ทดลองอ่าน ศาลคนกระดาษ บทที่ 4 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ศาลคนกระดาษ บทที่ 4 #นิยายวาย

บทที่ 4

ความปรารถนาที่ไม่มีวันสิ้นสุด

ขณะที่กู้ไหวเจินกำลังจอดรถ ก็เห็นว่าสองพี่น้องหลัวรออยู่แล้วที่หน้าประตูบ้าน

“โย่วหล่าง” กู้ไหวเจินทัก เดินไปหาพวกเขา หลัวโย่วหล่างส่งยิ้มมา วางมือลงบนบ่าน้องสาวแล้วเอ่ยเชิงปลอบใจ

“เอาล่ะ พี่กู้ของเธอมาแล้ว พี่จะเข้าไปหาไหวจิ่นกับเธอ ทำความเคารพเสร็จแล้วก็บอกไหวจิ่นด้วยล่ะว่าเราก็คิดถึงเธอเหมือนกัน ให้เธอไปดี ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ”

ดวงตาของหลัวโย่วหลินบวมช้ำ เธอจับแขนพี่ชายไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ก้มศีรษะอยู่นานกว่าจะพยักหน้ารับ

กู้ไหวเจินก้าวมายืนที่ด้านหน้าของหลัวโย่วหลิน แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “โย่วหลิน ขอบใจมากนะที่มาหาไหวจิ่น ถ้าเธอรู้ต้องดีใจมากแน่ๆ”

หลัวโย่วหลินยกศีรษะขึ้นมองกู้ไหวเจิน แววตาของเธอไม่ใช่ความโศกเศร้า แต่เป็นความหวาดกลัว

กู้ไหวเจินอึ้ง แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร เหลือบเห็นหญิงสาวถือถุงกระดาษของกระเป๋าแอร์เมสอยู่ในมือ เขาขมวดคิ้ว นี่น้องสาวไปขอกระเป๋าจากหลัวโย่วหลินจริงๆ เหรอ

เขาเบนสายตาไปหาหลัวโย่วหล่าง ชายหนุ่มดูอับจนหนทาง เขาจึงอยากจะพูดอะไรสักหน่อย แต่เสี่ยวลี่ดันวิ่งออกมาเสียก่อน

“คุณนายบอกว่าจะให้แขกยืนอยู่ข้างนอกได้ยังไง ให้รีบเชิญเข้าไปค่ะ” เสี่ยวลี่ดึงประตูเปิดกว้างให้พวกเขาเข้าไป

กู้ไหวเจินจึงทำได้เพียงเรียกให้สองพี่น้องเข้าบ้านไปก่อน แม่เขายืนอยู่ด้านข้างห้องโถงไว้ทุกข์ พอเห็นหลัวโย่วหลินเข้ามาก็ยิ้มต้อนรับพลางเดินเข้าไปจับจูงแขนเธอ ก่อนมองดวงตาบวมแดงของหญิงสาว “เห็นหนูตาบวมแบบนี้แล้ว ไหวจิ่นรู้เข้าคงไม่สบายใจ”

ไม่ทันได้กล่าวจบเธอก็สะอื้นไห้ หลัวโย่วหลินก้มหน้า ไม่กล้ามองรูปบนแท่นไว้ทุกข์ ได้แต่ยื่นถุงกระดาษในมือส่งให้มารดาของกู้ไหวเจิน “คุณป้าคะ อันนี้หนูให้ไหวจิ่น”

น้ำตาของคุณแม่กู้ยังไม่ทันแห้ง เธอชะงักมองถุงกระดาษในมือ แค่แวบเดียวก็รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร “นี่ไม่ใช่ของขวัญวันเกิดของหนูเหรอจ๊ะ ของแพงๆ แบบนี้เอามาให้ไหวจิ่นได้ยังไง…”

“หนูไม่เอาแล้ว!” หลัวโย่วหลินถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมส่ายหน้า แต่รู้สึกได้ว่าคุณแม่กู้กำลังงุนงง เธอจึงพูดเสริมด้วยเสียงแผ่วเบา “ไหวจิ่นบอกว่าอยากได้ค่ะ…”

