ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 6

เทศกาลโคมไฟมาถึงอย่างรวดเร็ว วันนี้อากาศปลอดโปร่ง ท้องฟ้าแจ่มใส และบังเอิญว่าไม่มีการประชุมราชสำนักในช่วงเช้า บรรดาขุนนางต่างพักผ่อนอยู่ที่จวน จนกระทั่งช่วงที่พระอาทิตย์ร้อนแรงที่สุดได้ผ่านพ้นไปก็เดินทางไปยังอุทยานหลวงเช่นเดียวกันกับฮ่องเต้

กู้หยวนไป๋นอนจนถึงยามอู่ หลังจากล้างหน้าล้างตาและกินอาหารกลางวันเสร็จ เหล่าขุนนางก็รออยู่ด้านนอกแล้ว

อาภรณ์ใหม่ที่สุดสำหรับฤดูใบไม้ผลิถูกเตรียมไว้ในตำหนักบรรทมแล้ว กู้หยวนไป๋หยิบชุดลำลองสีขาวนวลปักลายมังกรด้วยไหมทอง สวมเสื้อคลุมลายสีน้ำเงินทับด้านนอก เดินออกจากตำหนักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่พาบุตรชายในสกุลของตน มาถวายความเคารพกู้หยวนไป๋ “ถวายบังคมฝ่าบาท”

วันนี้นอนเต็มอิ่มจึงรู้สึกสดชื่น กู้หยวนไป๋ก็กระปรี้กระเปร่ามากเช่นกัน เขายกยิ้มมุมปากแล้วกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ลุกขึ้นเถิด”

ดอกไม้ใบหญ้าพันธุ์หายากในสวนต่างเบ่งบานหลังจากต้องฝนในฤดูใบไม้ผลิเมื่อไม่กี่วันก่อน เหล่าข้ารับใช้ดูแลเอาใจใส่ทั้งวันคืน ต้นไม้หลายต้นที่ไม่ควรผลิใบในฤดูนี้ก็เขียวขจีเป็นพิเศษเช่นกัน

วันนี้แดดดี ข้ารับใช้ต่างมารดน้ำก่อนหน้าแล้ว บนดอกไม้จึงชุ่มไปด้วยหยดน้ำ นับเป็นช่วงเวลาที่งดงามที่สุด

รอบกายฮ่องเต้รายล้อมไปด้วยบรรดาเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ลูกหลานที่เหล่าขุนนางพามาติดตามอยู่ข้างหลัง อย่าว่าแต่เหลือบมองเลย แม้แต่ชายผ้าของฮ่องเต้พวกเขาก็มองไม่เห็นด้วยซ้ำ

เซวียหย่วนถูกทิ้งไว้เบื้องหลังขุนนางเหล่านั้น เขาเดินช้าๆ อยู่กับฉางอวี้เหยียน ทั้งสองคนไม่รีบร้อนราวกับว่ามาชื่นชมดงบุปผาเท่านั้น

ครั้นเห็นว่าผู้คนรอบข้างซาลง ฉางอวี้เหยียนจึงถามขึ้น “ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นที่เจ้าเก็บได้เล่า”

เซวียหย่วนสองมือไพล่หลัง ลำตัวตั้งตรงสง่า พยายามวางท่าทางให้ดูสูงส่ง เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เผาเป็นเถ้าไปแล้ว”

ฉางอวี้เหยียนเอ่ยเย้า “ข้ายังนึกว่าเจ้าจะอาศัยโอกาสวันนี้ นำผ้าเช็ดหน้ากลับสู่เจ้าของเสียอีก”

เซวียหย่วนราวกับได้ยินเรื่องขบขัน “มาถึงมือข้าก็กลายเป็นของของข้าแล้ว กลับสู่เจ้าของอะไรกัน”

ฉางอวี้เหยียนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ ก็มีเสียงดังเอะอะมาจากข้างหน้า ที่แท้เป็นเพราะขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเกิดแรงบันดาลใจฉับพลัน สร้างสรรค์กลอนหย่งชุน น้ำดีบทหนึ่ง ทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นมาเล็กน้อย

หลังจากข้ารับใช้ด้านข้างจด ก็อ่านออกเสียงอีกครั้ง ฉางอวี้เหยียนได้ยินแล้วอดที่จะปรบมือชื่นชมมิได้ “กลอนดี!”

