ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 3 บทที่ 58 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 3 บทที่ 58 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 3

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่

แปลโดย : qMondae

ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม

มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 58 ฝัน (4)

จะมีคนที่ไม่รู้จักปรากฏตัวขึ้นในความฝัน?

หลินปั้นซย่าขบคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ “ก็อาจจะมีล่ะมั้ง?”

ซ่งชิงหลัวกล่าว “งั้นนายจำหน้าหรือชื่อเขาได้หรือเปล่า”

หลินปั้นซย่าชะงัก จริงๆ แล้วเขาฝันบ่อยมาก เพียงแต่ความฝันส่วนใหญ่ล้วนมีเนื้อหาสัมพันธ์กับโลกความเป็นจริง อย่างเช่นตอนที่กดดันมากก็มักจะฝันเห็นตัวเองกำลังสอบ ส่วนสถานการณ์ที่มีคนไม่รู้จักปรากฏขึ้นในความฝันแบบที่ซ่งชิงหลัวกล่าวมานั้นบางทีอาจจะเคยมี แต่ก็มองเห็นหน้าไม่ชัดเสียแทบจะทุกครั้ง นับประสาอะไรกับการจำชื่อได้…ด้วยเหตุนี้หลินปั้นซย่าจึงส่ายหน้า “จำไม่ได้”

ซ่งชิงหลัวร้องอ๋อ

หลินปั้นซย่าลังเลใจก่อนถามออกไป “คนที่ตายไปเมื่อวานนายรู้จักหรือเปล่า”

ซ่งชิงหลัวตอบว่า “ฉันไม่ควรรู้จัก”

คำตอบนี้ประหลาดมาก ปกติควรจะตอบว่ารู้จักหรือว่าไม่รู้จัก แต่อะไรคือไม่ควรรู้จักล่ะ ความฉงนงุนงงฉายออกมาทางสีหน้าหลินปั้นซย่าชัดเกินไป ซ่งชิงหลัวจึงอธิบายเสียงเรียบว่า “ในความเป็นจริงฉันไม่เคยไปคุยกับคนที่ฝันเห็นเลย ไม่สิ พูดให้ถูกคือฉันไม่รู้จักคนคนนั้นเลยสักนิด”

หลินปั้นซย่า “หา?”

ซ่งชิงหลัวเอ่ย “แต่พวกเราเคยเจอกันในฝัน แถมฉันยังเรียกชื่อเขาได้ด้วย”

หลินปั้นซย่าเหม่อทันที เขาคิดว่าซ่งชิงหลัวไม่ใช่คนที่ชอบล้อเล่นไปเรื่อย หรือจะบอกว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง “เดี๋ยวนะ คงไม่ใช่ว่าแม้แต่ฉินสวี่เองก็…”

“ถูกต้อง” ซ่งชิงหลัวยืนยันความสงสัยของหลินปั้นซย่า “ฉันเคยฝันถึงเขา”

หลินปั้นซย่าไม่รู้แล้วว่าควรพูดอะไรต่อ เรื่องนี้ช่างดูเพ้อเจ้อเหลือเกิน ในตอนที่เขากำลังใช้สมองคิด ซ่งชิงหลัวก็พูดต่อ “เมื่อกี้นายบอกฉันว่าเพราะนักเรียนคนนั้นร้องขอความช่วยเหลือ นายก็เลยพังประตูเข้าไปใช่มั้ย”

“ใช่ครับ”

“มีเรื่องหนึ่งที่ฉันต้องบอกนาย” ซ่งชิงหลัวกล่าว

“อะไรเหรอ”

“เวลาเสียชีวิตของเขาคือตอนบ่าย” ซ่งชิงหลัวพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ออกมาเนิบๆ “ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ตอนนั้นนายจะได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือ…นอกเสียจากว่า…”

หลินปั้นซย่าเอ่ยเสียงแหบแห้ง “นอกเสียจากว่าคนตายพูดได้”

“ใช่แล้ว” ซ่งชิงหลัวเอ่ย “นอกเสียจากว่าคนตายก็สามารถพูดได้”

นี่เป็นข้อสันนิษฐานที่เหลวไหลสุดประมาณ แต่หลินปั้นซย่าไม่ได้เพิ่งเจอกับเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก

ไม่กี่วันก่อนหน้านี้เขาเห็นฉินสวี่ร่างแหลกเละกับตาตัวเอง และเย็นวันเดียวกันนั้นเขาก็ยื่นมือรับโทรศัพท์มาจากมือของฉินสวี่เอง

หลินปั้นซย่ากลืนน้ำลาย รู้สึกว่าเรื่องราวชักจะเหนือขอบเขตจินตนาการของเขาไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะคิดวิเคราะห์อย่างไรก็เหมือนจะไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์เลย เมื่อตัดความเป็นไปได้อย่างอื่นทิ้งก็เหลือคำตอบเพียงหนึ่งเดียวคือ…วิญญาณมีอยู่จริง

คำพูดของซ่งชิงหลัวขัดจังหวะการวิเคราะห์ของหลินปั้นซย่า เขากล่าว “ต้องเข้าเรียนแล้ว กลับห้องก่อนเถอะ”

หลินปั้นซย่าถึงค่อยรู้สึกตัวและพบว่าตอนนี้ใกล้จะบ่ายสองโมงแล้ว เวลาที่เขาใช้ร่วมกับซ่งชิงหลัวคล้ายจะไหลผ่านไปไวเป็นพิเศษ ก่อนเขาจะรู้ตัวเวลาก็ล่วงเลยไปกว่าชั่วโมงโดยที่เขาเองก็ไม่ได้สังเกตเลย

“ตอนเย็นมากินข้าวด้วยกัน” ซ่งชิงหลัวกล่าว “ฉันจะรอนายอยู่ที่นี่”

หลินปั้นซย่าลังเล “แต่…”

ซ่งชิงหลัวพูดขัดเขา “หกโมงครึ่ง ไม่เจอไม่กลับ…อย่าให้ต้องไปตามที่ห้อง”

หลินปั้นซย่า “…”

“ไปเถอะ” ซ่งชิงหลัวโบกมือ

หลินปั้นซย่าหันหลังเดินออกไป กลับมาถึงห้องเรียนแล้วก็ยังใจลอยอยู่เล็กน้อย เขาหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าด้านนอกแจ่มใสเหมือนเมื่อวาน ฝนยามวสันตฤดูปกติแล้วควรจะตกพรำๆ ลงมาไม่ขาดสายดูอ่อนโยน แต่ฝนห่าใหญ่สองวันก่อนหน้านี้ทั้งฉุกละหุกทั้งไร้เยื่อใย ช่วงชิงชีวิตของคนสองคนไปอย่างฉับไวดั่งเสียงฟ้าร้องที่ดังขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

เสียงกริ่งเข้าเรียนอันแสบหูดังขึ้น หลินปั้นซย่ามองอาจารย์เดินขึ้นแท่นบรรยายแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาตั้งใจจะเริ่มการบรรยายหลักสูตร

เขาก้มหน้าแล้วก็เห็นสมุดการบ้านของตัวเอง ภาพตรงหน้าพลันบิดเบี้ยว จนกระทั่งเขาโฟกัสกลับมาได้อีกครั้ง ภาพเมื่อครู่นี้ก็ราวกับเป็นเพียงภาพหลอน

ช่วงมื้อเย็นเขาก็ใช้เวลาไปกับซ่งชิงหลัวเหมือนเดิม ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้มีการพูดคุยอะไรนัก แต่หลินปั้นซย่ากลับรู้สึกว่าตนกับเพื่อนร่วมชั้นชายที่ได้เจอกันเพียงไม่กี่ครั้งคนนี้ใจสื่อถึงกันมากๆ อย่างน่าประหลาด เขากินมื้อเย็นเสร็จก็ออกมาจากห้องสโมสร ระหว่างเดินผ่านบันไดชั้นห้าเขาก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ตามด้วยเสียงก่นด่าสาปแช่งเสียงแผ่วดังมาจากชั้นบน

หลินปั้นซย่าจำได้ว่าชั้นบนเป็นชั้นดาดฟ้า ปกติแล้วจะล็อกประตูไว้ หลินปั้นซย่าคิดในใจว่าเกิดเรื่องกับเพื่อนร่วมชั้นคนไหนอีกหรือเปล่าจึงขึ้นบันไดไป ทว่าเพิ่งขึ้นมาได้ครึ่งทางก็ตระหนักได้ว่ามีความไม่ชอบมาพากลเล็กน้อย เสียงนี้ทำไมยิ่งฟังก็ยิ่งคุ้นหู…เหมือนกับเสียงของหลี่ซู