“แต่กระเป๋าใบนี้พี่ชายหนูรอตั้งครึ่งปีถึงซื้อมาได้นะจ๊ะ จะเอาของหนูมาได้ยังไงกัน ไหวจิ่น…ไม่อยู่แล้ว หนูมีใจคิดแบบนี้ป้าก็ดีใจ” คุณแม่กู้ยิ้มปลอบใจหญิงสาว ตั้งใจจะคืนถุงกระดาษให้เธอ

หลัวโย่วหลินกัดเม้มริมฝีปากล่าง ดึงชายเสื้อด้วยใบหน้าอับจนหนทาง เธอหันมาสบตากับกู้ไหวเจินเข้าพอดี น้ำตาก็ไหลเป็นทาง เธอบอกเขาปนสะอื้น “แต่…แต่ไหวจิ่นบอกว่าอยากได้…”

หลัวโย่วหล่างโอบบ่าน้องสาว ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมน้องงีบหลับไปพอตื่นขึ้นมาถึงกลายเป็นแบบนี้ เขาหันมองกู้ไหวเจินอย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนหันไปทางคุณแม่กู้ “คุณป้าครับ ไม่เป็นไรหรอก ถ้าไหวจิ่นชอบล่ะก็…”

ไม่รอให้จบประโยค กู้ไหวเจินก็ก้าวขึ้นมา รับถุงกระดาษที่คุณแม่กู้ถืออยู่เอาไว้ แล้วเหลือบมองหลัวโย่วหล่างเป็นทำนองว่าไม่ต้องพูดแล้ว เขาก้มมาหาหลัวโย่วหลิน ส่งยิ้มอ่อนโยนให้เธอและเอ่ยเสียงละมุน “โย่วหลิน ถึงจะเอาไปให้ไหวจิ่น เธอก็ใช้มันไม่ได้หรอก พวกเรายอมรับความปรารถนาดีของเธอ ถ้างั้นกระเป๋าใบนี้ให้ฉันยืมก่อนนะ ฉันจะเอาไปให้คนทำกระเป๋าแบบเดียวกันนี้ที่ไหวจิ่นใช้ได้ รอทำเสร็จแล้วฉันจะเอามาคืน แบบนี้ดีมั้ย”

หลัวโย่วหลินจ้องกู้ไหวเจินอยู่สักพัก เธอหันมองหน้าพี่ชายอย่างลังเลเล็กน้อย หลัวโย่วหล่างรีบตอบว่า “ได้สิ นายเอาไปเลย โย่วหลินไม่คิดว่าอันนี้ไหวจิ่นจะใช้ไม่ได้ เอาแต่พูดว่าไหวจิ่นชอบ”

ตอนนี้คุณแม่กู้ถึงได้เข้าใจ เมื่อวันก่อนกู้ไหวเจินกลับบ้านมาพร้อมกับมือถือกระดาษที่ทำออกมาได้สมจริงหนึ่งอัน พอเอาไปเผาพร้อมกับกระดาษทองก็ไม่เกิดเหตุการณ์อย่างกระถางธูปไหม้อีกเลย

“ใช่แล้ว ให้ป้ายืมกระเป๋าก็พอ พวกเราต้องซื้อของที่ไหวจิ่นสามารถใช้ได้ หนูไม่ต้องกังวลนะ อะไรที่ไหวจิ่นอยากได้ พวกเราก็หามาให้เธอทั้งนั้นล่ะ” คุณแม่กู้แย้มยิ้ม ยื่นมือมาลูบใบหน้าของหลัวโย่วหลิน “ไหวจิ่นดีกับหนูที่สุดแล้ว ถ้าหนูว่างก็มาหาเธอบ่อยๆ นะจ๊ะ”

ปกติหลัวโย่วหลินก็รู้สึกว่าคุณแม่กู้เป็นคุณป้าผู้อ่อนหวานและสวยสง่า คอยให้ความรักความเอาใจใส่กู้ไหวจิ่นราวไข่มุกล้ำค่า เธอยังเคยอิจฉาอยู่บ่อยๆ ว่าถ้าแม่ตัวเองตามใจเธอทุกอย่างแบบนี้บ้างก็คงดี ไม่ใช่วันๆ คอยแต่ดูว่าเธอใส่เสื้อผ้าอะไร กินอะไร อ่านหนังสือหรือยัง ทว่ามือของคุณแม่กู้ที่จับใบหน้าเธออยู่ตอนนี้กลับเย็นเฉียบ ชวนให้ขนลุกหวาดหวั่น เธอได้แต่พยักหน้าทื่อๆ พูดอะไรไม่ออก

