ทดลองอ่าน ศาลคนกระดาษ บทที่ 2 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ศาลคนกระดาษ บทที่ 2 #นิยายวาย

บทที่ 2

เลขที่ 44 ถนนหมิงเติง

 

กู้ไหวเจินมองดูโปรแกรมนำทาง เมื่อแน่ใจว่ามาถูกที่แล้วจึงจอดรถ

แสงไฟสลัวริมทางสาดแสงไปยังป่าไผ่ที่ขึ้นเสียดสีกัน เวลาล่วงเลยเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว แม้ว่าอากาศจะยังไม่หนาวจัด แต่ก็รู้สึกเย็นอยู่ไม่น้อย ประกอบกับเสียงลมพัดลู่ใบไผ่ทำให้ดูมืดหม่น

กู้ไหวเจินไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่น แค่รู้สึกไม่แน่ใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า เขารู้ว่าตรงนี้มีพื้นที่รกร้าง แต่ไม่คิดว่าจะเป็นป่าไผ่กว้างขนาดนี้ ที่นี่ห่างจากใจกลางเมืองเพียงเล็กน้อย แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนหนีจากความวุ่นวายของเมืองมาอยู่ในป่า

กู้ไหวเจินก้มดูกระดาษในมือ ที่นี่เป็นซอยตัน สุดทางคือป่าไผ่ มองดูห้องแถวแบบเก่าที่ตั้งเรียงรายอยู่ในซอยแล้วพลันนึกไปถึงราคาห้องพักในละแวกใกล้เคียง ไม่รู้ว่าที่นี่รอดจากการปรับปรุงของรัฐบาลมาได้ยังไง

กู้ไหวเจินเดินไปจนถึงห้องแถวที่อยู่สุดซอยซึ่งเป็นตึกไม้สองชั้น บานประตูไม้แบบเก่าที่เคยเห็นในละครปิดเข้าหากันอย่างแน่นหนา โคมไฟดวงหนึ่งแขวนอยู่ใต้ชายคา เปลวเทียนอ่อนๆ สะท้อนป้ายบ้านเลขที่ แสดงที่อยู่ชัดเจน

บ้านเลขที่ 44 ถนนหมิงเติง

ถ้าไม่ใช่เพราะแผนที่อธิบายอย่างละเอียดแล้วล่ะก็กู้ไหวเจินคงไม่รู้ว่ามีซอยนี้อยู่ในเมือง

กู้ไหวเจินก้มศีรษะลองมองแสงไฟที่ลอดออกมาทางด้านล่างประตู เมื่อแน่ใจว่าที่นี่ไม่มีกริ่ง เขาจึงยกมือขึ้นเคาะประตู

เสียงที่เคาะลงบนประตูไม้นั้นเบาและทุ้มต่ำ กู้ไหวเจินรออยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่มีเสียงตอบรับ ดูเวลาใกล้จะสี่ทุ่มครึ่งแล้ว เขาเลยเคาะไปอีกสองสามครั้ง รออยู่ครึ่งนาทีเลยลองดันประตูดูนิดหนึ่ง

เขานึกถึงที่ซอมบี้บอกว่าถ้าประตูปิดอยู่ก็ให้ดันจนมันเปิด จึงผลักบานประตูดังปึงปังอย่างไม่เกรงใจ ดันอยู่สักพักถึงได้ยินเสียงคลิกดังขึ้น เขาก้าวถอยหลังเล็กน้อย ในที่สุดก็มีคนเดินมาเปิด

เสียงเปิดประตูดังแปลกๆ นอกจากเสียงเนื้อไม้เสียดสีกับพื้นแล้ว ยังมีเสียงฟันเฟืองบางอย่างหมุนดังคลิก คลิก คลิกอยู่หลายรอบ ในที่สุดประตูไม้บานหนักก็ถูกเปิดออก

