ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3 บทที่ 91-92 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3 บทที่ 91-92 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 3

ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

มีการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 91

 

กู้หยวนไป๋เพียงยิ้มให้กับข่าวลือนี้

เขากลับไม่ได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจ หันมาคุยเรื่องชายแดนกับข่งอี้หลินแทน น้ำเสียงของเขาผ่อนคลาย บนถนนไม่อาจคุยเรื่องสำคัญได้ บทสนทนาระหว่างคนทั้งสองก็เหมือนกับการพูดคุยสบายๆ ทั่วไป ในท้ายที่สุดข่งอี้หลินก็เป็นฝ่ายเล่าสภาพที่ชายแดนให้กู้หยวนไป๋ฟังก่อน

สายลมไร้ที่สิ้นสุด ทุ่งหญ้าไกลโพ้น และท้องฟ้าสีคราม

ในขณะที่กู้หยวนไป๋ฟังเขาอยู่นั้นก็เริ่มคิดว่า ชายแดนของต้าเหิงจะเป็นอย่างไรกันนะ

ความคิดนี้โบยบินสู่ท้องฟ้า ล่องลอยไปตามสายลมสู่ชายแดนตอนเหนือ

 

ขณะที่ทหารต้าเหิงกำลังทำสะสางสนามรบอยู่นั้น พวกเขาก็นำม้าที่ตายจากการบาดเจ็บกลับมาที่ค่ายเพื่อเพิ่มเนื้อในอาหาร

เพียงแต่น่าเสียดายที่บัดนี้ม้าของชาวชี่ตันหิวโซจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก เนื้อที่เหลือเหล่านั้นก็ไม่เพียงพอให้ทหารนับหมื่นได้กิน นับประสาอะไรกับชาวบ้านผู้ประสบภัย

เนื้อส่วนสุดท้ายถูกทำเป็นน้ำแกงม้า น้อยคนนักที่จะได้กินเนื้อ ทำได้เพียงดื่มน้ำแกงเพื่อบรรเทาความหิวเท่านั้น

การเดินทัพและการต่อสู้เป็นงานหนัก การบรรเทาทุกข์เป็นเรื่องเร่งด่วน เมื่อนำเนื้อสัตว์มาน้อยก็กินหมดอย่างรวดเร็ว สิ่งที่สามารถปันส่วนให้กับเหล่าทหารได้ก็มีเพียงม้าและแกะที่แย่งมาได้จากชนเผ่าเร่ร่อนกับม้าที่บาดเจ็บในสนามรบเท่านั้น ดังนั้นหลังจากชนะการต่อสู้เล็กๆ กับรื่อเหลียนน่าได้แล้ว เซวียหย่วนกับแม่ทัพเซวียก็ได้นำทหารม้าสองหมื่นนายล้อมเผ่าของรื่อเหลียนน่าไว้อย่างสมบูรณ์

ราชโองการของฮ่องเต้ก็คือโจมตีให้เผ่าเร่ร่อนที่รุกรานชายแดนบ่อยครั้งเหล่านั้นหวาดกลัว เจรจาต่อรองระหว่างที่พวกเขาเตรียมการสานสัมพันธ์ภายในเพื่อแสวงหาการพัฒนาที่มั่นคง ทำให้เส้นค้าขายหลักบนทุ่งหญ้าของชนเผ่าเร่ร่อนแปดเปื้อนและสร้างเส้นทางการค้าที่มีความมั่นคง

หากไม่สำเร็จก็ต้องสู้ หากสำเร็จก็เปลี่ยนวิธีการต่อสู้

ชนเผ่าเร่ร่อนทั้งหมดมีสองถึงสามแสนคน ผู้ที่ประสบภัยจากตั๊กแตนเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น หากต้องการจะนำทหารม้าต้าเหิงไปสู้รบตบมือกับทหารม้าโหดเหี้ยมเหล่านี้ก็จะแพ้ยับเยินถึงเจ็ดส่วน

ทำอย่างไรได้ แหล่งม้าของต้าเหิงมีน้อย ทหารม้าน้อย หากจะฝึกฝนทหารม้าก็ต้องใช้เวลา กู้หยวนไป๋เพิ่งจะมีส่วนร่วมในกองทัพได้ไม่นาน อย่าว่าแต่การฝึกทหารม้าจำนวนมากเลย ลำพังม้าก็มีเพียงน้อยนิดเท่านั้น