เซวียหย่วน “ท่านพ่อของเจ้าต้องการให้เจ้าโดดเด่นในวันนี้ ยังไม่รีบฉวยโอกาสนี้ท่องกลอนที่แต่งไว้อีกรึ”

ฉางอวี้เหยียนส่ายหน้าทันที เซวียหย่วนยกยิ้มมุมปาก เขาถอยหลังหนึ่งก้าวและยกเท้าขึ้นเตะฉางอวี้เหยียน ฉางอวี้เหยียนพุ่งเซไปข้างหน้า ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่จำเขาได้หัวเราะหึๆ พลางเปิดทางให้ “หากพูดถึงการแต่งกลอน จะข้ามคุณชายสกุลฉางไปได้อย่างไร”

ครั้นฉางอวี้เหยียนยืนได้มั่นคงก็พบว่าตำแหน่งที่ถูกเว้นว่างให้นั้นอยู่ถัดจากข้างกายฮ่องเต้ เขาแสดงอาการตกใจจากนั้นก็รีบสงวนท่าที ก้าวขึ้นหน้าไปคำนับฮ่องเต้ด้วยความเคารพ “ข้าน้อยไม่รักษากิริยาแล้ว ถวายบังคมฝ่าบาท”

กู้หยวนไป๋มองคุณชายผู้สง่างามตรงหน้าอย่างระมัดระวัง “เจ้าก็คือฉางอวี้เหยียน?”

ฉางอวี้เหยียนก้มหน้าต่ำกว่าเดิม “พ่ะย่ะค่ะ”

ฉางอวี้เหยียนผู้นี้น่าสนใจนัก ทั้งยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ในนครหลวง มีสองสิ่งที่เขาทำแล้วกู้หยวนไป๋จดจำได้อย่างแม่นจำ สิ่งแรกคือวันที่เขาเข้าพิธีสวมหมวก บรรดาผู้จงรักภักดีต่อเขาล้อมรอบจวนสกุลฉางไว้ บางคนพยายามที่จะปีนกำแพงข้ามมา สุดท้ายทางการต้องส่งทหารไปจับคน อีกเรื่องค่อนข้างมีส่วนเกี่ยวข้องกับกู้หยวนไป๋ ฉางอวี้เหยียนผู้นี้เคยเขียนกลอนสิบสามบทเพื่อถากถางผู้ทรงอำนาจที่ไม่รู้จักทุกข์ร้อนบนโลกในคราเดียว เขาไม่เพียงเยาะเย้ยเหล่าขุนนางเท่านั้น แต่ยังเยาะหยันว่ากู้หยวนไป๋ไม่คู่ควรแก่การเป็นฮ่องเต้อีกด้วย

หากแปลเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ ‘ผู้ที่มีอำนาจล้นฟ้าอย่างพวกท่านสนใจเพียงผลประโยชน์ส่วนตน แต่ไม่สนใจสรรพสิ่งในใต้หล้าเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้ผู้ทุกข์ยากทั้งหลายมาเลี้ยงดูเจ้าขุนมูลนายอย่างพวกท่านที่รู้จักแต่เพียงการกินหรูอยู่สบาย ข้าคิดว่าทุกท่านห่วยแตกสิ้นดี’