หลัวโย่วหล่างเห็นท่าทางหวาดกลัวของน้องสาวแล้วได้แต่หัวเราะเฝื่อนๆ ตอบคุณแม่กู้ “คุณป้าครับ พวกเราคำนับเสร็จก็จะกลับกันแล้ว เดี๋ยวโย่วหลินต้องไปโรงพยาบาลต่อ หมู่นี้น้องโลหิตจางแล้วก็เวียนหัว แม่เลยให้ผมพาไปตรวจดูหน่อย”

“อย่าเครียดนักสิ” คุณแม่กู้อังหน้าผากเธออย่างกังวล “หนูต้องเหนื่อยเกินไปแน่ๆ เลย แถมยังร้องไห้หนักขนาดนี้ ไหวจิ่นต้องเป็นห่วงหนูมากแน่จ้ะ ป้าจะช่วยจุดธูปนะ”

คุณแม่กู้เอ่ยพลางดึงมือหญิงสาวมายืนด้านหน้าแท่น ตั้งใจจะจุดธูปให้เอง หลัวโย่วหล่างเห็นน้องสาวทำท่าจะร้องไห้อีกแต่ไม่กล้าถอยหลังออกมาก็ปวดใจ จึงเดินมาด้านหน้า หยุดตรงกลางระหว่างหลัวโย่วหลินกับคุณแม่กู้พลางรับธูปในมือคุณแม่ “คุณป้าครับ ผมทำดีกว่า ไหวจิ่นก็เหมือนน้องสาวผมคนหนึ่ง ผมปฏิบัติต่อเธอเหมือนที่ไหวเจินปฏิบัติต่อโย่วหลินแหละครับ”

กู้ไหวเจินเองก็ขยับขึ้นมา “จริงครับ แม่ ให้โย่วหล่างทำเถอะ”

“ก็ได้ๆ” ต่อหน้าคนอื่นคุณแม่กู้จะไว้หน้ากู้ไหวเจินเสมอ ยอมถอยหลังไปสองก้าวอย่างง่ายดาย หลีกทางให้หลัวโย่วหล่างจุดธูป กู้ไหวเจินยืนข้างๆ หลัวโย่วหลิน หันหลังให้กับคุณแม่กู้ มือข้างหนึ่งคอยลูบไหล่หญิงสาวเพื่อปลอบโยน มือหนึ่งแอบหยิบยันต์สีเหลืองแผ่นเก่าออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วใส่ในมือหลัวโย่วหลิน

หลัวโย่วหลินก้มลงมองสิ่งของในมือ ก่อนเงยหน้ามองกู้ไหวเจินอย่างตื่นตกใจ แต่พอเห็นสีหน้าเข้าใจกึ่งขอโทษของเขาแล้วน้ำตาก็แทบจะไหลอีกครั้ง รีบเอายันต์ใส่เข้ากระเป๋าตนเอง ไม่รู้ว่าเป็นปฏิกิริยาทางใจหรือเปล่า เมื่อเธอรับยันต์แผ่นนั้นมาแล้วอยู่ดีๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมาก

หลัวโย่วหล่างจุดธูปเรียบร้อยก็หันมาส่งให้หลัวโย่วหลินหนึ่งดอก สองพี่น้องยืนข้างกัน ทำความเคารพกู้ไหวจิ่น หลัวโย่วหลินยืนก้มหน้าตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เอ่ยคำใดแม้สักนิด เมื่อไหว้เสร็จก็ส่งธูปให้หลัวโย่วหล่างเอาไปปัก

ปักธูปแล้วหลัวโย่วหล่างก็หันมาทำความเคารพที่แท่นไว้ทุกข์อีกหนึ่งครั้ง ก่อนหันไปบอกลาคุณแม่กู้ “คุณป้า พวกเราขอตัวก่อนนะครับ คุณป้ารักษาสุขภาพดีๆ ไว้คราวหน้าผมจะพาโย่วหลินมาเยี่ยมใหม่”

