนนั้นมีบรรยากาศอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป มันเป็นบรรยากาศที่เหนือชั้นกว่าคนทั่วไป ต่อให้จะไม่ได้ตั้งใจทำก็ตามก็เถอะ อูกยองที่ไม่รู้จะอธิบายบรรยากาศนั้นออกมาอย่างไรจึงหยุดนึกก่อนเอื้อนเอ่ยออกมา

“ก็เพอร์เฟ็กต์ทั้งตาจมูกปากนั่นแหละ”

ความเงียบแผ่เข้าปกคลุมชั่วขณะ อูกยองย่นจมูกให้ทั้งสามคนที่มองมาทางตนพลางทำหน้าเหม่อลอยใส่เขา

“อัลฟ่าก็งี้แหละ”

“โห จริงเหรอคะ”

“ว้าย แล้วคราวหน้าเขาจะมาอีกไหมคะ ฉันไม่เคยเห็นอัลฟ่าเลย อยากลองเจอสักครั้งบ้างจัง”

“ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นอัลฟ่า”

อูกยองยักไหล่กับปฏิกิริยาของคนทั้งสามพลางนึกขำที่ถึงแม้จะบอกว่าคนที่หน้าตาเพอร์เฟ็กต์แบบนั้นจะหายากสักแค่ไหน ทว่าสามคนนี้กลับมองชายหนุ่มคนนั้นเสียอย่างกับว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา แต่พอบอกว่าเป็นอัลฟ่าก็เข้าใจถึงความหล่อเหลาได้ในคำเดียว

จริงอยู่ที่แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของประชากรล้วนเป็นเบต้าทั้งสิ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกอัลฟ่ามักจะเป็นศูนย์รวมความพิเศษ ไม่ทางด้านร่างกายก็ด้านสติปัญญา ซึ่งลักษณะพิเศษดังกล่าวนั้นจะหาได้ยากในคนทั่วไป เพราะเป็นผลมาจากปัจจัยทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างร่างกาย

“ก็แค่อัลฟ่า ตื่นเต้นอะไรกัน ลองมาเที่ยวบ้านผมก็ได้นะครับ อัลฟ่าเต็มบ้านเลย”

“จริงสิ รุ่นพี่เคยบอกว่าทั้งคุณพ่อทั้งพี่ชายเป็นอัลฟ่ากันหมดเลยใช่ไหมครับ”

คำพูดของซอนโฮส่งผลให้ทั้งเยจินและจินอาทำตาโต สำหรับคนธรรมดาอัลฟ่าและโอเมก้าคือสิ่งที่ไม่สามารถพบเจอได้ทั่วไปในชีวิต

“คุณหมอคะ แล้วที่ว่าอัลฟ่ากับโอเมก้าจะดูซึ่งกันและกันออกนี่จริงไหมคะ”

“ไม่ได้แม่นยำเท่าไหร่ แต่ก็ดูออกบ้างครับ”

หากเป็นยีนด้อยก็แทบจะมองไม่ออก แต่หากเป็นยีนเด่นส่วนมากมักจะรับรู้ได้ทันทีต่อให้ฟีโรโมนจะถูกกลบไว้เป็นอย่างดี ทว่าพวกยีนเด่นก็จะมีลักษณะเฉพาะบางอย่างที่ฉายชัดออกมาอย่างชายหนุ่มเจ้าของสุนัขเต้าหู้เมื่อวานนี้ แต่ถึงจะบอกว่าเป็นยีนเด่นหรือมีกลิ่นอายแตกต่างจากคนอื่น แต่อูกยองเองก็ไม่ได้มั่นใจที่จะฟันธงขนาดนั้น

“ถึงพวกเราจะมองคนที่มียีนด้อยไม่ออก แต่ถ้าเป็นคนที่มียีนเด่นแค่มองแล้วก็รู้เลยนี่ อย่างแรกเลยหน้าตาต้องดูดีแบบเกินจริง ดูอย่างรุ่นพี่สิ…”

“นี่ๆ พอเลย ได้เวลาทำงานทำการแล้ว”

อูกยองรีบพูดตัดบททันทีเมื่อตนกำลังจะโดนดึงเอาไปเป็นหัวข้อในบทสนทนา ก่อนจะดันหลังซอนโฮออกไปข้างนอกห้องตรวจ เขารู้สึกอึดอัดทุกครั้งเมื่อต้องพูดถึงประเด็นเหล่านี้ ด้วยความที่อัลฟ่าและโอเมก้าพบเห็นได้ยากในชีวิตจริง ผู้คนส่วนมากจึงชอบเอาเรื่องแบบนี้มาจินตนาการกันไปในแนวเพ้อฝัน