จุดประสงค์ในครั้งนี้คือทำให้พวกเขาหวาดกลัวด้วยการใช้ตั๊กแตนและกำลังของทหารม้า จากนั้นก็ทำให้เกิดข้อพิพาทภายในที่ลุกลามขึ้นเรื่อยๆ

แม่ทัพเซวียจดจำพระราชดำรัสของฮ่องเต้ไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ นำทหารม้าสองหมื่นนายปราบปรามรื่อเหลียนน่าจนไม่อาจลืมตาอ้าปากได้ โดยอาศัยเงื่อนไขด้านดินฟ้าอากาศและภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม ทหารของต้าเหิงฉวยโอกาสขโมยวัว แกะ และม้าจากเผ่าของรื่อเหลียนน่าทั้งหมด จับกุมกองกำลังศัตรูแปดพันคน รื่อเหลียนน่าพาคนที่เหลือหนีตายไปทางเหนืออย่างสิ้นท่า

ม้าที่ขโมยมาถูกเลี้ยงอย่างดี ครั้นม้าเหล่านี้ได้กินธัญพืชและหญ้าที่สดใหม่ก็เลิกดิ้นรน ฝังหัวของพวกมันอยู่ในหญ้าพร้อมกับเคี้ยวคำโตๆ

วัวและแกะที่ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกส่วนหนึ่งถูกเก็บไว้ อีกส่วนหนึ่งถูกฆ่าเพื่อเชือดเนื้อมากิน!

“วัวและแกะส่วนที่เหลือสามารถนำมาเชือดกินได้เมื่อฤดูหนาวอันหนาวเหน็บมาถึง” แม่ทัพเซวียหารือกับแม่ทัพทุกคน “รื่อเหลียนน่าหนีไปทางเหนือแล้ว น่าจะลี้ภัยไปยังเผ่าของซีวั่นตัน ซีวั่นตันโอหังทั้งยังระวังตัว เผ่าของเขาเองได้รับผลกระทบจากตั๊กแตนเช่นกันและคงยอมรับคนจากเผ่ารื่อเหลียนน่า ทว่าฤดูหนาวนี้เขาจะไม่ต่อสู้กับพวกเราเพื่อรื่อเหลียนน่าอีกแล้ว”

“พวกเขายังเอาตัวไม่รอด” เซวียหย่วนเอ่ย “ฤดูหนาวปีนี้ ไม่ว่าพวกเขาหรือพวกเรา อย่างแรกที่ต้องทำคือรักษาชีวิต”

ชาวชี่ตันที่ถูกจับเป็นเชลยถูกใช้เป็นทาสในการสร้างบ้านเรือนเพิ่มเติมให้ผู้ประสบภัย

ฤดูหนาวครั้งนี้ไม่ง่ายเลย ผู้ประสบภัยขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม การมีที่นอนและผ้าห่มอุ่นๆ นับเป็นเรื่องดี หลายวันมานี้มีผู้ประสบภัยจำนวนหนึ่งจับไข้เพราะลมหนาวแล้ว โชคยังดีที่มีทั้งยาและหมอจึงสามารถรักษาได้ทันเวลา

ตั๊กแตนเข้าสู่ระยะตัวอ่อนแล้ว หากไม่สามารถกำจัดตัวอ่อนได้ในช่วงนี้ เมื่อตั๊กแตนเข้าสู่ระยะวางไข่ในวัยเจริญพันธุ์ พวกมันก็จะกำจัดวัชพืช วางไข่ และขุดร่องเพื่อฝังตัวอ่อน

ผู้คนภายในกระโจมเงียบงันครู่ใหญ่ ความกังวลภายในใจหนักอึ้ง ในขณะนี้เองก็มีเสียงเป็ดดังขึ้นด้านนอก ผู้คนภายในกระโจมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพียงนึกว่าตัวเองหูฝาดไปเท่านั้น

ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเสียงเป็ดร้องก็ดังขึ้นอย่างอึกทึก ดังเสียจนปวดหู เซวียหย่วนเหลือบตาขึ้นกะทันหัน หลังจากสบตากับแม่ทัพเซวียแล้วก็หมุนตัวก้าวเท้ายาวๆ ออกไปข้างนอก

ม่านกระโจมถูกเลิกขึ้น เสียงร้องของเป็ดยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนเดินไปตามเสียงนั้น ทันทีที่เดินออกไปก็เห็นเป็ดดำเป็นแพหลายหมื่นตัว