ทำไมหลี่ซูถึงมาอยู่บนดาดฟ้าได้ หลินปั้นซย่าชะลอฝีเท้าด้วยความลังเลใจ ก่อนหยุดอยู่ตรงหัวมุมหนึ่งและค่อยๆ ลอบขยับเข้าไป กลับไม่นึกเลยว่าเขาจะได้เห็นหลี่ซูจริงๆ

คนที่อยู่ด้วยกันกับหลี่ซูก็คือหลี่เย่ที่เมื่อวานกลับบ้านไปพร้อมกับเขา หลี่ซูถูกเบียดชิดมุมผนัง ร่างสูงใหญ่ของหลี่เย่แทบจะบังตัวเขามิด หลินปั้นซย่าเห็นแค่เสี้ยวหน้าและไหล่ที่สั่นระริกของเขาเท่านั้น เหมือนหลี่เย่กำลังรังแกหลี่ซูอยู่ หลี่ซูสะอื้นเสียงแผ่ว หลินปั้นซย่าเห็นภาพนี้ก็ตกตะลึง คิดในใจว่าหรือนี่จะเป็นเหตุผลที่หลี่ซูไม่ชอบหลี่เย่ น้องชายคนนี้ไม่นึกเลยว่าลับหลังครอบครัวจะกลั่นแกล้งพี่ชายที่โรงเรียน?! แต่ที่จริงก็โทษหลี่ซูไม่ได้ เพราะอย่างไรหลี่เย่ก็สูงกว่าเขาเสียขนาดนั้น หากจะต่อยตีกันขึ้นมาจริงๆ ยังไงหลี่ซูก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่เย่เลย

หลินปั้นซย่ารู้ดีอยู่แล้วว่าทักษะการต่อสู้ของตัวเองค่อนข้างโหลยโท่ย โชคดีที่สมองเขายังพอใช้งานได้ดี ด้วยเหตุนี้จึงขบคิดชั่วครู่แล้ววิ่งไปชั้นล่าง ตะเบ็งเสียงออกมาว่า “ครูมา!”

คนสองคนข้างบนได้ยินเสียงตะโกนของหลินปั้นซย่า หลินปั้นซย่าก็นึกว่าหลี่ซูจะขอบคุณเขา แต่ใครจะรู้ว่าเขาไม่เพียงไม่ได้ยินคำขอบคุณจากปากหลี่ซู แต่กลับได้ยินเสียงตวาดลั่นด้วยความโมโหมาหนึ่งประโยค “ไอ้เวรตัวไหนมันร้องอยู่ตรงนั้นวะ!”

หลินปั้นซย่า “…”

จากนั้นก็เป็นเสียงโวยวายที่เกิดขึ้นรัวๆ แม้หลินปั้นซย่าจะไม่รู้ว่าตนทำอะไรผิด แต่ก็ฟังความโกรธที่ถาโถมออกมาจากน้ำเสียงกดต่ำของหลี่ซูออก ด้วยเหตุนี้จึงรีบหันหลังเผ่นแน่บกลับเข้าห้องเรียนไป แล้วหอบแฮกๆ กลับมานั่งที่ตัวเอง ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

ผ่านไปครู่หนึ่งก็เห็นหลี่ซูเดินหน้าขมึงทึงกลับเข้าห้องเรียน ปากพูดพึมพำก่นด่า หลินปั้นซย่าเข้าใจเขาสุดๆ ก็เพราะเพิ่งโดนต่อยมานี่นะ

“เวรเอ๊ย” ตอนที่หลี่ซูเดินผ่านที่นั่งของหลินปั้นซย่าก็เหลือบมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ เอ่ยว่า “หลินปั้นซย่า เมื่อกี้นายอยู่ที่ไหน”

หลินปั้นซย่าทำไขสือ “อ่านหนังสืออยู่ตรงนี้ตลอด ทำไมเหรอ”

“เมื่อกี้ฉันเหมือนจะได้ยินเสียงนายเลยนะ” หลี่ซูเขยิบเข้าไปเบื้องหน้าหลินปั้นซย่า ตั้งใจจะมองหาคำตอบจากสายตาของเขา แต่ไม่ว่ามองอย่างไรสายตาของคนตรงหน้าก็มีแต่ความใสซื่อบริสุทธิ์ “นายเห็นอะไรหรือเปล่า”

หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างจริงใจ “ไม่นี่ นายพูดถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่”

หลี่ซูย้ำ “ไม่เห็นจริงๆ นะ?”