 

หลังทุกคนกลับไปกันหมดคลินิกจึงหลงเหลือแค่อูกยองแต่เพียงผู้เดียว เขาดูแลเก็บกวาดคลินิก ปิดไฟทั้งหมดให้เรียบร้อยก่อนก้าวขาออกมานอกประตู เขาเห็นรถเบนซ์คันหรูจอดอยู่บนถนนหน้าคลินิก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จึงหันกลับไปล็อกประตูรักษาความปลอดภัยก่อนหันกลับมา

“คุณมีธุระอะไรครับ”

อูกยองผงะกับใบหน้าของชายหนุ่มเจ้าของสุนัขเต้าหู้ เมื่อหันมาแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายยืนประชิดอยู่ทางด้านหลังของตน เขาไม่ค่อยได้เจอคนที่ตัวสูงกว่าเท่าไรนัก เลยไม่ค่อยชินกับสถานการณ์ที่ต้องเป็นฝ่ายเงยหน้าเพื่อสบตาคู่สนทนา

“ผมว่าจะมาซื้อแผ่นรองปัสสาวะสักหน่อย ปิดแล้วเหรอครับ”

อูกยองหยุดคิดเมื่อฟังจบ ก่อนพยักพเยิดหน้าไปทางรถเบนซ์ที่จอดอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม

“คันนั้นใช่ไหมครับ”

เมื่อชีฮูเอียงคอทำสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจ อูกยองจึงสาวเท้าเดินไปที่รถแทน

“ไปครับ ไปซื้อแผ่นรองกัน”

“ที่คลินิกคุณไม่มีขายเหรอครับ”

“ที่คลินิกมันแพงครับ คุณน่าจะต้องซื้อของใช้จำเป็นอีกเยอะพอควรเลย ผมพอจะมีร้านแนะนำอยู่ครับ”

ชีฮูมองอูกยองที่คว้ามือจับประตูรถฝั่งข้างคนขับคล้ายกับเป็นการเร่งให้รีบปลดล็อกรถ เขาจึงกดรีโมตคอนโทรลเพื่อเปิดประตูรถให้ ก่อนที่ตัวเองจะเดินไปทางที่นั่งฝั่งคนขับ บรรยากาศภายในรถเงียบเชียบหากไม่นับเสียงของอูกยองที่คอยบอกทางเป็นพักๆ จนในที่สุดก็มาถึงร้านขายของสัตว์เลี้ยงลดราคาขนาดใหญ่จนได้

“มีงบเท่าไหร่ครับ”

“งบ?”

“ก่อนจะเลือกซื้อของก็ต้องรู้ก่อนสิครับว่ามีงบเท่าไหร่ ของใช้ที่คุณมีตอนนี้ก็มีแค่ของที่ซื้อมาจากคลินิกไม่ใช่เหรอ”

ชีฮูกวาดตามองร้านขายของขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ไปสามชั้นของตึกแล้วก็แอบตกใจ เพราะไม่นึกว่าจำนวนของใช้สัตว์เลี้ยงจะมีมากมายขนาดนี้

“จะซื้อทั้งตึกผมก็ไม่มีปัญหาครับ”

ความจริงแล้วอูกยองไม่ได้อยากรู้ฐานะทางการเงินของชายคนนี้เลยสักนิด เพราะทั้งรถยนต์ เสื้อผ้า กระทั่งหน้าตาของอีกฝ่ายนั้นก็ไม่ได้เหมาะสมกับคำว่ายากจนเลยแม้สักนิดเดียว แต่เรื่องเงินทองจะมีมากมีน้อยก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก เพราะบนโลกนี้ยังมีคนที่ต่อให้ไม่ได้ร่ำรวยก็สามารถจัดการกับตัวเองเพื่อลงทุนให้สัตว์เลี้ยงได้ กลับกันก็มีบางคนที่ไม่อยากเจียดเงินให้สัตว์เลี้ยงเลยสักแดงแม้ว่าพวกเขาจะรวยล้นฟ้าขนาดไหน ซึ่งนั่นหมายความว่าสัตว์ที่เจ็บป่วยบางตัวก็ถูกทิ้งเพียงเพราะว่าเจ้าของไม่อยากเจียดเงินมารักษา