กลอนสิบสามบทนี้ทำให้เขาล่วงเกินคนในนครหลวงไปกลุ่มใหญ่ และบิดาของเขาถูกลดขั้นเพราะเหตุนี้ หลังจากความคุกรุ่นผ่านไปแล้ว เจ้าเด็กคนนี้ก็เริ่มเขียนกลอนบทใหม่ อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของฉางอวี้เหยียนก็ได้ขจรขจายหลังจากการต่อสู้ในครั้งนั้น

ครั้นคิดถึงตรงนี้รอยยิ้มของกู้หยวนไป๋ก็ยิ่งล้ำลึก “เจ้าก็มีกลอนจะถวายรึ”

ไม่ว่าฉางอวี้เหยียนจะเขียนบทความหรือบทกลอน ทุกชิ้นล้วนเป็นผลงานน้ำดี ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีชื่อเสียงและเป็นคนดีมีความสามารถที่ปลุกระดมความคิดเห็นของชาวบ้านได้ กู้หยวนไป๋กำลังขาดผู้มีความสามารถด้านประชามติที่สามารถสรรเสริญบุญญาธิการของเขา ซึ่งจะทำให้เขาดำรงอยู่ในตำแหน่งคุณธรรมสูงสุดและเปิดเส้นทางนโยบายให้กับเขาอยู่พอดี

ฉางอวี้เหยียนปากคอแห้งผาก อันที่จริงเขาได้เตรียมกลอนบทหนึ่งไว้แล้ว อีกทั้งยังเป็นกลอนที่แต่งไว้ก่อนไปเยี่ยมชมอุทยานด้วย เพียงแต่กลอนบทนั้น…เป็นผลงานที่เขาจงใจแต่งเพื่อเสียดสี ‘คนร่ำรวยกินดีอยู่ดี คนไม่มีหนาวตายข้างถนน’ อะไรเทือกนี้

เดิมทีเขาคิดว่าหากบิดาต้องการให้เขาแต่งกลอนต่อหน้าฮ่องเต้ เขาก็จะท่องกลอนบทนี้ออกมาจริงๆ

กู้หยวนไป๋เห็นว่าเขานิ่งเงียบก็หัวเราะเอ่ย “ลุกขึ้นยืน ตั้งศีรษะตรง”

ฉางอวี้เหยียนทำตามโดยไม่รู้ตัว ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นฮ่องเต้กำลังมองเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ฮ่องเต้กำลังมองเขาอย่างชื่นชม หันไปพูดกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ข้างๆ “ชายหนุ่มในต้าเหิงของเจิ้นนั้นเก่งกาจ แต่ละคนล้วนมีพรสวรรค์ เป็นชายชาตรีที่หน้ามองฟ้าเท้าติดดิน”

หูของฉางอวี้เหยียนแดงขึ้นทันที รู้สึกเพียงความละอายก่อตัวขึ้นในใจ

เหล่าขุนนางหัวเราะพร้อมเห็นด้วย “คุณชายสกุลฉางมีความสามารถเทียบเท่าจ้วงหยวน”

ตุลาการแห่งศาลสถิตยุติธรรมผู้เป็นบิดาของฉางอวี้เหยียนยืนอยู่ด้านนอก พอได้ยินบรรดาขุนนางชมบุตรชายของตน ใบหน้าที่เคร่งขรึมก็อดที่จะยิ้มไม่ได้

ไม่ว่าฮ่องเต้พูดอะไร บรรดาขุนนางก็ชมเชยตามนั้น กู้หยวนไป๋เอนตัวไปด้านข้างเพื่อฟังคำพูดของเหล่าขุนนางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม คางของเขาแทบจะฝังอยู่ในขนของเสื้อคลุมแล้ว

ฉางอวี้เหยียนไม่กล้ามองหน้าฮ่องเต้ตรงๆ เขาก้มหน้าเล็กน้อยและจ้องคางของฮ่องเต้แทน

ท่อนบนของฮ่องเต้เพรียวบาง ผอมแห้งอย่างมาก คางไม่มีเนื้อเท่าไรทว่ารูปทรงงดงามยิ่งนัก ฉางอวี้เหยียนนึกถึงบรรดาคุณชายที่เกี้ยวพาราสีเด็กสาวตระกูลดีในนครหลวงก็ชอบหยิกคางแบบนี้ แล้วคลอเคลียอย่างแผ่วเบา