หลินปั้นซย่ายืนยัน “ไม่นะ”

“เอาเถอะ” เขาเชื่อแล้ว

เมื่อเห็นหลี่ซูจากไป หลินปั้นซย่าก็ลอบเช็ดเหงื่อที่ฝ่ามือตัวเองในกระเป๋ากางเกง คิดในใจว่าหลี่ซูนี่จริงๆ เลย โดนต่อยก็โดนต่อยสิ จะรักศักดิ์ศรีกลัวคนอื่นเห็นทำไมกัน คนตัวสูงอย่างหลี่เย่นักเรียนทั้งโรงเรียนที่สู้ชนะเขาได้ก็คงมีอยู่แค่หยิบมือเองมั้ง เฮ้อ…ดูท่าเดี๋ยวนี้เด็กนักเรียนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ก็ยังอยู่ยากน่าดู…

หลังจากจบชั่วโมงทบทวนด้วยตัวเองภาคค่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการรังควานจากหลี่ซูอีกครั้ง หลินปั้นซย่าจึงรีบบึ่งกลับหอพัก อ่านหนังสือต่ออีกครู่หนึ่งแล้วก็ขึ้นเตียงนอน

เขานอนอยู่บนเตียง ในสมองคิดถึงคำถามที่ซ่งชิงหลัวถามเขากลางวันก่อนจะผล็อยหลับไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอนกลางวันมีปัญหาที่แก้ไม่ตกแล้วจึงเก็บเอามาฝันตอนกลางคืนหรือเปล่า เขาถึงได้ฝันถึงเรื่องแปลกๆ ขึ้นมาจริงๆ

ในห้วงฝัน หลินปั้นซย่าอยู่ในห้องโล่งๆ ที่ไม่คุ้นเคย ในห้องมีเพียงเตียงเดียว ตู้เดียว และนอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอะไรเลย เขานอนอยู่บนเตียง แล้วก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูปังๆ ทั้งยังตะโกนเรียกชื่อเขาไม่หยุด เขาถูกบีบให้ลุกขึ้นจากเตียง ตั้งใจจะไปเปิดประตู เมื่อเดินมาถึงห้องรับแขก เขาก็มองเห็นทิวทัศน์นอกหน้าต่าง แม้ว่าจะเป็นตอนเช้า แต่ท้องฟ้ากลับปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้ม โลกทั้งใบถูกอาบย้อมไปด้วยเงามืดซึ่งเกิดจากชั้นเมฆ เหลือบตาขึ้นมองแล้วราวกับเป็นวันสิ้นโลกอย่างไรอย่างนั้น คนที่เรียกชื่อเขาอยู่หน้าห้องยังคงตบประตูไม่หยุด หลินปั้นซย่ามองลอดตาแมวไปดูสิ่งที่อยู่ข้างนอก

คนที่เขาไม่รู้จักกำลังตบบานประตูพลางกรีดร้องไม่หยุด “รีบออกไปจากที่นี่ รีบออกไปจากที่นี่!…หลินปั้นซย่า รีบกลับมา…!”

หลินปั้นซย่าตะลึงในใจ แล้วจากนั้นก็ได้ยินเสียงอื่นอีก เขาหันหน้าไปก็เห็นว่าเมฆครึ้มบนท้องฟ้าด้านนอกหนาแน่นขึ้นทุกที มันมืดทะมึนและขมุกขมัวราวกับท้องฟ้าจวนเจียนจะถล่มลงมาทั้งอย่างนั้น ตรงบานหน้าต่างมีคนยืนหันหลังให้เขาปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ หลินปั้นซย่ามองแผ่นหลังนั้นออกทันที เป็นซ่งชิงหลัว…