แสงไฟสลัวสาดออกมาจากภายในห้อง ผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้า กำลังมองเขาอย่างสำรวจ กู้ไหวเจินสูงหนึ่งร้อยแปดสิบสองเซ็นต์ เขารู้สึกว่าตัวเองสูงกว่ามาตรฐานแล้ว แต่ชายตรงหน้าดูแล้วน่าจะสูงกว่าเขาอย่างน้อยสิบเซ็นต์ได้ ใบหน้านั้นเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก มองผ่านแสงไฟไปก็เจอกับดวงตาทอประกายอันไม่อาจคาดเดาได้ แค่เวลาเพียงแวบเดียวเขาก็รู้สึกถึงความกดดันที่ปะทะเข้ามา

กู้ไหวเจินชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วรีบแจกรอยยิ้มที่ได้มาตรฐานที่สุดของตัวเอง “ขอโทษทีครับ เพื่อนผมแนะนำให้มาที่นี่ ผมอยากจะซื้อ…ซื้อมือถือเครื่องหนึ่ง”

จริงๆ แล้วเขาอยากจะบอกด้วยซ้ำว่าจะซื้อมือถือที่น้องสาวสามารถใช้ได้ แต่คิดว่าถ้าเอ่ยออกไปอย่างนั้นมันดูไม่มีที่มาที่ไป แค่บอกจุดประสงค์หลักจะดีกว่า

อีกฝ่ายหน้าตาย เห็นเขาไม่เอ่ยอะไรมาครึ่งนาที กู้ไหวเจินก็รู้สึกเคอะเขินงุ่มง่าม ขณะที่กำลังคิดว่าจะอธิบายอะไรเพิ่มเติมหรือไม่นั้น ก็สังเกตเห็นว่าสายตาของชายคนนี้กำลังจ้องมองบางอย่างเหนือศีรษะเขา

กู้ไหวเจินเงยหน้าขึ้นมองตามโดยไม่รู้ตัว เห็นแต่โคมไฟเล็กที่เปลวเทียนไหม้จนใกล้จะมอดส่งเสียงดังพั่บๆ

ผู้ชายคนนี้จ้องมองโคมไฟเล็กอยู่สักพัก ในที่สุดใบหน้านิ่งเฉยนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบ้าง เขาขมวดคิ้ว โน้มตัวมาใกล้ กู้ไหวเจินรู้สึกว่าอีกฝ่ายเข้ามาชิดมากเกินไป จึงรีบถอยเท้าออกมาหนึ่งก้าว แต่ชายคนนี้เพียงแค่เงยหน้าขึ้นเป่าให้เทียนดับเท่านั้น

“มันจุดอยู่ตลอดเลยเหรอ”

เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น เนื้อเสียงเหมือนเสียงประตูไม้ที่เขาเคาะไปเมื่อครู่ กู้ไหวเจินหยุดค้าง ก่อนจะนึกได้ว่าชายคนนั้นกำลังถามเขา

“ตอนที่ผมมา มันก็จุดอยู่ก่อนแล้ว” กู้ไหวเจินเอียงคอนึก ความจริงตอนที่เขามองเห็นโคมไฟนั้น เปลวเทียนกำลังเผาไหม้พอดี

ชายคนนั้นมองค้างที่โคมไฟอีกสักพัก รอจนสายตานั้นหันกลับมามองที่เขา กู้ไหวเจินจึงรีบฉีกยิ้มที่คิดว่าจริงใจที่สุดให้อีกฝ่ายพลางอธิบายเพิ่มเติมว่า

“ต้องขอโทษที่มารบกวนกลางดึกนะครับ แต่พรุ่งนี้จะเป็นวันครบรอบวันตายเจ็ดวันของน้องสาว ผมรับปากไว้ว่าจะซื้อมือถือให้เธอ เพิ่งคุยกับเพื่อนว่าต้องมาซื้อกับคุณที่นี่ ก็เลยรีบมา”

ชายคนนั้นได้ยินดังนี้ก็หมุนตัวเดินเข้าไปในบ้าน

กู้ไหวเจินถอนหายใจ คิดว่าท่าทางแบบนี้คงหมายความว่าให้เขาเข้าไปได้ จึงรีบตามเข้าบ้านไป