อูกยองพยักหน้าก่อนจะไม่รีรอเดินเข้าไปในร้าน ตามหลังมาด้วยชีฮูที่กวาดตามองดูของที่วางขายอยู่กว่าพันชิ้น ซึ่งมีทั้งของใช้และสินค้าหลากหลายชนิดทำเอาเขาตาลายไปหมด

“เข็นรถมาครับ”

ชีฮูขมวดคิ้วครู่หนึ่งกับการกระทำของอูกยองที่ไม่คิดจะถามความเห็นเขาเลย ก่อนจะรีบทำตามที่อีกฝ่ายพูดทันที อย่างไรเสียสัตวแพทย์คนนี้ก็ต้องรู้เรื่องของใช้สัตว์เลี้ยงมากกว่าตัวเขาอยู่แล้ว คิดเสียว่าเป็นการช่วยเหลือกันไปก็แล้วกัน

เขานับถือความไวกับความเฉียบขาดของอูกยองที่เพียงแค่กวาดตามองชั้นวางก็สามารถเลือกหยิบของใช้ที่จำเป็นมาถือไว้ในมือได้แล้วยิ่งนัก อีกฝ่ายวางของทีละชิ้นใส่ลงรถเข็นพลางอธิบายไปด้วย

“น้องเต้าหู้เป็นสุนัขพันธุ์เล็ก ไม่จำเป็นต้องใช้แผ่นรองที่ใหญ่และหนาเกินไปก็ได้ครับ ใช้เป็นแผ่นบางและคอยเปลี่ยนให้บ่อยๆ น่าจะดีกว่า”

เมื่อวางแผ่นรองปัสสาวะเสร็จอูกยองก็เดินนำหน้าไปต่อ ชีฮูมองอูกยองซึ่งยืนอยู่ตรงมุมชั้นวางชุดชามข้าวก่อนเข็นรถตามไป ชายหนุ่มทำหน้าเคร่งขรึมอยู่ข้างๆ จ้องมองชามข้าวพลางสงสัยว่านี่มันชามอะไรกัน ทำไมถึงได้มีหลากชนิดเหลือเกิน

“สัตว์บางตัวอ่อนไหวต่อเสียงอาหารกระทบกับสแตนเลสมากกว่าที่พวกเราคิดอีกครับ อีกทั้งชามข้าวที่มีฐานรองสูงพอประมาณจะช่วยเรื่องหมอนรองกระดูกคอกับเอวได้ดีกว่าวางลงบนพื้นโดยตรงด้วย ลองเลือกจากฝั่งนี้ดูก็ได้ครับ”

อูกยองชี้ไปตรงชั้นวางเป็นการบอกให้เขาเข้าไปเลือกเอง ต่างจากแผ่นรองปัสสาวะที่อีกฝ่ายเลือกมาให้เขาเสร็จสรรพ อูกยองคงอยากให้เขาเลือกเอาเองจากบรรดาชามข้าวมากมายที่แตกต่างกันไปทั้งรูปร่าง สีสัน และคุณสมบัติว่าชอบแบบไหน ชีฮูเลือกหยิบชามเซรามิกทรงเรียบง่ายจากข้างบนชั้นไม้วางของลงมาใส่ในรถเข็นโดยอ้างอิงจากคำพูดของอูกยอง

“ปกติสุนัขโตเต็มวัยจะกินอาหารประมาณหนึ่งถึงสองครั้งต่อวันครับ เราไม่รู้ว่าเจ้าของคนก่อนเคยให้ไว้แบบไหน ดังนั้นคุณให้น้องกินตอนเช้ากับตอนเย็นดีกว่า ส่วนน้ำก็คอยใช้น้ำสะอาดเปลี่ยนให้หนึ่งถึงสองรอบต่อวันเช่นกันครับ”

“…”

“เวลาพาไปเดินเล่นผมแนะนำว่าให้น้องเดินแค่แป๊บเดียวจะดีกว่าเดินนานๆ ครับ ยิ่งเป็นสุนัขอายุเยอะแบบเจ้าเต้าหู้ด้วยแล้วให้เน้นเดินเหยาะๆ ร่างกายจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป”

“…”

“มอลทีสจะขนยาวอยู่เรื่อยๆ เพราะน้องเป็นพันธุ์ขนยาว ถ้าไม่หวีขนให้เลยขนก็จะพันกัน ดังนั้นคอยหวีให้น้องเป็นระยะๆ ด้วยนะครับ อันนี้เขาเรียกว่าหวีซี่ถี่…”