ซ่งชิงหลัวเอี้ยวตัวหันมองหลินปั้นซย่า ยื่นมือชูนิ้วจรดปากเป็นการบอกให้เงียบเสียง จากนั้นก็ทิ้งตัวลงไปด้านหลังโดยตรง หลินปั้นซย่าเห็นภาพนั้นก็เบิกตากว้างจนหัวตาแทบฉีก หมายจะพุ่งไปรั้งอีกฝ่ายไว้ แต่มันก็สายเกินไป เขาได้แต่กะพริบตามองซ่งชิงหลัวทิ้งตัวออกไปนอกหน้าต่างต่อหน้าต่อตาตัวเอง…

“ไม่นะ!” หลินปั้นซย่าร้องตะโกนด้วยความหวาดกลัว เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตนถึงได้กลัวขนาดนี้ แต่ความรู้สึกดังกล่าวราวกับหัวสมองกำลังจะระเบิดออกมาอย่างไรอย่างนั้น เขาแทบจะวิ่งล้มลุกคลุกคลานไปริมหน้าต่าง ยื่นตัวออกไปหมายจะคว้าตัวซ่งชิงหลัวไว้ แต่พอเขาชะโงกออกไปมองที่นอกหน้าต่างกลับพบว่าใต้ล่างเป็นทะเลเมฆที่กำลังเคลื่อนไหวเป็นระลอกคลื่น มันซัดสาดไหลเวียนประดุจกระแสน้ำในตำแหน่งที่ซ่งชิงหลัวร่วงลงไป เขาเห็นว่าต่ำลงไปจากหมู่เมฆนั้น…เป็นสิ่งก่อสร้างที่ตั้งเรียงรายแน่นขนัดซึ่งดูคุ้นตาอยู่บ้าง

“ซ่งชิงหลัว! ซ่งชิงหลัว!” หลินปั้นซย่าแผดเสียงเรียกชื่อเขาสุดเสียง

ความสิ้นหวังห่อหุ้มกายหลินปั้นซย่าทันใด ท่ามกลางความคิดที่ลอยละล่อง เขาพอจะตระหนักได้อย่างเลือนรางว่าตนกำลังฝันอยู่ แต่ว่าเขาจะตื่นขึ้นได้ยังไงล่ะ ต้องทำยังไงถึงจะตื่นจากฝันร้ายนี้ได้ ในตอนนั้นเอง หลินปั้นซย่ากลับเห็นว่าลึกลงไปในชั้นเมฆ ซ่งชิงหลัวที่เดิมควรหล่นลงไปแล้วกลับปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง และยืนอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ ท่วงท่าอ่อนช้อยราวกับขนนกเบาหวิว โบกมือให้หลินปั้นซย่าพลางเรียกเสียงแผ่ว “ปั้นซย่า มานี่สิ”

หลินปั้นซย่ายังไม่ทันไหวตัวก็รู้สึกว่ามีคนผลักตนจากด้านหลัง เบื้องหน้าเขาดับวูบ แล้วก็ตกลงไปทั้งอย่างนั้น

ความรู้สึกวูบโหวงอย่างรุนแรงจู่โจมหลินปั้นซย่า เขาหอบหายใจหนักเมื่อตื่นขึ้นมาจากฝัน

เหนือศีรษะเขาเป็นเพดานลายพร้อย ใต้ร่างเป็นที่นอนบางๆ ของหอพัก หลินปั้นซย่าเหงื่อท่วมร่าง หอบหายใจรุนแรงท่ามกลางความมืด เขาไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้วแต่นอกหน้าต่างยังคงมืดสนิท คิดแล้วคงอีกยาวนานกว่าฟ้าจะสาง

หลินปั้นซย่าลูบหน้าตัวเอง ทั้งฝ่ามือเปียกชื้นไปหมด และเพราะความฝันนี้หลินปั้นซย่าจึงนอนไม่หลับอีกเลยตลอดครึ่งคืนที่เหลือ เขาพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงอย่างไรก็หลับไม่ลง แต่เขากลับพบว่าในห้องนี้ไม่ได้มีแค่เขาที่นอนไม่หลับ ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงสวบสาบจากด้านล่าง ยื่นหน้าไปดูก็พบว่าเป็นรูมเมตที่ชื่อว่าเจียงซิ่นกำลังรินน้ำแล้วยกขึ้นดื่มอยู่ด้านล่าง

“นอนไม่หลับเหรอ” หลินปั้นซย่ากระซิบถาม

“อือ” เจียงซิ่นกล่าว “ฝันน่ะ”

“ฝันร้าย?”