“จ้ะๆ โย่วหลินก็ดูแลตัวเอง อย่าเศร้าไปเลยนะ ไหวจิ่นไม่อยากให้หนูเสียใจหรอกจ้ะ” คุณแม่กู้ยิ้มพลางเอื้อมมือมาลูบผมหน้าม้า หลัวโย่วหลินบังคับตัวเองให้ส่งยิ้มกลับไปให้อีกฝ่าย

กู้ไหวเจินให้สองพี่น้องกลับออกไปก่อนถึงค่อยหันมาพูดกับแม่ “เดี๋ยวผมไปส่งพวกโย่วหล่าง แล้วจะไปสั่งทำกระเป๋าให้ไหวจิ่น ถ้าแม่ไม่มีอะไร งั้นผมลานะครับ”

พอเห็นสองพี่น้องหลัวหันหลัง แม่ก็ไม่มีรอยยิ้มให้กู้ไหวเจินอีกต่อไป ทำเพียงพยักหน้ารับรู้อย่างเย็นชาเท่านั้น กู้ไหวเจินเองก็ไม่ได้ใส่ใจ หันไปกำชับกับเสี่ยวลี่ให้ดูแลแม่ดีๆ ทั้งเรื่องความเป็นอยู่และอาหารการกิน แล้วจึงกลับออกมา

หลังก้าวพ้นประตูบ้าน กู้ไหวเจินก็เร่งฝีเท้าตามสองพี่น้อง หลัวโย่วหลินขึ้นไปนั่งในรถเรียบร้อย แต่หลัวโย่วหล่างยังยืนรอเขาอยู่ที่ข้างรถ พอเห็นเขาเดินออกมาก็ส่งยิ้มเป็นเชิงขอโทษ “ไหวเจิน ขอโทษด้วย”

“เฮ้ย อย่าพูดอย่างนั้น…โย่วหลินฝันเห็นไหวจิ่นเหรอ” กู้ไหวเจินถามหยั่งเชิง

“ประมาณนั้น จริงๆ แล้วฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ” หลัวโย่วหล่างหันไปมองน้องสาวที่นั่งอยู่ในรถแล้วก้มหน้าลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“เมื่อกลางวันเธอนอนหลับบนโซฟาในห้องรับแขก อยู่ดีๆ เธอก็กรีดร้อง แม่ต้องปลุกเธอให้ตื่น เธอร้องไห้กอดแม่อยู่สองชั่วโมงกว่า เอาแต่พูดถึงไหวจิ่น…” หลัวโย่วหล่างเล่ามาครึ่งเรื่อง พอเหลือบมองกู้ไหวเจินแล้วก็หยุดพูดลงดื้อๆ

กู้ไหวเจินยิ้มขมขื่น น้องสาวตัวเองนิสัยยังไงทำไมจะไม่รู้ “ฝันเห็นไหวจิ่นมาขอกระเป๋าใบนั้น?”

“ใช่…ฉันว่ามันน่ากลัว แต่ก็เป็นแค่ความฝันไม่เห็นต้องใส่ใจ ทว่าโย่วหลินเอาแต่ร้องไห้ บอกว่าถ้าไม่เอากระเป๋าใบนั้นไปให้ เธอจะ…” แม้หลัวโย่วหล่างจะรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของสองพี่น้องบ้านนี้ไม่ดีเหมือนเขากับหลัวโย่วหลิน แต่ถึงอย่างไรพี่น้องก็คือพี่น้องอยู่ดี จะให้เขาพูดต่อหน้าพี่ชายไหวจิ่นว่าน้องสาวนายอย่างกับปีศาจมาหาน้องฉัน ถ้าไม่ให้กระเป๋าจะฆ่าให้ตายก็กระไรอยู่

กู้ไหวเจินถอนใจ แสดงสีหน้าขอโทษอีกฝ่าย พูดไม่ออกว่าน้องสาวฉันเอาแต่ใจ ขออภัยด้วย

หากกู้ไหวจิ่นยังมีชีวิตอยู่ เขาคงจะพูดอย่างนี้ได้ แต่นี่น้องเขาตายไปแล้ว แถมยังตามไปหลอกหลอนคนอื่นอีก ถ้อยคำเหล่านั้นไม่อาจใช้ได้จริงๆ

“งั้น…ถ้าโย่วหลินยังรู้สึกไม่ดีล่ะก็ พาเธอไปวัดสักหน่อยก็ไม่เลว จะได้ช่วยให้จิตใจสงบได้บ้าง” กู้ไหวเจินกล่าวนุ่มนวล