ความรู้สึกเมื่อก้าวเท้าเข้าไปในบ้านนั้นเหมือนกับได้เข้าสู่โลกอีกใบหนึ่ง ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาคืออุ่น ภายในห้องไม่ชื้นและอบอุ่นมาก อบอวลด้วยกลิ่นแปลกๆ ของอะไรบางอย่าง คล้ายกลิ่นไม้ผสานกับกลิ่นหนังสือ เขาเงยหน้าขึ้นมอง ใต้ชายคามีโคมไฟน้ำมันแขวนอยู่ ส่องแสงสลัวสะท้อนไปทั่วห้อง

บริเวณด้านหน้าและฝั่งด้านขวาล้วนเป็นตู้ไม้ทั้งหมด ด้านหน้าเป็นลิ้นชักทรงยาวที่ดูคล้ายกับที่วางกระดาษของชมรมศิลปะ แต่ละตู้มีช่องวางของอย่างน้อยสี่สิบห้าสิบช่อง ส่วนตู้ด้านขวาเป็นตู้ที่มีลิ้นชักเล็กๆ ซ้อนกันเหมือนในร้านขายยา และยังมีอีกตู้ที่มีไหสีเข้มวางเรียงกันเต็มไปหมด

กู้ไหวเจินไม่ได้เดาว่าไหเหล่านั้นบรรจุอะไร หันศีรษะไปมองที่ด้านซ้ายและก็ต้องแปลกใจว่าตรงนั้นยังมีประตูไม้อีกบาน

มันเป็นประตูบานคู่ที่มีเนื้อไม้กว้าง ฝังด้วยทองเหลืองแผ่นกลม โดยมีฟันเฟืองไม้สามตัวเชื่อมต่อกันอยู่ด้านหลังอย่างสมบูรณ์แบบ

กู้ไหวเจินไม่เคยเห็นห้องใครมีประตูสองด้านมาก่อน เขาก็แค่รู้สึกว่ามันแปลกๆ เท่านั้น หันสายตามองที่กลางห้อง มีโต๊ะไม้ตั้งอยู่ตัวหนึ่ง ขนาดกว้างราวสองเมตร ลายไม้สีเข้มเรียบเนียน ตัดมุมอย่างประณีตทั้งสี่ด้าน บนโต๊ะมีกระดาษสีแดงเข้มชิ้นเล็กชิ้นน้อยวางอยู่ และพ่นสเปรย์สีทองลงบนกระดาษไว้ พออยู่ใต้แสงไฟแล้วดูสวยดึงดูดตา

กู้ไหวเจินรู้สึกว่ามันเหมือนห้องทำงานมากกว่าร้านค้าเสียอีก เขาเข้าใจทันที กลิ่นหนังสือเมื่อครู่ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ…กลิ่นของกระดาษ?

ผู้ชายคนนั้นเดินไปยังตู้ที่อยู่ตรงข้ามประตูบานใหญ่ ดึงลิ้นชักชั้นหนึ่งออกมา ก่อนจะเดินไปข้างหลังโต๊ะ

“หาเอาเอง”

“โอเค ขอบคุณ” กู้ไหวเจินรีบเดินเข้าไป ภายในลิ้นชักนั้นมีมือถือวางเรียงกันเป็นแถว มีครบทุกรุ่นทุกยี่ห้อ เขารีบควานหารุ่นที่ต้องการแล้วหยิบออกมาทันที หลังจากที่หยิบขึ้นมาถึงได้รู้ว่ามือถืออันนี้ทำมาจากกระดาษ

กู้ไหวเจินหยิบออกมาด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง กลัวว่าถ้าหยิบแรงมากไปจะทำให้มือถือกระดาษที่สมจริงอันนี้พังเอาได้ เมื่อพลิกด้านกลับมาดูก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมงานฝีมือนี้ในใจ