โชคดีที่ฝ่าบาทก็คือฝ่าบาท ไม่สิ ฝ่าบาทคือบุรุษต่างหาก ฉางอวี้เหยียน นี่เจ้ากำลังคิดเหลวไหลอะไรอยู่

หากคุณชายเหล่านั้นกล้าหยิกคางฮ่องเต้ก็คงจะถูกบั่นคอทั้งตระกูลในทันที

ฉางอวี้เหยียนแอบสั่นสะท้าน ลอบร้องไห้ในใจพลางตัดพ้อเซวียหย่วน เหตุใดต้องขัดขาเขาด้วย

“อวี้เหยียน” ฮ่องเต้เอ่ยเรียก “เจ้าแต่งกลอนอะไรไว้”

หัวใจของฉางอวี้เหยียนเด้งไปจุกที่คอทันที เขาเอียงศีรษะไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือดอกเหมยเป็นชั้นๆ

แสงความคิดแวบเข้ามาในหัว “กลอนบทนี้ของกระหม่อม ก็คือลำนำดอกเหมย”

ฉางอวี้เหยียนเก็บกลอนเสียดสีที่แต่งขึ้นก่อนหน้านี้ไว้ในใจ จากนั้นก็ด้นสดกลอนบทหนึ่ง สองประโยคสุดท้ายยังชื่นชมฤดูใบไม้ผลิยามเช้านี้อีกด้วย

กู้หยวนไป๋พยักหน้า ยิ้มเอ่ย “เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ”

ฉางอวี้เหยียนก้มหน้าเพราะเขินอายและจ้องที่คางของฮ่องเต้เช่นเคย คราวนี้เขาค่อนข้างเป็นกังวล ทันทีที่เขาเงยหน้า ริมฝีปากสีซีดของฮ่องเต้ก็ปรากฏขึ้นสู่สายตา

ริมฝีปากนี้ไม่บางไม่หนา มุมปากยกขึ้นราวกับเป็นรอยยิ้มตามธรรมชาติ

กู้หยวนไป๋รู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่เลว ก่อนหน้านี้ที่อ่านกลอนสิบสามบทของเขายังนึกว่าคงเป็นคนมุทะลุเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะมีลูกเล่นเสียด้วย

ฮ่องเต้เรียกฉางอวี้เหยียนให้เดินตามข้างกาย เดินๆ หยุดๆ อยู่ในอุทยาน พูดกับเขาประโยคสองประโยคเป็นครั้งคราว สายตาคลุมเครือของขุนนางข้างกายฮ่องเต้ลอบมองสำรวจฉางอวี้เหยียนครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้ว่าเหตุใดเด็กคนนี้ถึงได้เข้าตาฮ่องเต้

 

เซวียหย่วนรอให้ฮ่องเต้กริ้วอยู่ที่ด้านหลังสุดอย่างผ่อนคลาย

เขาเข้าใจฉางอวี้เหยียนดี ขอเพียงเป็นการเพิ่มปัญหากวนใจให้บิดาของตน ฉางอวี้เหยียนก็จะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ข้างหน้ายังคงมีเสียงหัวเราะร่วน ส่วนฉางอวี้เหยียนก็ยังปะปนอยู่ในนั้นไม่ได้กลับมา

คิ้วของเซวียหย่วนค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน หรือว่าฉางอวี้เหยียนยังไม่ลงมือ?