“อื้ม ฉันก็คิดว่าจะพาเธอไปวัดอยู่เหมือนกัน ช่วงนี้รอบๆ อารามหลวงเจิ้งหลงมีดอกไฮเดรนเยียบานเต็มไปหมด วิวดีทีเดียว” หลัวโย่วหล่างตอบด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ “นายจำซอมบี้ได้ใช่มั้ย อารามหลวงเจิ้งหลงเป็นของตระกูลเขา ตอนที่ได้คุยกันในงานเลี้ยงรุ่น เขาบอกว่าฤดูนี้ดอกไม้กำลังบานสวย ฉันจะพาโย่วหลินไปเดินเล่นพอดี”

“นายหมายถึงสือจิ้งเจ๋อ?” กู้ไหวเจินชะงัก เขาจำได้ว่าบ้านของสือจิ้งเจ๋อมีวัด แต่ไม่นึกว่าจะเป็นอารามหลวงเจิ้งหลงแห่งนั้น

“ใช่แล้ว! เขาชื่อสือจิ้งเจ๋อ นายจำชื่อเขาได้ด้วยเหรอเนี่ย” หลัวโย่วหล่างหัวเราะ “แต่ก็ไม่แปลก ตอนนั้นมีแค่นายกับสวี่หมิงรุ่ยที่ทำดีกับเขา”

“เขาใช้ได้เลยนะ ครั้งนี้เขายังให้คำแนะนำฉันเรื่องน้องด้วย” แม้กู้ไหวเจินจะเอ่ยยิ้มๆ แต่น้ำเสียงของเขากลับจริงจังหนักแน่น “ถ้าเจอเขาก็ฝากทักทายด้วยล่ะ”

ตอนแรกหลัวโย่วหล่างอยากจะตอบว่าวัดใหญ่ขนาดนั้นไม่แน่ว่าจะเจอสักหน่อย แต่พอเห็นสีหน้ากู้ไหวเจินแล้วก็พยักหน้ารับ “อืม ได้สิ ฉันจะโทรหาเขาก่อน อีกสักพักค่อยไปเจอกันที่วัด”

กู้ไหวเจินพยักหน้ารับอย่างโล่งอก แล้วอ้างถึงถุงกระดาษในมือ “ฉันขอยืมกระเป๋านี่สักสองสามวัน ถ้าสั่งทำเสร็จแล้ว ฉันจะเอาไปคืนให้โย่วหลิน”

“อืม ไม่ต้องรีบร้อน…” หลัวโย่วหล่างลังเล เอากระเป๋าไปสั่งทำที่ร้านขายของให้คนตาย ถ้าเอาคืนมาก็ดูไม่ค่อยเป็นมงคล

“วางใจน่า ร้านนั้นเป็นแค่หอศิลป์งานฝีมือจากกระดาษธรรมดาๆ ทั้งร้านมีแต่กลิ่นกระดาษ เถ้าแก่น่ะทำดอกไม้ได้เหมือนจริงมากๆ สวยสุดๆ ฉันเคยไปมาหนนึง สถานที่สะดวกสบาย ไม่ใช่แบบที่นายคิดหรอกนะ ไม่ต้องกังวล” กู้ไหวเจินหัวเราะ ตบไหล่เพื่อน

หลัวโย่วหล่างค่อยเบาใจ รู้สึกผิดเล็กๆ “ครั้งนี้ต้องรบกวนนายจริงๆ”

“อะไรกัน เห็นๆ อยู่ว่าน้องฉันเป็นตัวการ” พูดแล้วกู้ไหวเจินก็ถอนใจอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ความจริงพอรู้ข่าวการตายของกู้ไหวจิ่น เขาพลันรู้สึกโล่งอกอยู่วูบหนึ่ง แต่หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกผิดที่ตัวเองมีความรู้สึกที่น่ารังเกียจแบบนั้น ทว่าตอนนี้…กระทั่งตัวตายไปแล้วก็ยังสร้างปัญหาให้เขาได้ไม่หยุดหย่อน นี่น้องสาวสนุกกับการทรมานเขามากขนาดนี้เลยเหรอ

หลัวโย่วหล่างไม่รู้จะตอบอะไรดี เลยเงียบไปอึดใจก่อนพูดว่า “อย่าพูดงั้นเลยน่า โย่วหลินสนิทกับไหวจิ่น ฝัน…ถึงเธอมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”

