ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 1 บทที่ 5 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 1 บทที่ 5 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 1

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)

แปลโดย : ธันวาตุลาคม

ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

บทที่ 5 เจ้าหมูน้อย

 

ภายใต้การคุมเข้มของนายตำรวจ ลู่ชิงจิ่วยกม้านั่งหลายตัวออกมาจากบ้าน พร้อมกับขนมขบเคี้ยวเพื่อให้พวกเขาได้นั่งพักผ่อนระหว่างรอผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือจากสถานี

“นายกลับมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” ตำรวจหนุ่มนั่งลง ส่วนนายตำรวจอาวุโสกลับไม่ยอมขยับ สีหน้าที่มองมายังลู่ชิงจิ่วยังมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่หลายส่วน

“ผมเพิ่งกลับมาเมื่อสองสามวันก่อน” ลู่ชิงจิ่วตอบ “ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ที่เมือง A”

“นายกลับมาทำอะไรที่นี่” ตำรวจอาวุโสมองลู่ชิงจิ่วขึ้นลงอย่างประเมิน

“ที่นี่คือบ้านเก่าผม” ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “ทำงานจนเหนื่อยแล้ว เลยอยากกลับบ้านมาทำสวน”

ตำรวจอาวุโสได้ถามถึงสถานะของไป๋เยวี่ยหูและอิ่นสวิน หลังจากตอบคำถามก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เอาแต่พุ่งความสนใจไปที่ข้างในบ่อน้ำ ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่ง พร้อมกับสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ

อิ่นสวินตัวสั่นด้วยความกลัวขณะจ้องมอง เอ่ยกับลู่ชิงจิ่วว่า “ตำรวจคนนั้นคิดเรื่องอะไรอยู่ ทำไมสีหน้าเขาถึงน่ากลัวขนาดนี้…”

ลู่ชิงจิ่วส่ายศีรษะเป็นเชิงบอกว่าเขาก็ไม่รู้เช่นกัน

คุณลุงหลี่ผู้เป็นเพื่อนบ้านได้ยินเสียงไซเรนของรถตำรวจ จึงเดินมาถามไถ่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ลู่ชิงจิ่วบอกอีกฝ่ายว่าเหมือนจะมีอะไรบางอย่างตกลงไปในบ่อน้ำของบ้านตนเอง เขาเลยแจ้งความ ขอลุงหลี่อย่าได้เป็นกังวล

“อ้อ บ่อน้ำบ้านนายน่ะเรอะ” ลุงหลี่พูด “มันแปลกมากๆ”

“หมายถึงอะไรครับ” ตำรวจหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดของลุงหลี่

“เมื่อก่อนตอนชิงจิ่วไม่อยู่บ้าน ก็มีเสียงของตกลงไปในบ่อบ่อยๆ ตอนแรกพวกเราก็นึกว่าเป็นคน เลยเข้ามาดู แต่กลับพบว่าไม่มีอะไรอยู่ในบ่อน้ำนั้นเลย…นานวันเข้า พวกเราก็เลิกสนใจ” ลุงหลี่เห็นท่าทางแปลกๆ ของนายตำรวจ จึงเอ่ยถามเสียงเบา “หรือพวกคุณเจออะไรในนั้น”

“ยังไม่แน่ใจครับ” ตำรวจหนุ่มโบกไม้โบกมือเป็นเชิงปฏิเสธไม่ให้ลุงหลี่เข้ามาเพิ่มปัญหา “ลุงรีบกลับไปเถอะ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับลุงหลี่ ลุงกลับไปก่อนเถอะ” ลู่ชิงจิ่วเอ่ยบ้าง

ลุงหลี่ถึงค่อยหมุนกายเดินกลับไป

ลู่ชิงจิ่วสบตากับตำรวจ และเป็นไปตามคาด เขามองเห็นความหวาดผวาจากนัยน์ตาของนายตำรวจ เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มคนนี้เพิ่งเป็นตำรวจได้ไม่นาน ยังไม่สุขุมมากพอเมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้

นายตำรวจอาวุโสดูนิ่งสงบกว่ามาก เงียบขรึมมากในทุกกระบวนการ กระทั่งกำลังเสริมจากสถานีตำรวจมาถึง เขาจึงค่อยเดินห่างออกจากด้านข้างบ่อน้ำ

ขณะนี้เป็นเวลาเกือบสิบสองนาฬิกาของเช้าวันใหม่ ทั้งหมู่บ้านต่างพากันเข้าสู่ห้วงนิทรา เหลือเพียงแต่เสียงร้องของแมลงในพุ่มหญ้า

ตำรวจที่เพิ่งมาถึงพาผู้เชี่ยวชาญพร้อมอุปกรณ์เฉพาะทางมาด้วย เตรียมลงไปกู้ภัยในบ่อน้ำ