เขายังต้องการเห็นเรื่องขบขันของฮ่องเต้น้อยและรอให้อีกฝ่ายกริ้ว ทั้งยังส่งคนไปรออยู่นอกวังล่วงหน้า เตรียมพร้อมที่จะแพร่กระจายผลงานเสียดสีของฉางอวี้เหยียนไปทั่วนครหลวงทันที

เซวียหย่วนทอดถอนใจอย่างหมดหวัง หลังจากก้าวเท้าฉับๆ ได้ไม่กี่ก้าว บังเอิญว่าขบวนของฮ่องเต้ที่อยู่ข้างหน้าก็เดินมาถึงมุมพอดี เซวียหย่วนมองแวบแรกก็เห็นสหายของเขาหน้าชื่นตาบานพร้อมเดินตามฮ่องเต้ด้วยปากที่ยิ้มไม่หุบ

เซวียหย่วนย่องเข้าไปเงียบๆ และยืนอยู่ในเงาหลังแม่ทัพเซวีย ทันทีที่เขายืนหยุดนิ่งก็เห็นฮ่องเต้ที่อยู่ข้างหน้าหยุดลงกะทันหัน จากนั้นก็ยื่นมือสีขาวที่แทบจะโปร่งใสของเขาออกจากแขนเสื้อกว้าง และดึงดอกไม้งดงามที่เบ่งบานท่ามกลางพุ่มไม้สีเขียวนับร้อย

“ดอกไม้บานได้งามนัก” ฮ่องเต้เอ่ยชม จากนั้นก็ยกดอกไม้ขึ้นมาดม น่าจะเป็นเพราะกลิ่นนั้นตรงกับจิตใจจึงทำให้เขายิ้มออกมาทันที

ร่างกายของฮ่องเต้บอบบางอ่อนแอทั้งยังป่วยร้ายแรง แต่เมื่อเขายิ้มกลับเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาราวกับดอกไม้นับร้อยที่เบ่งบาน เซวียหย่วนที่แอบอยู่ในที่ลับตาเงยหน้าขึ้นมอง เพียงแวบแรกก็มองเห็นรอยยิ้มบนมุมปากของเขา แล้วพบว่าที่แท้ฮ่องเต้ผู้มีร่างกายอ่อนแอนี้ยังมีรูปโฉมงดงามซึ่งดวงจันทร์ในฤดูสารทก็ไม่อาจเทียบเคียง

เซวียหย่วนมองอยู่ครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย

ฮ่องเต้ที่ก่นด่าเขาต่อหน้าขุนนางนับร้อยอย่างไร้ความปรานี ที่แท้ขนก็ยังไม่งอกสักเส้นรึ

 

เมื่อดนตรียามพลบค่ำบรรเลง งานเลี้ยงก็เริ่มต้น

ฉางอวี้เหยียนนั่งอยู่แถวหลัง มองจานอาหารเต็มโต๊ะด้วยความงุนงง

เซวียหย่วนที่นั่งอยู่ข้างๆ เลือกอาหารหลวงที่หน้าตางดงามอย่างชำนาญ พลางเอ่ย “กลอนวันนี้แต่งได้ไม่เลว”

“เจ้ารู้แล้วรึ…” ฉางอวี้เหยียนขมวดคิ้ว “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าข้าจะถูกเอาเปรียบตอนที่เผชิญหน้ากับฝ่าบาท”

คุณชายเซวียหย่วนยิ้มยิงฟันอย่างมืดมน “ฝ่าบาทเจ้าแผนการ”

ฉางอวี้เหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้ากล่าวถึงฝ่าบาทเยี่ยงนี้ได้อย่างไร”

เซวียหย่วนเลิกคิ้ว จงใจหันมามองสหายคนสนิทที่พิลึกพิลั่นผู้นี้ จากนั้นก็หรี่ตาและมองขึ้นไปยังฮ่องเต้ในที่ไกลๆ

กู้หยวนไป๋นั่งอยู่บนที่นั่งด้านบน วันนี้เขาต้องดื่มสุราบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ปริมาณแอลกอฮอล์ในสุราโบราณจะไม่สูงนัก ทว่าตั้งแต่มาที่นี่ก็ดื่มไปเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น หลังจากดื่มลงท้องไปไม่กี่จอก เขาก็สั่งให้คนเติมน้ำในเหยือก