เป็ดเหล่านี้ร้อง ‘ก้าบๆ’ ไม่หยุดพร้อมกับจิกกินตั๊กแตนข้างทางอย่างคล่องแคล่ว อย่างไรก็ตามเพราะพวกมันอ้วนเกินไป การเคลื่อนไหวของพวกมันจึงดูค่อนข้างงุ่มง่าม

เป็ดอ้วนๆ แตกต่างจากวัวและแกะทางชายแดนที่ผอมโซจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกอย่างสิ้นเชิง

ผู้คนจำนวนมากกลืนน้ำลาย แม้แต่เซวียหย่วนก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ จากแม่ทัพสองสามคนที่อยู่ข้างกายเขาได้อย่างชัดเจนเช่นกัน เป็ดเหล่านี้เรียงแถวซ้อนกันเป็นชั้นๆ แต่ละตัวมีขนาดประมาณน่องของคนและวิ่งมาทางนี้ราวกับระลอกคลื่น ผู้คุ้มกันกองทัพเป็ดหนึ่งแสนตัวนี้ตะโกนขึ้นอย่างร้อนรน “ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพเซวียอยู่ที่ใดขอรับ”

แม่ทัพหยางฮุ่ยที่อยู่ข้างกายเซวียหย่วนกระแอมกระไอด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “แม่ทัพเซวียอยู่นี่!”

ทหารและผู้ประสบภัยที่ขวางอยู่ข้างหน้ารีบหลีกทางให้ หนังตาของเซวียหย่วนกระตุกสองสามครั้ง จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าท่ามกลางสายตาคาดหวังล้ำลึกจากทุกคน

ผู้มาเยือนเห็นเขาแล้วก็ดวงตาเป็นประกาย เอ่ยเสียงสูง “ท่านแม่ทัพเซวีย หลังจากข้าน้อยได้รับคำสั่งแล้วก็มาส่งเป็ดหนึ่งแสนตัวทันที! ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อจึงสูญเสียเป็ดไปมากกว่าสองร้อยตัว เหลือเป็ดเพียงเก้าหมื่นเก้าพันเจ็ดร้อยกว่าตัวเท่านั้น ท่านแม่ทัพเซวียโปรดตรวจสอบด้วย!”

ฝูงชนที่อยู่เบื้องหลังฮือฮา

เป็ดหนึ่งแสนตัว! มะมีเป็ดหนึ่งแสนตัวจริงๆ!

เซวียหย่วนก็ตกตะลึงกับจำนวนนี้เช่นกัน เขาดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว ถามเข้าประเด็นว่า “เป็ดเหล่านี้กินตั๊กแตนมาตลอดทางเลยหรือ”

ผู้มาเยือนยิ้มสดใสกว่าเดิม “ใช่ขอรับ ตั๊กแตนข้างนอกถูกกินจนเกือบหมดแล้ว เป็ดแต่ละตัวก็ต่างกินจนพุงพลุ้ย หลังจากตั๊กแตนสองสามตัวสุดท้ายถูกกินหมด เป็ดเหล่านี้จะกลายเป็นอาหารบนโต๊ะของทหารทุกท่าน เพียงแต่หวังว่าพวกท่านจะไม่รังเกียจที่พวกมันกินตั๊กแตนเป็นพอ”

อาหารบนโต๊ะ

เซวียหย่วนเหลือบมองเป็ดเหล่านั้น ดวงตาฉายประกายสีเขียว เป็ดเหล่านี้มีขนมันวาว ดวงตาสุกใส ตั๊กแตนนับว่าเป็นอาหารชั้นเลิศของพวกมัน อย่างไรก็ดี เนื้อของเป็ดเหล่านี้คงเคี้ยวหนึบหนับยิ่งกว่าเดิมเนื่องจากการเดินทางไกล เป็นอาหารอันโอชะซึ่งหาได้ยากและเอร็ดอร่อยยิ่งสำหรับทหารอีกด้วย

ลูกกระเดือกของเซวียหย่วนกลิ้งไหวเล็กน้อย ผู้คนที่ได้ยินประโยคนี้ก็จับจ้องเป็ดด้วยความกระตือรือร้นเช่นกัน ไม่อาจละสายตาได้เลย

เสียงของเป็ดเกือบหนึ่งแสนตัวฟังดูไพเราะในบัดดล คนที่นำเป็ดมาส่งที่ชายแดนก็มีหลายพันคน เมื่อคนที่เป็นผู้นำได้เห็นการแสดงออกของเซวียหย่วนแล้วก็เอ่ยอย่างซื่อสัตย์และจริงใจ “หากท่านแม่ทัพต้องการจะลิ้มรส วันนี้จะเชือดเลยก็ได้นะขอรับ”