อิ่นสวินจากเดิมที่หาวหวอดด้วยความง่วงงุนอยู่ เมื่อคนที่ลงไปในบ่อพูดว่า “มีร่างคน” ก็ทำเอาเขาตัวสั่นไปทั้งร่าง ตาสว่างขึ้นมาในทันใด

“ให้ตายเถอะ!” อิ่นสวินมองไปทางปากบ่อน้ำอย่างหวาดผวา “มีร่างคนจริงๆ เหรอ!” เขาคิดว่าอย่างมากสุดก็คือร่างของสัตว์ที่ตกลงไปตายอะไรแบบนั้น

บรรยากาศระหว่างพวกเขาเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมาทันที คนที่อยู่ด้านบนออกแรงดึงเชือก ในที่สุดก็สามารถดึงร่างนั้นขึ้นมาจากในบ่อได้ เพราะแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน เนื้อบนร่างกายจึงแทบจะเน่าเฟะไปหมดแล้ว เหลือแต่กระดูกสีขาว มีวัชพืชน้ำติดตามช่วงบน แวบแรกดูเหมือนเส้นผมสีดำ

เป็นครั้งแรกที่อิ่นสวินและลู่ชิงจิ่วได้เห็นศพ ทั้งคู่ปิดปากปิดจมูกแล้วถอยหลังไปหลายก้าว หากแต่ไป๋เยวี่ยหูยังคงเหมือนเดิม แกะเมล็ดทานตะวันของตนด้วยท่าทีเฉยชาต่อไป แตกต่างจากคนอื่นๆ ที่อยู่ในโหมดกังวลเคร่งเครียด

“เป็นศพผู้หญิงครับ” ตำรวจในที่เกิดเหตุตรวจสอบศพคร่าวๆ กล่าวต่อ “ตายมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งปี สาเหตุที่แท้จริงต้องนำร่างกลับไปตรวจสอบอย่างละเอียด”

“คุณจำเรื่องเมื่อปีที่แล้วได้มั้ย” นายตำรวจอาวุโสที่มาถึงก่อนหันไปถามเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆ

“คุณจะบอกว่า?” ตำรวจคนนั้นถามกลับ “ไม่ใช่น่า ศพจะมาอยู่ในนี้ได้ไง”

“เป็นไปได้สิ” ตำรวจอาวุโสหันมาหาลู่ชิงจิ่ว “นายไม่ได้กลับมานานแค่ไหนแล้ว”

“หลายปีแล้วครับ” ลู่ชิงจิ่วตอบตามความจริง “น่าจะสองสามปีได้ บ้านหลังนี้ถูกทิ้งว่างไว้ตลอด”

ตำรวจอาวุโสพยักหน้า “เอาล่ะ พวกนายไปนอนก่อนเถอะ พวกเรายังต้องสำรวจสถานที่เกิดเหตุอีกสักหน่อย พรุ่งนี้นายมาลงบันทึกที่สถานีตำรวจด้วย”

ลู่ชิงจิ่วพยักหน้า

ดูเหมือนตำรวจจะมีเบาะแสเกี่ยวกับศพนี้ ทำให้ลู่ชิงจิ่วพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง จากสภาพเน่าเฟะของศพแล้ว คนคนนี้เสียชีวิตมาอย่างน้อยหนึ่งปีเป็นอย่างต่ำ และในช่วงเวลานั้นตามที่ลู่ชิงจิ่วให้การ เขาไม่ได้กลับมาเลยสักครั้ง แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องตรวจสอบต่อไป สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการสืบหาว่าศพนี้คือใคร

แม้ว่าตำรวจจะให้พวกเขากลับไปนอนพักผ่อน แต่อิ่นสวินกลับมีทีท่าว่าไม่อยากกลับบ้าน เขายืนยันว่าจะอยู่กับลู่ชิงจิ่วทั้งคืน

ลู่ชิงจิ่วมองเขาอย่างสงสัย “นายคงไม่ได้กลัวผีหรอกใช่มั้ย”

“อ่า ฉันจะไปกลัวผีได้ยังไง” อิ่นสวินพูด “ฉันอิ่นสวินนะ ฉันโตขนาดนี้แล้ว ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแหละ!”