อูกยองยังคงพูดต่อไปโดยไม่มีหยุดพัก สิ่งของในรถที่ชีฮูกำลังเข็นอยู่ตอนนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนล้นพูนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ อูกยองจะให้สิทธิ์ในการเลือกแก่เขาเฉพาะกรณีที่ของบางชิ้นต้องเลือกจากดีไซน์หรือสีสันเท่านั้น แม้อีกฝ่ายจะดูสุขุม แต่ในขณะเดียวกันก็หยิบจับทุกอย่างด้วยความกระฉับกระเฉงว่องไวเช่นกัน

จู่ๆ อูกยองก็หยุดฝีเท้าลง เขากอดอกจ้องสิ่งของเบื้องหน้าเขม็งราวกับกำลังกลัดกลุ้ม เรียวคิ้วของชีฮูที่มองตามสายตาอูกยองไปพลันเลิกขึ้นคล้ายกับว่ากำลังฉงนใจ

“รถเข็นเด็ก?”

“เขาเรียกรถเข็นสุนัขครับ”

พอชีฮูเอ่ยขึ้นสายตาของอูกยองก็ชำเลืองมองมาทางเขา อูกยองนึกจินตนาการภาพชายหนุ่มเข็นรถเข็นสุนัขไปไหนมาไหนแทบไม่ออกเลย

ถ้าซื้อรถเข็นนี่ไป ผู้ชายคนนี้จะยอมใช้ไหมนะ

ดวงตาของอูกยองหรี่เล็กลงในขณะที่จมลงสู่ห้วงความคิด

“จำเป็นด้วยเหรอครับ”

“นิยมใช้สำหรับสัตว์ที่เดินลำบากหรือร่างกายอ่อนแอในกรณีเดินเล่นหรือเคลื่อนที่น่ะครับ ยังไงเจ้าเต้าหู้ก็อายุมากแล้ว แถมพวกกระดูกข้อต่อของมอลทีสยังค่อนข้างเปราะบางด้วย ถ้ามีไว้ก็น่าจะดีครับ”

อูกยองเห็นชายหนุ่มที่พยักหน้ารับโดยไม่อิดออดแล้วก็ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นสูง เขานึกว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธเพราะท่าทางดูเป็นคนห่วงภาพลักษณ์และแคร์สายตาคนรอบข้าง แต่นี่มันออกจะเกินคาดไปหน่อย

“ลองเข็นดูทีละคันสิครับ”

อูกยองพูดพลางชี้ไปที่รถเข็นสุนัขซึ่งจอดวางเรียงกันเป็นระเบียบ

“คนจะใช้ต้องลองเข็นแล้วตัดสินเอาเองครับว่าชอบแบบไหน”

 

ในรถคันหรูอัดแน่นไปด้วยสิ่งของที่อูกยองเป็นคนเลือกสรรมา ชีฮูยัดของที่ซื้อมาทั้งหมดใส่ในรถก่อนเอ่ยถามอูกยองที่อยู่ด้านข้าง

“ให้ผมไปส่งที่ไหนดีครับ”

“ส่งผมที่ที่ผมขึ้นรถมานั่นแหละครับ”

ชีฮูพยักหน้ารับคำ ชายหนุ่มเห็นอูกยองเดินไปยังเบาะนั่งฝั่งข้างคนขับ เขาจึงมุ่งหน้าไปทางฝั่งคนขับบ้าง เมื่อล้อหมุนภายในรถก็มีเพียงความเงียบสงัด อูกยองจึงเคาะนิ้วลงกับต้นขาตนเอง

“ถ้าน้องเต้าหู้เริ่มปรับตัวได้และผ่อนคลายลงแล้วก็ให้พาน้องไปตัดขนที่ร้านเพ็ตช็อป จากนั้นอีกสองสามวันก็ค่อยพามาที่คลินิกนะครับ ขืนปล่อยให้ขนพันกันจะยิ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรคผิวหนัง ถ้าคุณต้องการตรวจดูสภาพผิวหนังของน้อง ยังไงคุณก็ต้องพาน้องไปตัดขนทั้งตัวก่อนอยู่แล้ว ถึงวันนั้นผมจะตรวจแบบเร่งด่วนไปแล้วรอบนึง แต่ก็คงต้องตรวจทั้งต้อกระจก ข้อต่อกระดูก และผิวหนังใหม่อีกรอบครับ”