“ไม่รีบ” เซวียหย่วนเอ่ยอย่างเกรงใจ จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ “ให้เวลาพวกมันสักสองสามวันเพื่อกินตั๊กแตนที่ชายแดนให้หมดก่อน”

เป็ดเหล่านี้มาถึงได้ทันเวลาเหลือเกิน มันช่วยพวกเขาออมแรงจากการจับตั๊กแตนเพื่อเอาไข่ออกด้วยมือเปล่าอย่างสมบูรณ์ มุมปากของเซวียหย่วนยกขึ้นอย่างลับๆ มีความสุขมากถึงมากที่สุด

กู้หยวนไป๋ส่งเป็ดมายังชายแดนมากมายเพียงนี้ เพราะว่าคิดถึงข้าสินะ เช่นนั้นจึงต้องการช่วยร่นเวลาและให้ข้ากลับนครหลวงเร็วขึ้นเช่นนั้นหรือ

จู่ๆ แม่ทัพเซวียผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรก็หัวเราะเสียงอู้อี้สองครั้ง

เมื่อครู่เขายังคิดว่าจะจัดการกับตั๊กแตนวางไข่อย่างไรดี ผลปรากฏว่าเป็ดหนึ่งแสนตัวที่ส่งมาจากเบื้องหลังได้จัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว

ความบังเอิญที่เกิดขึ้นก่อนและหลังเช่นนี้ ทำให้เซวียหย่วนรู้สึกว่าเขากับฮ่องเต้มีความรู้สึกที่สื่อถึงกันได้

เซวียหย่วนเป็นเหมือนตอนที่ถูกนักพรตหลอกขายยันต์ให้ ในสมองพลันเริ่มคิดอย่างงมงายว่าบางทีจิตอาจจะสื่อถึงกันก็เป็นได้

ฮ่องเต้จะสามารถรับรู้ถึงสิ่งที่เขาคิดในวันปกติหรือไม่

หากเขารับรู้ได้ เช่นนั้นพวกเขาสองคนก็ร่วมรักกัน พัวพันด้วยความรักใคร่และหล่อรวมเป็นหนึ่งเดียวเนิ่นนานนับครั้งไม่ถ้วนแล้วไม่ใช่หรือ

 

เซวียหย่วนยังคงรักษาอารมณ์เบิกบานอยู่ตลอดเวลา

สถานการณ์ภัยพิบัติจากตั๊กแตนเริ่มคงตัว ภายนอกก็ไร้ซึ่งศัตรูที่คอยจับตามอง ในเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งความสงบที่ยากจะพบพาน เมื่อมีเวลาว่างเซวียจิ่วเหยาก็จะนึกถึงกู้หยวนไป๋ ทันทีที่คิดถึงบุคคลนี้ก็เหมือนกับดื่มสุราไปแปดจอก ความคิดล่องลอย ร้อนรุ่มจนนอนไม่หลับทุกค่ำคืน ตอนเช้าก็ยังมีหอกยาวปืนใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่า

เซวียหย่วนซักกางเกงมาครึ่งเดือนแล้ว มีกางเกงปลิวตามลมหน้ากระโจมทุกวัน ทันทีที่แม่ทัพกับทหารเดินผ่านเห็นเข้าก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เริ่มแรกพวกเขาต่างเอ่ยเย้าไม่หยุด ต่อมากลับกลายเป็นการพลิกลิ้นชื่นชม

แม่ทัพหยางฮุ่ยที่สนิทสนมกับเซวียหย่วนตั้งใจวิ่งเข้ามาเตือนสติด้วยความหวังดี “เซวียหย่วน เจ้าอย่าคิดว่าร่างกายยังหนุ่มยังแน่นแล้วทำตามอำเภอใจเช่นนี้ เจ้าซักกางเกงมาครึ่งเดือนแล้วสินะ ธาตุไฟพลุ่งพล่านเพียงนี้เชียว!”