ความอุ่นแผ่ซ่านจากหัวใจสู่แขนขา กู้หยวนไป๋ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง รู้สึกว่าใบหน้าเองก็ร้อนผ่าวเช่นกัน

เขาไม่สามารถดื่มได้อีกต่อไปแล้ว กู้หยวนไป๋รู้ดีว่าร่างกายนี้บอบบางและอ่อนแอเพียงใด เขาหยุดดื่มสุราและเริ่มดื่มชาร้อนเพื่อลดฤทธิ์ของแอลกอฮอล์

ทุกการกระทำของฮ่องเต้ล้วนถูกจับตามอง เหล่าขุนนางที่เห็นฮ่องเต้เป็นประจำยังไม่เท่าไร ต่างจากเด็กหนุ่มบางคนที่เพิ่งเคยเห็นฮ่องเต้เป็นครั้งแรกที่ต่างเหลือบมองอย่างไม่ลดละ

หนึ่งในแววตาที่สุกใสเป็นที่สุดก็คือเซวียหย่วน

แค่ดื่มสุราก็ยังหน้าแดงได้ ใช่ชายชาตรีจริงรึ

ฮ่องเต้เยี่ยงนี้ยังทำให้ฉางอวี้เหยียนหวั่นไหวได้ หรือว่าเกิดเหตุการณ์อะไรที่เขาไม่เห็นระหว่างที่อยู่ในอุทยานหลวง

เซวียหย่วนเคาะมืออยู่บนจอกสุรา ครุ่นคิดลึกซึ้ง

 

เวลางานเลี้ยงในวังหลวงไม่นานนัก หลังจากจบงานท้องฟ้าก็เพิ่งจะเริ่มมืดลงเล็กน้อยเท่านั้น เถียนฝูเซิงพาขันทีหลายคนช่วยกันส่งบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ออกไป เมื่อไม่มีคนแล้วก็ลากหัวหน้าทหารองครักษ์จางไปด้านข้างเพื่อสั่งการเรื่องหนึ่งอย่างลับๆ

หลังจากกู้หยวนไป๋อาบน้ำเสร็จ เวลายังไม่ดึกมาก เขาจึงพลิกเปิดหนังสือ ‘หานเฟยจื่อ’ ที่อยู่บนโต๊ะอ่าน

กู้หยวนไป๋มีข้อบกพร่องชิ้นใหญ่เมื่อเทียบกับชายโบราณดั้งเดิม แนวคิดของเขามาจากโลกยุคหลังและแนวคิดสุดขั้วของคนรุ่นหลังใช้ไม่ได้กับสภาพแวดล้อมปัจจุบัน

เขาต้องแยกให้ชัดเจนว่าอะไรให้ประโยชน์และอะไรที่จะสร้างความหายนะให้กับโลกใบนี้ เขาไม่เคยอ่านหนังสือโบราณเหล่านี้มาก่อนเลย ทว่าตั้งแต่มายังโลกนี้เขากลับต้องอ่านมันทั้งวันทั้งคืน อ่านมันข้ามคืน แบ่งเวลาอ่านและผสมผสานกับความทรงจำของร่างกายเพื่อทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ฮ่องเต้องค์เดิมทำได้ไม่ดี เขาจึงต้องเรียนรู้เจตนารมย์ของฮ่องเต้จากหนังสือด้วยตัวเอง

ในยุคปัจจุบันมีคำกล่าวที่ว่า ‘ย้อนเวลาสู่ต้าชิง เพื่อช่วงชิงและก่อกบฏ’ แม้ต้าเหิงจะเป็นราชวงศ์ที่ไม่เคยปรากฏอยู่ในความทรงจำมาก่อน และแม้ว่าโลกใบนี้จะมีตัวตนอยู่เพียงในหนังสือนิยาย แต่หนังสือและร่องรอยทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ไม่สามารถแยกออกจากความทรงจำได้เลย กู้หยวนไป๋ไม่สามารถปฏิบัติต่อบ้านเมืองนี้อย่างเล่นๆ ได้