ลู่ชิงจิ่ว “…ถ้านายไม่กลัว ก็แบ่งผ้าห่มให้ฉันหน่อยสิ”

อิ่นสวิน “ไม่เอา! ฉันหนาวหลัง!”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ที่จะแย่งผ้าห่มกับอิ่นสวิน เดินเงียบๆ ไปหยิบผืนใหม่มาแทน

คืนนี้ลู่ชิงจิ่วนอนหลับไม่ค่อยสนิท เขาเอาแต่นึกถึงสภาพศพนั่น เมื่อตื่นขึ้นในวันถัดมาเขาจึงอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง หลังกลับจากไปลงบันทึกที่สถานีพร้อมนายตำรวจ ชายหนุ่มก็เอาแต่หาวตลอด

ลานหลังบ้านถูกตำรวจล้อมเอาไว้ เพื่อป้องกันสถานที่เกิดเหตุ แม้ว่าดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ที่เกิดเหตุจะไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้น เพราะเวลาได้ผ่านมานานแล้ว หลักฐานส่วนใหญ่จึงถูกทำลายย่อยสลายไปหมด

 

หลายวันผ่านไป ตำรวจถึงค่อยย้ายอุปกรณ์ป้องกันที่เกิดเหตุออก ลู่ชิงจิ่วหาเวลาว่างไปลงบันทึกที่สถานีตำรวจ

หลังกลับมาจากสถานีตำรวจ ลู่ชิงจิ่วก็ไปบ้านของเพื่อนบ้านเพื่อให้หลี่เสี่ยวอวี๋ไปเก็บหญ้าเลี้ยงหมูให้ หลี่เสี่ยวอวี๋รีบไปด้วยความยินดี พ่อของเด็กน้อยเอ่ยถามเรื่องลานหลังบ้านลู่ชิงจิ่วอย่างใคร่รู้

“มีศพจริงๆ เหรอ” ลุงหลี่กำลังสูบบุหรี่พอได้ยินเรื่องนี้ เขาก็ตกใจจนบุหรี่แทบหล่นพื้น “ถ้างั้นเสียงที่พวกเราได้ยินตอนนั้นก็…”

ลู่ชิงจิ่วหัวเราะเหอะๆ แอบคิดในใจว่าเรื่องบางเรื่องไม่ต้องหาคำตอบจะดีกว่า เพราะอย่างไรยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัวมากเท่านั้น

ป้าหลี่พูด “ต่อไปนี้ต้องระวังเลยนะ ถ้ายังมีอะไรอีก อย่าลืมไปเชิญแม่หมอมาสักหน่อยนะ ไอ้หยา บาปจริงเชียว”

ลู่ชิงจิ่วพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

ขากลับจากสถานีตำรวจ เขาได้แวะซื้อเนื้อวัวสดและเครื่องเทศมาจากตลาดที่อยู่ข้างๆ เตรียมหมักและเก็บไว้ทานทีหลัง สำหรับอาหารกลางวันคงทำอะไรง่ายๆ ลู่ชิงจิ่วหั่นเนื้อวัวเป็นชิ้นเล็กๆ ผัดจนหอม ใส่แครอต หัวหอม ถั่ว และข้าวโพด ผัดด้วยไฟสูงก่อนจะเทราดลงบนข้าวที่เหลือจากครั้งก่อน จากนั้นก็นำไปนึ่ง เสร็จเรียบร้อยก็พร้อมเป็นอาหารหนึ่งจาน

ขณะที่เขากำลังทำอาหารอยู่นั้น ไป๋เยวี่ยหูคอยดูอยู่ข้างๆ และเป็นลูกมือในบางครั้ง

พอนึ่งข้าวเสร็จแล้ว ลู่ชิงจิ่วก็ยกหม้อออกมาก่อนจะแบ่งอาหารเป็นสามส่วน จากนั้นก็ใส่ซอสถั่วเหลือง คลุกเคล้าให้เข้ากันจึงเริ่มกินได้

ข้าวกับเนื้อผสมเข้าด้วยกัน ส่งความหอมหวานทั่วโพรงปากขณะรับประทาน ทั้งทำง่ายและอิ่มท้อง ทั้งสามคนกินข้าวอย่างมีความสุข

“ชิงจิ่ว เดี๋ยวอย่าลืมรดน้ำผักในสวนนะ” อิ่นสวินพูดอู้อี้ในปาก “เมล็ดพวกนี้เพิ่งจะเพาะ มันขาดน้ำไม่ได้”

“ฉันไปเอง” ไป๋เยวี่ยหูกลับเอ่ยขึ้น

“ไม่ต้องหรอก” ลู่ชิงจิ่วปฏิเสธ

“ฉันไปเอง” ใครจะรู้ว่าไป๋เยวี่ยหูจะมีท่าทียืนกรานสุดๆ “นายตุ๋นเนื้ออยู่ในบ้านนี่แหละ”

เดิมลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าให้ไป๋เยวี่ยหูทำงานใช้แรงหนักแบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่พอคิดดูดีๆ แล้ว ไป๋เยวี่ยหูก็ไม่ใช่มนุษย์เสียหน่อย ไม่แน่อาจมีวิธีทำงานในแบบตนเองที่ง่ายกว่าเดิมก็ได้ เขาจึงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าตอบรับคำของไป๋เยวี่ยหูเท่านั้น

 

หลังพักผ่อนนอนกลางวัน ลู่ชิงจิ่วโทรหาบริษัทโทรคมนาคม ให้พวกเขาติดตั้งสัญญาณอินเตอร์เน็ตและโทรทัศน์ โดยทางบริษัทบอกว่าพรุ่งนี้จะส่งคนมาดำเนินการให้

เพิ่งวางสายโทรศัพท์ หลี่เสี่ยวอวี๋ก็กลับมาจากการเก็บหญ้าพอดี ลู่ชิงจิ่วกับเด็กชายพากันไปให้อาหารเสี่ยวเฮยและพูดอะไรสักอย่างกับเสี่ยวฮวาอยู่ด้านข้างคอกหมูพลางยกมือลูบขนสั้นๆ บนตัวเสี่ยวเฮยเป็นครั้งคราว ในภายหลังกลุ่มขนนี้จะเปลี่ยนไปเป็นสากทิ่มมือ ดีที่ตอนนี้มันยังคงปุกปุย เหมือนลูกกีวี่น่ารักๆ

เสี่ยวฮวาไว้ตัวไม่ยอมให้หลี่เสี่ยวอวี๋สัมผัส แต่เสี่ยวเฮยน้องสาวของมันกลับไม่สงวนท่าทีเลยสักนิด เมื่อถูกหลี่เสี่ยวอวี๋ลูบก็หงายตัวโชว์พุงนุ่มๆ ลู่ชิงจิ่วเห็นหลี่เสี่ยวอวี๋เล่นอย่างเพลิดเพลิน จึงตัดสินใจว่าจะไปจัดการเรื่องของตัวเองก่อน เขายังมีงานอีกหลายอย่างที่ต้องสะสาง

เมื่อกลับเข้าบ้าน ลู่ชิงจิ่วก็จัดการหั่นเนื้อที่ซื้อมาแต่เช้าตรู่เป็นชิ้นใหญ่ ล้างให้สะอาด เทน้ำเย็นลงในหม้อ ใช้ไฟแรงช่วยกรองเลือดออกจากชิ้นเนื้อ นำเนื้อที่ลวกแล้วกับเครื่องเทศที่ห่ออยู่ในผ้าวางลงในหม้อแรงดัน ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย วิธีปรุงเช่นนี้ค่อนข้างง่าย แต่รสชาติดี ลู่ชิงจิ่วยังใส่ตีนไก่และเอ็นวัวลงไปต้มอีกด้วย รอมีเวลาว่างตอนกลางคืน เนื้อตุ๋นพวกนี้ก็จะสามารถเอามากินเป็นอาหารว่างแทนเมล็ดทานตะวันได้

กลับมาอยู่บ้านเก่าได้หลายวัน ลู่ชิงจิ่วเริ่มคุ้นชินกับวิถีชีวิตสโลว์ไลฟ์ของที่นี่ ไม่ต้องรีบร้อนไม่ว่าเรื่องอะไร ยังไงก็แล้วเสร็จอยู่ดี

ไป๋เยวี่ยหูกลับมาจากรดน้ำผัก เศษดินเปื้อนตามร่างกายบางส่วนของเขา ลู่ชิงจิ่วจึงให้เขาถอดเสื้อผ้าออก แล้วไปซักด้วยกัน ไป๋เยวี่ยหูได้ยินดังนั้นกลับมีท่าทีลังเล

“หรือนายมีเวทมนตร์ช่วยซักผ้ารึไง” ลู่ชิงจิ่วมองไป๋เยวี่ยหูด้วยแววตาคาดหวัง “มีมั้ยล่ะ มีมั้ย”

ไป๋เยวี่ยหู “…จะว่ามีก็มี”

ลู่ชิงจิ่วร้อง “จริงเหรอ!”