เซวียหย่วนนอนรับแสงแดดอย่างเกียจคร้าน ได้ยินดังนี้ก็อ้าปากเอ่ยว่า “อย่าบังแดดข้า”

แม่ทัพหยางฮุ่ยย้ายเก้าอี้มานั่งข้างๆ มองดูเชลยชี่ตันที่ตัดฟืนอยู่ไม่ไกล เอ่ยวาจาจริงใจและสัตย์ซื่อว่า “ข้าเคยอยู่ที่นี่มาก่อน รู้ว่าในกองทัพที่เดินทัพและต่อสู้ล้วนมีแต่บุรุษ แม้เห็นแม่หมูตัวเดียว การอดกลั้นก็เป็นสิ่งที่ควร แต่ว่าเจ้าก็ทำเกินไปหน่อย ไหนว่ามาซิ เจ้ามีคนที่ชอบในใจแล้วใช่หรือไม่”

หลายวันมานี้เซวียหย่วนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับสิ่งที่เรียกว่า ‘จิตใจสื่อถึงกัน’ ทว่าทันทีที่เขาคิดว่าหากเรื่องนี้เป็นความจริง หากขณะที่เขาคิดถึงกู้หยวนไป๋แล้วกู้หยวนไป๋ก็รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่เล่า ครั้นคิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้ เซวียหย่วนก็รู้สึกห้ามใจไม่ไหวเล็กน้อย

เขาฝันเปียกติดต่อกันหลายวันแล้ว ฮ่องเต้น้อยจะเห็นว่าเขาฝันเปียกหรือไม่ จากนั้นจะหน้าแดงและหัวใจเต้นรัว แล้วใบหน้าแสนเย็นชานั้นจะละอายบ้างหรือไม่

ละอายหรือ กู้หยวนไป๋คงจะไม่ละอายหรอก ท่าทางที่เขายกขาขึ้นเหยียบน้องชายของเซวียหย่วน หางตาที่ยกขึ้นและริมฝีปากโหดเหี้ยมที่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เพียงแค่คิด เซวียหย่วนก็แข็งขึงแล้ว

“มี” น้ำเสียงเซวียหย่วนเกียจคร้าน

ดวงตาของแม่ทัพหยางฮุ่ยเป็นประกาย อยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างยิ่ง “คนผู้นั้นเป็นใครถึงสามารถทำให้คนเยี่ยงเซวียจิ่วเหยาลุ่มหลงจนหัวปักหัวปำและไม่รู้อะไรเลยได้เพียงนี้ ท่านแม่ทัพเซวียรู้หรือไม่ ฮูหยินเซวียรู้หรือไม่”

“อะไรที่เรียกว่าข้าลุ่มหลงหัวปักหัวปำ” เซวียหย่วนยกเท้าขึ้นเตะเก้าอี้ที่อยู่ข้างเท้าอย่างไม่ยอมรับ “จุดใดที่เจ้าดูออกว่าข้าลุ่มหลงจนหัวปักหัวปำ”

ผู้ที่แอบรักคนอื่นมักจะมีอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้เสมอหรือไม่ แม่ทัพหยางฮุ่ยสงสัย “การที่เจ้าต้องลุกขึ้นมาซักกางเกงทุกเช้า ยังไม่เรียกว่าลุ่มหลงจนหัวปักหัวปำอีกหรือ”

“คนหนุ่มมีกำลัง ธาตุไฟรุนแรง” สีหน้าของเซวียหย่วนนิ่งเฉย “ช่วงนี้กลางคืนอากาศก็ร้อนขึ้นเล็กน้อย”

บัดนี้เข้าเดือนสิบเอ็ดและลมหนาวของชายแดนตอนเหนือก็พัดเข้ามาแล้ว คนอื่นหนาวเหน็บจนตัวสั่น ทว่าเขากลับบอกว่าร้อน

น่าเสียดายที่แม่ทัพหยางฮุ่ยพลิกลิ้นไม่เก่ง ทั้งที่รู้ว่าเขากำลังพูดจาเหลวไหลแต่กลับไม่รู้ว่าควรเปิดโปงอีกฝ่ายอย่างไร ขณะที่กำลังร้อนใจจนเหงื่อท่วมศีรษะอยู่นั้น ก็มีทหารน้อยวิ่งเข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ ราชสำนักให้คนส่งของมาอีกแล้วขอรับ!”