และในฐานะที่เป็นนักแสดงนำชายในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นฉู่เว่ยหรือเซวียหย่วนล้วนมีความสามารถอันแข็งแกร่งในการปกครองประเทศ

อันที่จริงกู้หยวนไป๋ก็อยากได้พวกเขาอยู่เหมือนกัน

แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนทั้งสองถึงรักกัน แต่กู้หยวนไป๋ก็เคารพพวกเขา ถ้าตัวเขาเองสามารถมีชีวิตที่ยาวนานกว่านี้ เขาก็จะสามารถประทานสมรสแก่คนทั้งสองเพื่อดึงพวกเขามาเป็นพวกได้

น่าเสียดายที่ชีวิตถูกพญามัจจุราชลิขิตไว้แล้ว ตอนนี้กู้หยวนไป๋ทำได้เพียงรอให้ชีวิตของตนถึงจุดจบ ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วันเขาอาจทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียงโดยไม่ขยับเขยื้อนแล้วก็เป็นได้

กู้หยวนไป๋ถอนหายใจยาว

เถียนฝูเซิงเงยหน้าขึ้นถาม “ฝ่าบาทง่วงแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ส่ายหน้าแล้วเอ่ย “เจิ้นเพียงกำลังคิดว่าคนเราย่อมต้องตาย ไม่ว่าจะเตรียมการไว้มากเพียงใด แม้แต่เจิ้นเองก็รู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องเผชิญกับความตาย”

เถียนฝูเซิงตื่นตระหนก สองขาอ่อนปวกเปียกคุกเข่าลงไปกับพื้น กู้หยวนไป๋หลุดหัวเราะ “กลัวอะไร เจิ้นเพียงทอดถอนใจเท่านั้น”

เถียนฝูเซิงตกใจอย่างยิ่ง “ฝ่าบาทอย่าตรัสเช่นนี้ให้กระหม่อมตกใจเลยพ่ะย่ะค่ะ หัวใจของกระหม่อมแทบจะกระโดดออกมาแล้ว”

กู้หยวนไป๋ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ไม่มีแก่ใจจะอ่านหนังสือแล้ว เขาวางหนังสือลง ข้ารับใช้ในตำหนักบรรทมต่างออกไปจนหมด กู้หยวนไป๋เดินไปที่ห้องนอนเพื่อยกมุ้งขึ้นโดยไม่รู้ตัวและดวงตาก็เบิกกว้างในทันใด

คนงามที่ถูกมัดท่อนบนสองมือไพล่หลังกำลังนอนอยู่บนเตียงมังกรของเขา ดวงตาหงส์ขมุกขมัว มีจิตสังหารซ่อนอยู่ในความโหดเหี้ยมนั้น

กู้หยวนไป๋มองหน้าอกของสาวงามโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นซีดเซียว เพราะเขาคือชายคนหนึ่ง

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 22 มิ.. 65

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 125

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า หลายวันก่อนตอนรอเขากลับมา ซูเสวี่ยจื้อเคยมโนภาพหลายครั้งมากว่าคนทั้งคู่จะพบหน้ากันแบบไหน แต่เธอค...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-1

บทที่ 27-1 หวงปอรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานาน แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกไป๋ตันหย่งที่ยืนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของฮ่องเต้มาตั้งแต...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-2

บทที่ 27-2 วันรุ่งขึ้นหลังออกจากวังซีหวา เดิมทีเมิ่งถิงฮุยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ใครจะรู้ว่าผ่านไปไม่กี่วันคำพูดของเขาที่พูดอ...

community.jamsai.com