เจอดวงตาเป็นประกายของลู่ชิงจิ่วเข้า ไป๋เยวี่ยหูก็ลังเลน้อยๆ “แต่ว่ามันมีผลตามมา”

“ผลตามมาอะไร” ลู่ชิงจิ่วถาม

“ใช้คาถาเสร็จแล้วจะหิวง่าย” ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ยุ่งยาก”

ลู่ชิงจิ่ว “อ้อ…งั้นให้ฉันซักละกัน” ตอนแรกเขาอยากจะพูดว่าหิวก็กินข้าวสิ แต่พอนึกถึงฉากที่ไป๋เยวี่ยหูกลืนกินตุ๊กแกยักษ์คืนนั้นแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าอย่าคาดหวังจะให้ไป๋เยวี่ยหูอิ่มท้องด้วยอาหารสองสามจานเลย

ลู่ชิงจิ่วให้ไป๋เยวี่ยหูรีบไปอาบน้ำ ส่วนตนเองนำชุดสกปรกของชายหนุ่มไปซักที่ลานหน้าบ้าน ซักไปพลางคิดไปพลางว่าจะเข้าเมืองไปซื้อเครื่องซักผ้า ไม่อย่างนั้นการซักเสื้อผ้าก็จะเป็นเรื่องเสียเวลาไปสักหน่อย

ไป๋เยวี่ยหูอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกมา นั่งลงข้างๆ แล้วมองลู่ชิงจิ่วซักผ้าอย่างเงียบเชียบ ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบขยับร่างกายเท่าไรนัก ดูท่าทางเกียจคร้านทั้งวัน หากไม่จำเป็นก็แทบไม่พูดจาอะไรให้มากความ ตอนนี้เขาปิดเปลือกตาลงครึ่งหนึ่ง ดูเหมือนกำลังนอนหลับ

เนื้อวัวตุ๋นในบ้านสุกแล้ว ส่งกลิ่นหอมดึงดูดใจ ไป๋เยวี่ยหูทำจมูกฟุดฟิด เหลือบมองไปข้างในบ้าน

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าเขาเหมือนเด็กตะกละที่อยากกินเนื้อ ชายหนุ่มหลุดขำก่อนจะเอ่ย “เนื้อวัวตุ๋นน่ะ ยังทำไม่เสร็จนะ คืนนี้ถึงจะกินได้ เมล็ดทานตะวันที่อิ่นสวินเอามายังไม่หมด นายอยากเอามากินรองท้องมั้ย”

ไป๋เยวี่ยหู “ไม่อยาก”

ลู่ชิงจิ่วถาม “ทำไมล่ะ”

ไป๋เยวี่ยหู “ขี้เกียจเดิน”

เขาบอกว่าขี้เกียจอย่างตรงไปตรงมาและหนักแน่น ทำเอาลู่ชิงจิ่วอดหัวเราะไม่ได้ “เอาล่ะ นายนั่งไปก่อน วันหลังฉันไปตลาดจะซื้อขนมอย่างอื่นมาให้ แล้วก็จะซื้อลูกไก่สักสองสามตัว…ลานนี่ว่างเปล่าชะมัด”

ไป๋เยวี่ยหูพูด “นายตัดสินใจเลย” เขาเอนกายบนเก้าอี้ หลับตาลงครึ่งหนึ่ง แสงแดดอบอุ่นสาดลงบนสองแก้ม หากมองจากมุมของลู่ชิงจิ่ว ก็จะเห็นนัยน์ตาของเขาทอประกายสีทองแสนสวย พอลู่ชิงจิ่วตั้งใจจะมองให้ชัดๆ ไป๋เยวี่ยหูกลับปิดตาลง

ลู่ชิงจิ่วตากเสื้อผ้าเรียบร้อย พลันนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหมุนกายไปทางคอกหมู มองเห็นหลี่เสี่ยวอวี๋กับลูกหมูสองตัวนอนหลับอยู่ด้วยกัน เด็กน้อยปีนรั้วเข้าไปข้างใน มือซ้ายเอื้อมกอดเสี่ยวฮวา มือขวาพาดกอดเสี่ยวเฮย หนึ่งคนสองหมูนอนหลับอย่างมีความสุข

ลู่ชิงจิ่วเหลือบมองเสี่ยวฮวาเสี่ยวเฮย ก่อนหันมองลูกหมูสีขาวที่อยู่ข้างๆ เขารู้สึกเหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล พอสำรวจดูดีๆ ก็พบว่าคอกของเสี่ยวฮวาเสี่ยวเฮยนั้นสะอาดเป็นพิเศษ ฟางเหมือนจะถูกเปลี่ยนใหม่ แถมไม่มีกลิ่น ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถนอนหลับในคอกหมูได้หรอก

ลู่ชิงจิ่วร้อง “หลี่เสี่ยวอวี๋ หลี่เสี่ยวอวี๋!”