แม่ทัพหยางฮุ่ยตกตะลึง มีลมสายหนึ่งวูบผ่าน เซวียหย่วนก้าวเท้าฉับๆ ผ่านหน้าเขาไปแล้ว

 

ช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ชายแดน ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือราษฎรผู้ประสบภัยก็ต่างรับรู้ถึงความรักความห่วงใยที่ราชสำนักมีต่อพวกเขา

หลังจากได้รับเสบียงอาหารกองเท่าภูเขาแล้วก็ได้รับเป็ดอีกจำนวนหนึ่งแสนตัว เป็ดนั้นโอชะเป็นอย่างยิ่งและทำให้ผู้ประสบภัยพลอยได้กินเนื้อเช่นกัน ทันทีที่กัดลงไปก็รู้สึกว่าเนื้อเป็ดแน่นจนมันเยิ้ม เอร็ดอร่อยจนทำให้แทบจะสามารถกลืนกินลิ้นลงไปได้ด้วยซ้ำ

เนื้อเป็ดที่เอร็ดอร่อยเช่นนี้ยังหากินได้ยากก่อนการระบาดของตั๊กแตนด้วยซ้ำ ทันทีที่เนื้อเป็ดเข้าปาก ความอร่อยและเนื้อที่เคี้ยวหนุบหนับนั้น ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าความยากลำบากในหลายวันนี้ถูกขับไล่ออกไปจนหมดสิ้น

แม่ทัพอาวุโสเซวียก็ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ว่าอย่างไรเป็ดเกือบหนึ่งแสนตัวก็สามารถทำให้ทุกคนได้กินอย่างทั่วถึง เมื่อเนื้อเป็ดถูกนำขึ้นโต๊ะ อย่าว่าแต่ชาวบ้านเลย แม่ทัพแต่ละคนก็ต่างเป็นเหมือนกับพายุหมุน ใช้ตะเกียบจัดการเนื้อบนจาน จานแล้วจานเล่าภายในพริบตาราวกับกำลังออกรบ

ในช่วงสองสามวันนี้ ชายแดนต่างรื่นเริงและมีความสุขอย่างมาก ขนเป็ดก็มีประโยชน์มากเช่นกัน พวกมันถูกถอนมาทำเสื้อผ้าและเครื่องนอนสำหรับฤดูหนาว แม้ว่าวันเวลาต่อจากนี้จะลำบากเพียงใด ในใจของราษฎรก็ต่างคิดว่าจะเทียบเท่าอาหารที่ราชสำนักมอบให้กับเนื้อที่พวกเขากินเข้าไปเหล่านั้นได้อย่างไร

พวกเขาพร้อมเผชิญกับฤดูหนาวอันหนาวเหน็บและพร้อมต่อสู้อย่างหนักภายใต้สภาวะที่เลวร้ายที่สุด แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งที่ราชสำนักมอบให้ยังไม่หมดเพียงเท่านี้

ความกังวลของพวกเขาก็คือความกังวลของราชสำนัก และราชสำนักก็ได้แก้ปัญหาเรียบร้อยแล้ว

เกวียนบรรทุกของยาวเฟื้อยเรียงรายอยู่บนพื้นที่ว่างเปล่า เหล่าทหารรายล้อมสองข้างทาง อยากรู้อยากเห็นว่ามีสิ่งใดอยู่ในเกวียน

“เป็นธัญพืชกับเนื้อหรือ”

“พวกเรามีธัญพืชมากพอแล้ว ทั้งยังมีเป็ด วัว และแกะจากชนเผ่าเร่ร่อนอีก” คนอื่นแย้ง

ยังคงมีคนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล “เหตุใดราชสำนักถึงได้ส่งข้าวของให้พวกเราตลอดเวลาเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า นี่คงไม่ได้เจียดมาจากการกินน้อยใช้น้อยของราชสำนักกระมัง”

เสียงซุบซิบดังมาจากด้านหลังไม่หยุดหย่อน เสียงสนทนาเซ็งแซ่ขึ้นเรื่อยๆ บัดนี้แม่ทัพเซวียที่อยู่เบื้องหน้าเดินออกมารับหน้าพร้อมแม่ทัพคนอื่นๆ แล้ว ทั้งยังมีความสงสัยเขียนอยู่เต็มใบหน้า อยากรู้ว่ามันคือสิ่งใด

เจ้าหน้าที่ผู้คุ้มกันขบวนทหารมีความสัมพันธ์อันดีกับแม่ทัพอาวุโสเซวีย เขาลูบเคราอย่างมีความหมายและยิ้มเอ่ยว่า “หากท่านแม่ทัพเดาไม่ออก เช่นนั้นก็ให้คนขนของเหล่านี้ลงไปสำรวจให้เต็มตาดีหรือไม่”

แม้แม่ทัพอาวุโสเซวียไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่เขารู้ว่าจะต้องเป็นของดีที่มีประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างแน่นอน ริมฝีปากของแม่ทัพอาวุโสขยับขึ้นลงสองสามครั้ง จากนั้นก็เอ่ยอย่างรู้สึกผิดและตื้นตัน “กระหม่อมละอายใจนักที่ทำให้ฝ่าบาทเป็นกังวลเพียงนี้”

ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา สีหน้าของแม่ทัพทุกคนก็ดูละอายเล็กน้อย

พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฮ่องเต้จะปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนี้ โดยการใช้เงินและทรัพยากรจำนวนมากในการขนส่งสิ่งของมายังชายแดนครั้งแล้วครั้งเล่า

เดิมทีคิดว่าเสบียงจำนวนมหาศาลที่เซวียหย่วนนำมาก็คือขีดจำกัดที่ราชสำนักสามารถจัดหาให้ได้แล้ว ทว่าในเวลานี้พวกเขาเพิ่งจะรับรู้ว่าความรักและความไว้วางใจที่ราชสำนักมีต่อพวกเขามันมากกว่านั้นมาก

แล้วจะไม่ให้รู้สึกละอายได้อย่างไร จะไม่ให้ตื้นตันได้อย่างไร

เจ้าหน้าที่ปลอบโยนพวกเขาว่า “เหตุใดแม่ทัพทุกท่านต้องละอายใจด้วยเล่า พวกท่านปกป้องชายแดนต้าเหิงของพวกเราให้สงบสุข ยอมสละชีวิตเพื่อราษฎรต้าเหิง การที่ต้าเหิงมีเจริญรุ่งเรืองและอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ล้วนต้องพึ่งพาท่านแม่ทัพทุกท่าน”

พูดไปเขาก็พลางคำนับต่ำ “ควรจะเป็นพวกข้าที่ละอายใจมากกว่า”

เมื่อเซวียหย่วนมาถึงก็เห็นพวกเขากำลังกล่าววาจาเกรงใจต่อกันเช่นนี้อยู่ เขาฟังอยู่ไม่กี่ประโยคก็หมดความอดทน ให้ทหารเข้าไปขนของลงจากเกวียนทันทีเพื่อดูว่าฮ่องเต้ส่งอะไรมากันแน่

เมื่อเห็นเขาเช่นนี้ ผู้ที่กล่าววาจาเกรงใจสองสามประโยคก็หยุดพูดและมองเข้าไปภายในเกวียนพร้อมกันอย่างใจจดใจจ่อ ผ่านไปไม่นาน สิ่งที่อยู่ข้างในก็ปรากฏออกมา ไม่รู้ว่าใครในฝูงชนตะโกนขึ้นด้วยความประหลาดใจอย่างกะทันหัน “นั่นคือเสื้อกันหนาวจริงๆ หรือ!”

ทันใดนั้นเหล่าทหารก็ฮือฮากันยกใหญ่ แย่งกันโผล่ศีรษะออกไปดูด้วยกลัวว่าจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง “อะไรนะ เสื้อกันหนาว?”

“ราชสำนักส่งเสื้อกันหนาวให้พวกเราหรือ”

ท่ามกลางกลุ่มคนแม่ทัพอาวุโสเซวียได้เลือกทหารออกมาห้านายสั่งให้พวกเขาก้าวไปข้างหน้า เพื่อให้พวกเขาเปลี่ยนเสื้อกันหนาวทันที เมื่อเสื้อกันหนาวตัวใหม่ถูกสวมใส่บนตัว ความอบอุ่นและความรู้สึกอ่อนนุ่มก็เข้าถาโถม เหล่าทหารฝังหน้าลงกับเสื้อกันหนาว ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็รู้สึกว่าทั้งตัวร้อนจนเหงื่อซึม

แม่ทัพอาวุโสเห็นท่าทางของพวกเขาเช่นนี้ก็ประหลาดใจ “เสื้อกันหนาวเห็นผลเร็วทันตาเพียงนี้เชียวหรือ”

ทหารห้านายแย่งกันพูด “ท่านแม่ทัพ เสื้อกันหนาวนี้อบอุ่นเป็นพิเศษ ทั้งยังเบามากด้วย พวกเราเหงื่อออกทั้งตัวแล้ว”

แม่ทัพเซวียเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หยิบเสื้อกันหนาวตัวหนึ่งมาสวมใส่ด้วยตัวเอง ผ่านไปครู่หนึ่งความตกตะลึงก็วูบผ่านใบหน้าของเขา จากนั้นก็กลายเป็นความยินดี

แม่ทัพที่เหลือข่มความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่อยู่จึงลองสวมเช่นกัน กล่าวด้วยความประหลาดใจเหลือล้น “เหตุใดเสื้อกันหนาวนี้ถึงได้เบานัก!”