เขานึกอยากถามเถ้าแก่จึงหันหน้ากลับไป แต่ดันเจอเข้ากับเงาของคนคนหนึ่ง เขาสะดุ้งตกใจจนทำของในมือหล่น

ถอยหลังไปเล็กน้อยจึงได้พบว่าที่จริงมีบันไดขึ้นไปชั้นสอง ด้านหน้าบันไดมีคนยืนต่อแถวกันอยู่ ดวงตาขาวโพลนแต่ละคู่จ้องเขม็งไปข้างหน้า

กู้ไหวเจินตะลึงก่อนจะค่อยๆ คิดได้ว่ามันคือคนกระดาษ ผู้ชายคนนั้นเห็นสายตาของเขาเข้าก็เดินไปเลื่อนม่านมาบังคนกระดาษที่แสนประหลาดนั่นไว้

กู้ไหวเจินรู้ว่าปฏิกิริยาของเขาดูไม่ค่อยมีมารยาทนัก ที่นี่น่าจะเป็นร้านขายกระดาษ เพราะฉะนั้นต้องมีคนกระดาษอยู่แล้ว มิน่าน้องสาวถึงชอบมาเข้าฝันบอกว่ามือถือใช้ไม่ได้ จะให้ของใช้แก่คนตายต้องเป็นของที่ทำจากกระดาษงั้นสินะ? เขาไม่เคยนึกถึงจุดนี้มาก่อนเลย

กู้ไหวเจินสงบสติอารมณ์ หยิบมือถือกระดาษวางลงบนโต๊ะ “ผมเอาอันนี้”

ผู้ชายคนนั้นก้มหยิบกระดาษสีแดงเข้มบนโต๊ะขึ้นมา มือขวาถือกรรไกรที่ดูโบราณเล่มหนึ่ง

กู้ไหวเจินมองที่มือของอีกฝ่ายด้วยความสงสัย ด้ามจับโค้งมนของกรรไกรทำจากกระดองสลักลวดลาย ความยาวประมาณสิบเซ็นต์ เขาใช้นิ้วสามนิ้ววางลงบนกระดาษสีแดงเข้มนั้น คล้ายกับกำลังวาดรูป แล้วตัดกระดาษทรงหัวใจแปลกๆ ออกมาอย่างคล่องแคล่วงดงาม ก่อนกระดาษจะค่อยๆ ร่วงลงบนโต๊ะ คล้ายดอกไม้โรย

“ใครบอกให้คุณมาหาผม” เขาถามโดยไม่เงยหน้า สนใจเพียงแต่กระดาษที่ตัดในมือ

กู้ไหวเจินลังเลนิดหนึ่ง สายตายังคงจับจ้องที่การตัดกระดาษของอีกฝ่ายพลางส่งยิ้มจริงใจกลับไปให้ “เพื่อนสมัย ม.ปลาย น่ะ บ้านของเขาเปิดบริษัทออร์แกไนซ์ วันนี้ได้เจอกันที่งานเลี้ยงรุ่นพอดี”

ชายหนุ่มวางกรรไกรลง ยื่นมือหยิบเศษกระดาษบนโต๊ะมาวางที่มือ ใช้นิ้วโป้งกดและคลึง จากนั้นก็พลิกด้าน แต่ละแผ่นพับทบกัน ประกอบเป็นดอกโบตั๋นบนฝ่ามือ

กู้ไหวเจินจ้องมองอย่างตกตะลึง ผ่านไปพักใหญ่ถึงพูดขึ้น “นี่ขายมั้ยครับ”

ชายหนุ่มเงยขึ้นมามองเขาแวบเดียว ราวกับจะดูให้แน่ใจว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังถามถึงของในมือตน แล้วตอบช้าๆ ว่า “คนอื่นสั่งทำ”

“อ้อ ถ้างั้น…” กู้ไหวเจินกลืนคำว่าคราวหน้าจะมาซื้อใหม่กลับลงไป เขานึกอย่างประทับใจว่านี่ไม่ใช่ร้านขายงานฝีมือ แต่เป็นร้านขายกระดาษ