เด็กน้อยถูกลู่ชิงจิ่วปลุก เขาลืมตาขึ้นอย่างงุนงงพลางลูบหัวเสี่ยวฮวาในอ้อมแขนตน “พี่ลู่…”

เสี่ยวฮวาที่ถูกหลี่เสี่ยวอวี๋ลูบหัวส่งเสียงคำรามออกมา แล้วฝังหน้าลงกับแขนของเด็กน้อย

“นายไปนอนในนั้นได้ยังไงน่ะ!” ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “นี่มันคอกหมู…”

“อ้อ ผมเล่านิทานให้เสี่ยวฮวาเสี่ยวเฮยฟังฮะ เลยเผลอหลับไป” หลี่เสี่ยวอวี๋เขินอายเล็กน้อย รีบลุกขึ้น ตั้งท่าจะปีนออกจากคอก ทำให้เสี่ยวฮวาเสี่ยวเฮยตื่นขึ้นมาด้วยเช่นกัน พวกมันคำรามในปากเป็นเชิงว่าไม่พอใจลู่ชิงจิ่ว

ลู่ชิงจิ่วพูด “อยากนอนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่ เร็ว รีบออกมา”

เขาก้าวเข้าไปใกล้คอกหมู อุ้มหลี่เสี่ยวอวี๋ออกมา แล้วถึงค่อยช่วยปัดเศษฟางเศษหญ้าบนร่างกายเด็กน้อย “พวกเรากลับไปนอนที่บ้านกัน”

หลี่เสี่ยวอวี๋พาดคางลงบนไหล่ของลู่ชิงจิ่วโดยไม่เอ่ยคำใดๆ แต่แอบส่งวิ้งให้เจ้าหมูน้อยสองตัวนั้นเงียบๆ

ลู่ชิงจิ่วไม่มีทางเห็นการกระทำเล็กๆ ของเขาแน่

เมื่อพาหลี่เสี่ยวอวี๋กลับไปส่งที่บ้านแล้ว ลู่ชิงจิ่วก็พับแขนเสื้อ กลับไปยังคอกหมูในบ้านตน ชายหนุ่มพูดกับเสี่ยวฮวาเสี่ยวเฮยว่า “อย่าพาลูกคนอื่นเล่นอะไรแผลงๆ ทุกวันสิ เขายังทำการบ้านไม่เสร็จเลยนะ พวกแกไม่ใช่หมูแรกเกิดได้สองสามวันสักหน่อย ทำไมถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลยฮะ จริงจังหน่อยได้มั้ย”

เสี่ยวฮวา “…”

เสี่ยวเฮย “…”

“พวกแกอย่าแกล้งทำเป็นฟังไม่ออกเลยน่า” ลู่ชิงจิ่วรู้ดีว่าหมูที่บ้านตนนั้นฉลาด เห็นพวกมันจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมเล็กพร้อมใบหน้าไร้เดียงสาแล้ว เขาก็เอ่ยด้วยความโกรธ “เอาเด็กปีนเข้าไปในคอกหมูได้ยังไง ถ้าคราวหน้าฉันเห็นอีก ฉันจะ…”

เสี่ยวฮวา “ฮึ่มฮึ่ม” นายจะทำไม

ลู่ชิงจิ่วสวมบทผู้ปกครองพูดจาอย่างจริงจัง “ฉันจะไม่ให้เขาไปเก็บหญ้าให้พวกแกอีก”

ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา บรรยากาศก็เงียบกริบทันใด เสี่ยวเฮยสะอื้นอย่างเจ็บปวด เสี่ยวฮวาโมโหจนหันก้นให้ลู่ชิงจิ่ว

ลู่ชิงจิ่ว “…” เขารู้ว่าหมูที่บ้านตนเองฉลาด แต่ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังรังแกเด็กอนุบาลนี่คืออะไร

ลู่ชิงจิ่วกล่าวเตือนหมูน้อยอีกหลายประโยค หลักๆ ก็คืออย่าพาเด็กเล่นอะไรแผลงๆ ทำอะไรที่มีการศึกษาหน่อย แต่อะไรที่มีการศึกษานั่น…เอาเข้าจริงเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน แค่หลุดพูดไปอย่างนั้น

สั่งสอนหมูของตนเองเสร็จแล้ว ลู่ชิงจิ่วจึงค่อยกลับเข้าบ้าน ไป๋เยวี่ยหูยังคงนอนหลับสนิทอยู่ที่ลานบ้าน ไม่รู้ว่าอิ่นสวินมาตอนไหน เขานั่งอยู่ใต้ร่มไม้ในสวนหน้าบ้าน ข้างกายมีถุงลูกพลัมสีเขียวเงาวาววางอยู่ เมื่อเห็นลู่ชิงจิ่วเดินมาก็คว้าลูกพลัมโยนให้เพื่อนลูกหนึ่ง ลู่ชิงจิ่วรับทัน เขาถูๆ มันก่อนจะกัดเข้าปาก “บ้านนายปลูกเหรอ”

“เปล่า ของเพื่อนบ้านน่ะ มันสุกแล้ว เขาให้มาเยอะ ฉันเลยเอามาให้นายถุงนึง” อิ่นสวินบอก “โอเคมั้ย”