เจ้าหน้าที่อมยิ้มไม่พูดจา รอจนพวกเขาถามแล้วจึงอธิบายเหตุผลอย่างละเอียด

หลังจากบรรดาแม่ทัพทราบเหตุผลแล้วก็อดที่จะส่งเสียงประหลาดใจมิได้ รีบวิ่งเข้าไปเตรียมแจกจ่ายเสื้อบุนวมทันที

เพราะเจ้าหน้าที่กับแม่ทัพอาวุโสเซวียไม่ได้เจอกันนาน ทั้งสองคนจึงรั้งท้ายและพูดคุยกันช้าๆ แม่ทัพเซวียได้สั่งให้คนเตรียมอาหารและสุราแล้ว พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปในกระโจมทหาร เซวียหย่วนต้องการฉวยโอกาสนี้ถามข่าวคราวในนครหลวงจึงตามเข้าไปด้วย

หลังจากนั่งลงและสุราพร่องไปครึ่งหนึ่งแล้ว จู่ๆ เจ้าหน้าที่ที่มาจากนครหลวงก็หัวเราะ ก้มหน้าแล้วเอ่ยอย่างลึกลับ “แม่ทัพเซวีย ท่านห่างจากนครหลวงมานานจึงไม่รู้ว่าต่อจากนี้น่าจะเกิดเรื่องใหญ่ในนครหลวงแล้ว”

แม่ทัพอาวุโสเซวียถาม “อ๋อ เรื่องใดหรือ”

เซวียหย่วนกำลังคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งขึ้นมาพอดี

เจ้าหน้าที่ยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทพบรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง บัดนี้ได้เตรียมรับหญิงสาวผู้นี้เข้าวังเป็นสนมแล้ว”

มือของเซวียหย่วนหยุดชะงัก

เป็นไปไม่ได้

เซวียหย่วนเย้ยหยันอย่างสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่เขาไม่เชื่อ ทั้งยังรู้สึกขบขันในใจ เขาต้องการที่จะกินต่ออย่างใจเย็นทว่ากลับไม่สามารถขยับมือได้เลย

แม่ทัพอาวุโสเซวียที่อยู่ข้างๆ ปรบมือร้องว่า “เยี่ยม” พลางหัวเราะเสียงดัง ซักถามรายละเอียดอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นพูดดูเหมือนเป็นความจริง เขาจะกล้าสร้างข่าวลวงในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้หรือ

เช่นนั้นหากมันไม่ใช่ข่าวลวงเล่า

เนื้อเป็ดยังมีน้ำสีน้ำผึ้งเกาะอยู่ ทว่าน้ำนี้ร่วงลงจากเนื้ออย่างรวดเร็วเพราะมือของคนที่คีบตะเกียบกำลังสั่นเทา

เซวียหย่วนโยนตะเกียบทิ้ง ก้าวเท้ายาวๆ ออกจากกระโจม

ท้องฟ้าเต็มไปด้วยทรายสีเหลือง ลมหนาวหอบเม็ดทรายพัดปะทะใบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นไอเย็นก็แพร่กระจายจากปอดไปยังแขนขา

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กลับเข้าไปในกระโจม เอ่ยถาม “ฝ่าบาทจะรับสนมหรือ”

น้ำเสียงสากแห้ง

เจ้าหน้าที่นครหลวงเอ่ย “…อันที่จริง ฝ่าบาท…รับสนมเข้าวัง…ฉินเส้อสอดประสาน”

เซวียหย่วนคล้ายกำลังรับฟังอย่างตั้งใจ ทว่าคำพูดที่ลอยเข้าหูกลับขาดๆ หายๆ ประเดี๋ยวใกล้ประเดี๋ยวไกล

ผ่านไปเนิ่นนาน หลังจากไม่มีใครในกระโจมพูดอะไร เมื่อเสียงที่แม่ทัพเซวียเรียกเซวียหย่วนแปรเปลี่ยนจากโมโหเป็นกังวล เซวียหย่วนจึงออกจากภวังค์แล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว”

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com