กู้ไหวเจินฝืนยิ้ม คุยกับเพื่อนอีกนิดหน่อยถึงบอกลาแล้วส่งเพื่อนขึ้นรถ รถวิ่งออกไปได้นิดเดียวก็จอด หลัวโย่วหลินลดกระจกรถลง ยื่นศีรษะออกมาหากู้ไหวเจิน

“พี่กู้ อันนั้น…ขอบคุณนะคะ” ดวงตาของหลัวโย่วหลินยังคงแดงก่ำ แต่จิตใจดูมั่นคงขึ้นมาก

“ไม่ต้องเกรงใจ” กู้ไหวเจินส่งยิ้มบางๆ ให้เธอ “รอให้พี่ชายพาเธอไปอารามหลวงเจิ้งหลง จะได้เจอกับเพื่อนเก่าของฉันที่ชื่อสือจิ้งเจ๋อ ไปคุยกับเขาจะช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้น” กู้ไหวเจินนึกถึงรอยยิ้มแสนอ่อนโยนบนใบหน้ากลมๆ ของสือจิ้งเจ๋อ ถ้าเขาได้คุยกับหลัวโย่วหลิน คงช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้างสักนิด

“ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่” หลัวโย่วหลินฝืนยิ้มสุดความสามารถ โบกมืออำลาเขา

กู้ไหวเจินลูบศีรษะเธอเบาๆ ก้มลงพยักหน้าให้หลัวโย่วหล่าง จากนั้นเฝ้ามองจนรถของพวกเขาวิ่งออกไปถึงค่อยเดินไปขึ้นรถพร้อมถุงกระดาษในมือ เขาเอากระเป๋าใบนั้นออกมาพิจารณาแล้วใส่กลับลงไปในถุง ขนาดมือถือสือหมิงยังทำได้เลย กระเป๋าทรงนี้ก็ไม่น่ามีปัญหา

ดูเวลาตอนนี้เพิ่งจะบ่ายสามโมง เขาจำได้ สือจิ้งเจ๋อบอกว่าร้านของสือหมิงจะเปิดตอนห้าทุ่ม แต่สือหมิงดันให้เขากลับก่อนเวลาร้านเปิด ถ้าอย่างนั้นไปถึงร้านประมาณสี่ทุ่มน่าจะเหมาะ

กู้ไหวเจินครุ่นคิดสักพัก ตัดสินใจว่าจะแวะเข้าไปบริษัทก่อนค่อยตรงไปร้านของสือหมิงตอนกลางคืน อย่างน้อยได้หาอะไรทำในบริษัทเขาจะได้ไม่นอนหลับ ไม่ต้องฝันเห็นน้องอีก

กู้ไหวเจินขับรถลงเขา ตั้งใจระมัดระวังตรงทางลงเป็นพิเศษ คราวนี้ทุกอย่างราบรื่น ไม่มีเหตุการณ์เหนือความคาดหมายหรือเห็นน้องสาวปรากฏตัวข้างถนน

กู้ไหวเจินยิ้มฝืด บางทีเธออาจรู้ว่าคืนนี้เขาจะไปซื้อกระเป๋าให้มั้ง

เขาถอนหายใจ หวังว่ากระเป๋าใบนี้จะเป็นความต้องการสุดท้ายของน้องสาว เพราะเขาอาจจะทนกับ ‘ความต้องการน้อยๆ’ ของเธอต่อไปไม่ไหวแล้ว

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทที่ 5 ได้ในวันที่ 29 .. 64

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 125

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า หลายวันก่อนตอนรอเขากลับมา ซูเสวี่ยจื้อเคยมโนภาพหลายครั้งมากว่าคนทั้งคู่จะพบหน้ากันแบบไหน แต่เธอค...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-1

บทที่ 27-1 หวงปอรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานาน แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกไป๋ตันหย่งที่ยืนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของฮ่องเต้มาตั้งแต...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 126

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบหก สิบเก้านาฬิกาตรง เฮ่อฮั่นจู่ไปถึงคฤหาสน์สกุลเฉาตรงเวลา เฉาเจาหลี่ ลูกชายคนโตที่เกิดกับภรรยาหลวงขอ...

community.jamsai.com