“อื้อ แล้วบ้านนายปลูกผลไม้อะไร” ลู่ชิงจิ่วถาม

“เชอรี่” อิ่นสวินตอบ “แต่ไม่ค่อยได้ดูแลเท่าไหร่ เปรี้ยวสุดๆ เลยล่ะ ฉันไม่ยอมกินแน่ๆ”

“เอาไปขายสิ” ลู่ชิงจิ่วแนะ

“ขี้เกียจไป มันไม่ได้เยอะเท่าไหร่” อิ่นสวินตอบ

ที่นี่เชอรี่ราคาแพงมาก แต่ไม่มีตลาดให้ขาย เพราะราคาของมันแพงมากเกินไปจริงๆ คนซื้อเลยไม่เยอะ ยิ่งเชอรี่บ้านเขามีรสเปรี้ยวขนาดนี้ ยิ่งไม่มีคนซื้อ เขาจึงขี้เกียจจะไปขายให้เปลืองแรง

“นายเอามาสิ ฉันจะทำซอสเชอรี่” ลู่ชิงจิ่วกล่าว “รอถึงหน้าร้อน จะได้เอาออกมาใส่น้ำดื่ม”

อิ่นสวินหัวเราะร่า “งั้นก็ดีสิ” ต่อให้เชอรี่มีรสเปรี้ยว แต่พอทำเป็นซอสแล้วจะมีรสชาติพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูร้อน เมื่อนำมาผสมน้ำแล้วเติมน้ำแข็ง เอาไว้ดื่มในวันที่อากาศร้อนจัด ช่างเพอร์เฟ็กต์ที่สุด

ลู่ชิงจิ่วบอกให้อิ่นสวินไปล้างลูกพลัม ส่วนตัวเองจะไปดูเนื้อวัวตุ๋น อิ่นสวินพยักหน้ารับ

เนื้อวัวตุ๋นกำลังได้ที่ ลู่ชิงจิ่วลองชิมจนแน่ใจว่ารสชาติได้ซึมเข้าสู่ข้างใน ตั้งใจว่าตอนกลางคืนจะทำบะหมี่เนื้อวัวทาน

ขณะที่กำลังจัดการกับเนื้อวัวอยู่นั้น โทรศัพท์ของลู่ชิงจิ่วก็ส่งเสียงดังขึ้น เขามองบนหน้าจอ เห็นเป็นเบอร์ไม่รู้จัก ชายหนุ่มกดปุ่มรับสาย

[ฮัลโหล ใช่ลู่ชิงจิ่วมั้ยครับ] ปลายสายในโทรศัพท์เอ่ยถาม

ลู่ชิงจิ่วจำได้ว่าเสียงนี้คือเสียงของนายตำรวจที่มาดูแลคดีในคืนนั้น

“ใช่ครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ลู่ชิงจิ่วถาม

[ผมจะบอกคุณว่าศพนั้นได้รับการยืนยันตัวตนแล้วครับ ผู้เสียชีวิตชื่อว่าฟู่จื่ออิ๋ง คุณรู้จักคนคนนี้หรือเปล่า] ตำรวจถาม

“ไม่รู้จักครับ” ลู่ชิงจิ่วตอบ “ไม่เคยได้ยินชื่อนี้ด้วยซ้ำ”

[เอาเถอะ] นายตำรวจคล้ายผิดหวังนิดหน่อย

“มีเบาะแสอะไรเกี่ยวกับฆาตกรมั้ยครับ” ลู่ชิงจิ่วถามด้วยความสงสัย

นายตำรวจลังเลอยู่ครู่หนึ่ง [คุณนึกดูให้ดีว่าหลงลืมเรื่องอะไรไปหรือเปล่า ผมไม่ควรพูดเรื่องนี้กับคุณ…]

ลู่ชิงจิ่วนิ่งเงียบ ตั้งใจฟัง

[ความจริงครึ่งปีก่อน มีคนคนหนึ่งเอาแต่โทรมาแจ้งความที่สถานีตำรวจตลอดเวลา บอกว่ามีคนตายที่หมู่บ้านสุ่ยฝู่] ตำรวจกล่าว [เขาโทรมาตลอดหนึ่งอาทิตย์ ตอนนั้นพวกเราคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่น เพราะว่าหาศพไม่เจอ]

ลู่ชิงจิ่วสับสน “ถ้าอย่างนั้นคนที่แจ้งความมีส่วนเกี่ยวข้องกับฆาตกรหรือเปล่าครับ”

ตำรวจเอ่ย […ปัญหามันอยู่ที่ตรงนี้แหละ]

ลู่ชิงจิ่วถาม “ปัญหาอะไรเหรอครับ”

ตำรวจตอบ [คนที่แจ้งความบอกว่าตัวเองชื่อฟู่จื่ออิ๋ง…]

ลู่ชิงจิ่วได้ยินประโยคนี้ ขนแขนก็ลุกชันขึ้นมาทันใด “ไม่ใช่น่า?”