อูกยองปรายตามองใบหน้ามุมข้างของชายหนุ่มที่ไม่ตอบอะไรกลับมาเพราะกำลังจดจ่อกับหนทางข้างหน้า ใบหน้าหล่อเหลามุมข้างไม่แสดงอารมณ์ใดๆ อูกยองที่กำลังรู้สึกเพลียจึงกลืนลมหายใจที่จะกำลังจะพ่นออกมากลับเข้าไปใหม่

ฉันวุ่นวายมากเกินไปหรือเปล่านะ

ผู้ชายคนนี้เอาแต่เข็นรถตามเขาเงียบๆ มาตลอด กระทั่งตอนจ่ายเงินก็ยังแทบไม่พูดไม่จา ตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดอยู่จริงๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะอีกฝ่ายไม่แสดงปฏิกิริยาตอบรับอะไรเลย จนความคิดที่ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ลอยแวบผ่านเข้ามาในหัวสมอง

ชายคนนี้ไม่ได้ร้องขอเขาด้วยซ้ำ อีกทั้งปกติเขาเองก็ไม่ใช่คนประเภทที่ชอบใจดีช่วยเหลือชาวบ้านแบบนี้ด้วย นี่เขาเป็นอะไรไป อูกยองหันหน้ากลับมา เขาจดจ้องท้องถนนที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมิดก่อนหุบยิ้มเจื่อนๆ ลง

“หมดแล้วเหรอครับ”

“ครับ?”

เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันภายในรถหลังจากที่อูกยองปิดปากเงียบไปพักใหญ่ อูกยองที่กำลังตกอยู่ในภวังค์เหม่อมองออกไปด้านนอกพลันหันหน้าไปมองชีฮู

“ผมหมายถึงเรื่องที่ผมต้องรู้น่ะครับ คุณพูดมาหมดแล้วใช่ไหม”

ชีฮูเบนศีรษะมองมาทางอูกยองเช่นกัน ทั้งสองคนจึงสบตากันชั่วขณะ ความรู้สึกและบรรยากาศบางอย่างจากชายคนนี้ถาโถมเข้ามาจนอูกยองเผลอขบกัดริมฝีปาก มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับตอนนั้นที่ได้สบตากันเป็นครั้งแรกไม่มีผิด

“ที่ผมพูดไปมันแค่เบื้องต้นครับ ยังมีเรื่องที่คุณต้องเรียนรู้อีกเยอะ”

ชีฮูหันหน้ากลับไปมองทางข้างทางดังเดิมพร้อมกับผงกศีรษะรับ รู้ตัวอีกทีรถยนต์ก็หยุดลงตรงหน้าคลินิกสัตวแพทย์แล้ว อูกยองเดินลงจากรถไป ทว่ามือยังคงจับประตูเปิดค้างไว้

“สำหรับวันนี้ไม่คิดจะขอบคุณกันหน่อยเหรอครับ”

ชีฮูเบือนหน้าไปทางอูกยอง มุมปากเขากระตุกยกขึ้นเล็กน้อย นั่นเป็นรอยยิ้มที่อูกยองเพิ่งเคยเห็นจากชายคนนี้เป็นครั้งแรก

“ขอบคุณครับ”

อูกยองวาดรอยยิ้มอ่อนๆ ให้กับคำตอบของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินขึ้นฟุตปาธ ดวงตาเรียวคมที่เคยแผ่รังสีน่ากลัวในยามปกติที่ไม่แสดงสีหน้า ตอนนี้กลับดูอ่อนลงและเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม

“ผมเองก็ต้องขอบคุณที่คุณรับน้องเต้าหู้ไปเป็นครอบครัวเหมือนกันครับ”

 

* โรแมนติไซส์ (Romanticize) หมายถึงการทำให้เรื่องเรื่องหนึ่งกลายเป็นเรื่องชวนฝันหรือเป็นเรื่องที่ดี โดยที่ไม่ได้มองความจริงในอีกด้าน

 

* พาจ็อน (파전) เป็นอาหารประเภทแป้งทอดใส่ต้นหอม มีลักษณะเป็นแผ่น มักรับประทานในวันฝนตกคู่กับมักกอลลี

** มักกอลลี (막걸리) เป็นเหล้าที่เกิดจากการนำข้าวชนิดต่างๆ มาหมัก มีรสหวาน

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 29 .. 65

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com