“งั้นผมซื้อมือถือก็พอครับ” กู้ไหวเจินส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม คิดว่าเขาน่าจะทำงานที่ข้องเกี่ยวกับซอมบี้ “คุณรู้จักเพื่อนผมมั้ย ที่เขามีฉายาว่าซอมบี้น่ะ”

“สองร้อย”

“ครับ?” กู้ไหวเจินชะงัก ก่อนฉุกคิดได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงมือถือกระดาษนี่ราคาสองร้อย เขารีบหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาพลางคิดว่างานศิลปะกระดาษประเภทนี้ควรขายชิ้นละสองพันเสียด้วยซ้ำ ไม่อยากให้ชายหนุ่มเห็นแก่ซอมบี้ เลยรีบเอ่ยปากว่า “ไม่ต้องลดราคาให้ผมนะครับ พูดแล้วก็รู้สึกไม่ดี ผมกับเพื่อนน่ะ หลังเรียนจบก็ไม่ได้เจอกันเลย แถมผมยังจำชื่อเขาไม่ได้อีก จำได้แค่ฉายา”

“เขาชื่อสือจิ้งเจ๋อ” ชายหนุ่มเพียงมองเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เงียบไปอึดใจก่อนพูดขึ้น “สองร้อย”

“อ้อ งั้น…ขอบคุณครับ” กู้ไหวเจินชะงักอีกครั้ง ไม่ทันนึกว่าชื่อนี้คุ้นหูหรือไม่ กลับพบว่าในกระเป๋าสตางค์มีแค่ธนบัตรใบละหนึ่งพันหยวน จึงหยิบส่งให้เขาหนึ่งใบ

ในที่สุดใบหน้าเรียบเฉยของชายหนุ่มก็ปรากฏความรู้สึกออกมาเล็กน้อยพลางตอบด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ผมไม่มีเงินทอน”

“อ้อ งั้นผมหาเศษก่อนนะ…” กู้ไหวเจินเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็ต้องกลืนคำว่าไม่ต้องทอนลงไป เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มไม่รับบัตรเครดิต นี่เป็นครั้งแรกที่การควักเงินจ่ายมันวุ่นวายไปหมด เขาจำได้ว่าตอนที่ออกจากบ้านพ่อแม่มายังแวะซื้อบุหรี่ที่ร้านขายของชำของคุณยายตรงตีนเขาอยู่เลย ในกระเป๋าน่าจะมีเศษเงินอยู่บ้าง

กู้ไหวเจินหยิบเหรียญทั้งหมดออกมา รวมแล้วได้หนึ่งร้อยสามสิบหกหยวน เขายิ้มแหยๆ พลางบอก “คุณรอแป๊บนึงนะครับ ผมจะไปแลกเงินแล้วกลับมา”

ชายหนุ่มยกศีรษะมองนาฬิกาบนผนัง อีกสิบนาทีจะห้าทุ่ม เขาส่ายหน้าและเอ่ยว่า “คุณต้องกลับก่อนห้าทุ่ม เอาเหรียญวางไว้ก็พอ”

เมื่อเห็นสีหน้าลังเลใจของกู้ไหวเจิน ชายหนุ่มก็จัดการหยิบมือถืออันนั้นใส่เข้าไปในซองกระดาษ แล้วหยิบกระดาษบางๆ สีเหลืองที่ขีดด้วยเส้นสีแดงออกมาจากลิ้นชัก พับสองสามทบเป็นทรงสามเหลี่ยมและใส่เข้าไปด้วยกันในซองกระดาษ “ผมไปคิดเงินกับสือจิ้งเจ๋อก็ได้ หรือถ้าคุณคิดมากก็เอาเงินไปบริจาคที่วัดของเขาแทนแล้วกัน”

เอ่ยมาถึงตรงนี้กู้ไหวเจินก็ไม่ได้ยืนกรานอะไรต่อ เพียงแต่วางเหรียญไว้บนโต๊ะ แล้วฉีกยิ้มเชิงขอโทษ “ขอบคุณครับ”