[ตอนนั้นพวกเรามองไม่เห็นเบอร์โทรของผู้แจ้งความ แต่ยังมีเสียงบันทึกอยู่ พวกเรานำเสียงบันทึกไปสอบถามคนในครอบครัวฟู่จื่ออิ๋ง พวกเขายืนยันว่านั่นคือเสียงของเธอ] นายตำรวจพูดเสียงต่ำ [แต่ฝ่ายชันสูตรมั่นใจมากว่าศพนี้เสียชีวิตมาแล้วหนึ่งปี]

ลู่ชิงจิ่ว “…เป็นไปได้มั้ยครับว่านี่ไม่ใช่ศพของฟู่จื่ออิ๋ง”

[ไม่มีทาง เพราะดีเอ็นเอตรงกัน] ตำรวจบอก

ลู่ชิงจิ่วขนลุกชันด้วยความสะพรึง “งั้นฟู่จื่ออิ๋งที่ตายไป…เป็นคนแจ้งความเอง?”

ปลายสายนิ่งเงียบ เห็นได้ชัดว่าตำรวจก็รับมือกับเรื่องเหนือธรรมชาตินี้ไม่ไหวเหมือนกัน

“ไม่ใช่สิ งั้นทำไมเธอไม่แจ้งความตั้งแต่แรกล่ะ” เมื่อลู่ชิงจิ่วดึงสติกลับมาได้ ถึงรู้สึกว่ามันแปลกๆ “ทำไมถึงรอให้ผ่านมาครึ่งปี…”

[มันมีเบาะแสสำคัญมากๆ ในบันทึกโทรศัพท์ที่โทรเข้ามา] ตำรวจเผย [ตอนนั้นเธอบอกว่าคนที่ตายเป็นผู้ชาย พวกเราก็เลยสงสัย…]

พูดถึงผู้ชาย ลู่ชิงจิ่วก็นึกถึงภาพที่เขาเห็นเมื่อบ่ายวันนั้นขึ้นมาทันที ข้างหน้าปากบ่อน้ำ มีชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้เขาจริงๆ ชายคนนั้นกำลังใช้หินทุบใบหน้าของผู้หญิง เขารีบเอ่ย “ขอถามได้มั้ยครับ ฟู่จื่ออิ๋งตายได้ยังไง เป็นเพราะถูกหินทุบหน้าหรือเปล่า”

ตำรวจถามอย่างแปลกใจ [คุณรู้ได้ยังไง]

ลู่ชิงจิ่วหัวเราะแห้งๆ “ช่วงนี้ผมค่อนข้างฝันร้ายแปลกๆ…”

พูดตามจริง ถ้าไม่มีเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างคนตายโทรแจ้งความ ตำรวจคงสงสัยว่าลู่ชิงจิ่วมีแรงจูงใจในการลงมือฆาตกรรมไปแล้ว

เขาถาม [คุณฝันเห็นอะไร]

ลู่ชิงจิ่ว “ผมฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่โดนกลุ่มผมห่อหุ้มทั้งร่างถูกลากลงบ่อน้ำไปด้วยกัน”

เมื่อพูดประโยคนี้จบ ลู่ชิงจิ่วและนายตำรวจต่างเงียบด้วยกันทั้งคู่ ผ่านไปสักพัก ลู่ชิงจิ่วจึงหัวเราะขึ้นมา “ฮัลโหล ในบ่อน้ำคงไม่มีศพผู้ชายอีกคนหรอกมั้งครับ…”

นายตำรวจ […คุณรอก่อน พวกเราจะไปตรวจสอบอีกรอบ]

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 13 .. 65

 

 

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 125

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า หลายวันก่อนตอนรอเขากลับมา ซูเสวี่ยจื้อเคยมโนภาพหลายครั้งมากว่าคนทั้งคู่จะพบหน้ากันแบบไหน แต่เธอค...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-1

บทที่ 27-1 หวงปอรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานาน แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกไป๋ตันหย่งที่ยืนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของฮ่องเต้มาตั้งแต...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 126

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบหก สิบเก้านาฬิกาตรง เฮ่อฮั่นจู่ไปถึงคฤหาสน์สกุลเฉาตรงเวลา เฉาเจาหลี่ ลูกชายคนโตที่เกิดกับภรรยาหลวงขอ...

community.jamsai.com