กู้ไหวเจินหยิบซองกระดาษขึ้นมา หมุนตัวตั้งท่าจะเดินออกจากร้าน เขาจำที่ชายหนุ่มบอกเอาไว้ได้ว่าต้องกลับก่อนห้าทุ่ม ขณะที่กำลังจะก้าวขาพ้นประตูนั้น อาจเป็นเพราะความเคยชินหรืออาจเพราะอยากรู้จักอีกฝ่าย เขาจึงหมุนกายกลับมาพร้อมหยิบนามบัตรจากกระเป๋าเสื้อส่งให้ชายหนุ่ม “ผมแซ่กู้ กู้ไหวเจิน”

ชายหนุ่มชะงักไปนิด ก่อนยื่นมือออกมารับพลางก้มมองนามบัตรในมือ เขาเงยหน้าขึ้นมองกู้ไหวเจินอยู่ชั่วขณะถึงค่อยเอ่ยตอบ “สือหมิง สือที่มาจากคำว่าก้อนหิน กับหมิงที่มาจากคำว่าจิบน้ำชา”

“พูดแบบนี้อาจจะฟังดูแปลกไปสักหน่อย แต่ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” กู้ไหวเจินหัวเราะ คงไม่มีใครเหมือนเขาหรอกมั้ง น้องสาวสุดที่รักตาย เขากลับมาทำความรู้จักกับเถ้าแก่ร้านขายกระดาษ ไม่รู้ทำไมตอนนี้เขาถึงรู้สึกมีความสุขมากเหลือเกิน

แม้ว่าสีหน้าของสือหมิงจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่มีความรู้สึกกดดันเหมือนก่อนหน้าแล้ว เขายื่นมือชี้ที่ซองกระดาษในมือของกู้ไหวเจิน “ยันต์สีเหลืองอย่าให้ไหม้ พกไว้ติดตัว”

กู้ไหวเจินคิดว่าเขาน่าจะหมายถึงกระดาษสามเหลี่ยมที่เพิ่งใส่เข้าไป เขาจึงล้วงเอายันต์ออกมาแล้วใส่ลงไปในกระเป๋าสตางค์แทน “ขอบคุณ”

เขายิ้มพลางโบกมือลาสือหมิง ถือซองกระดาษเดินไปยังรถที่จอดไว้ริมถนน ก่อนที่จะขึ้นรถเขาหันกลับไปมองอีกครั้ง เห็นเหมือนประตูไม้เพิ่งปิดลง ได้ยินเสียงคลิกของฟันเฟืองแม้อยู่ในระยะไกล

ทันใดนั้นกู้ไหวเจินก็นึกขึ้นมาได้ว่าซอมบี้กับสือหมิงแซ่ ‘สือ’ เหมือนกัน ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางธุรกิจก็อาจจะเป็นญาติกันก็ได้? คิดไปคิดมาก็หัวเราะ เก็บความสงสัยใคร่รู้ของตัวเองเอาไว้ ขณะไขกุญแจรถอยู่นั้นก็นึกได้ว่าอย่างน้อยๆ หลังจากคืนนี้เขาน่าจะไม่ฝันเห็นน้องสาวอีกแล้ว

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทที่ 3 ได้ในวันที่ 25 .. 64

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 125

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า หลายวันก่อนตอนรอเขากลับมา ซูเสวี่ยจื้อเคยมโนภาพหลายครั้งมากว่าคนทั้งคู่จะพบหน้ากันแบบไหน แต่เธอค...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-1

บทที่ 27-1 หวงปอรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานาน แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกไป๋ตันหย่งที่ยืนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของฮ่องเต้มาตั้งแต...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 126

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบหก สิบเก้านาฬิกาตรง เฮ่อฮั่นจู่ไปถึงคฤหาสน์สกุลเฉาตรงเวลา เฉาเจาหลี่ ลูกชายคนโตที่เกิดกับภรรยาหลวงขอ...

community.jamsai.com