“ไม่รู้ว่านับมั้ย” เจียงซิ่นตอบคลุมเครือเล็กน้อย อีกฝ่ายเงยหน้ามองหลินปั้นซย่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหลินปั้นซย่าความรู้สึกไวเกินไปหรือเปล่าถึงได้รู้สึกว่าแววตาของเจียงซิ่นดูต่างไปจากปกติเล็กน้อย พอหลินปั้นซย่าคิดจะถามออกไป เขาก็ปีนกลับขึ้นเตียงและห่อตัวเองไว้ในผ้าห่มแล้ว

กระทั่งฟ้าสาง หลินปั้นซย่าแทบไม่ได้นอนเลย ครึ่งหลับครึ่งตื่นรอต้อนรับแสงรุ่งอรุณ

เป็นวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งอีกแล้ว วันนี้เป็นวันอาทิตย์ย่อมไม่ต้องเข้าเรียน เหล่านักเรียนทั้งหลายสามารถใช้โอกาสที่หาได้ยากนี้นอนเอ้อระเหยอยู่บนเตียงได้ น่าเสียดายที่หลินปั้นซย่ายังมีเรื่องความฝันอยู่เต็มหัว เมื่อนอนไม่หลับนักจึงตื่นขึ้นมาตั้งนานแล้ว ซ้ำยังกังวลว่าจะรบกวนรูมเมต หลังจากล้างหน้าแปรงฟันง่ายๆ เสร็จแล้ว เขาจึงแบกกระเป๋าหนังสือออกจากห้องไป ตั้งใจจะไปทำการบ้านและทบทวนด้วยตัวเองที่ห้องเรียน

วันนี้นักเรียนที่ไม่ได้อยู่หอไม่จำเป็นต้องมาโรงเรียน ดังนั้นทั้งโรงเรียนจึงเงียบกว่าวันปกติไม่น้อย ระหว่างทางที่หลินปั้นซย่าเดินไปอาคารเรียนก็แทบไม่เห็นใครเลย โชคดีที่ประตูห้องเรียนไม่ได้ล็อก คงเพราะมีนักเรียนคนอื่นมาถึงก่อนแล้ว แต่หลินปั้นซย่าเดินเข้าไปแล้วกลับไม่เจอใครเลย ทั้งห้องเรียนว่างเปล่า เขาเดินไปที่โต๊ะของตัวเอง วางกระเป๋าแล้วเริ่มทำการบ้านอย่างตั้งอกตั้งใจ

ดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิมักจะเป็นมิตรกว่าฤดูอื่นๆ เสมอ แสงที่ทอดส่องร่างผู้คนอบอุ่นยิ่งนัก หลินปั้นซย่าทำการบ้านวิชาภาษาอังกฤษเสร็จก็รู้สึกล้าเล็กน้อย เขาเหลือบตาขึ้นมองไปนอกหน้าต่าง จากตำแหน่งโต๊ะเขาสามารถมองออกไปเห็นสนามกีฬาได้พอดี สนามกีฬาที่ครึกครื้นในวันธรรมดาบัดนี้เงียบเชียบอย่างยิ่ง แต่หลินปั้นซย่าสังเกตเห็นได้ว่ามีคนคนหนึ่งนอนอยู่บนสนามหญ้า กำลังตากแดดด้วยสีหน้าเนือยๆ…นั่นคือซ่งชิงหลัวที่เมื่อคืนเขาฝันถึงนั่นเอง

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความฝันแปลกๆ นั่นหรือเปล่า ตอนที่หลินปั้นซย่ามองซ่งชิงหลัวถึงรู้สึกทำตัวไม่ถูกชอบกล ปากกาของเขาขีดเขียนสมุดไปมั่วๆ อย่างไม่รู้ตัว อยากจะดึงโฟกัสตัวเองกลับมา ทว่าหางตากลับชำเลืองมองไปทางซ่งชิงหลัวอย่างควบคุมไม่ได้

เขาหน้าตาดีมากจริงๆ หลินปั้นซย่าคิด นี่คงจะเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาแล้ว

ซ่งชิงหลัวไม่รู้เลยว่ามีคนกำลังมองตัวเองอยู่ คล้ายกำลังจมสู่ห้วงฝันล้ำลึก ไม่ขยับเขยื้อนร่างกายอยู่ครู่ใหญ่ หลินปั้นซย่าพลันรู้สึกได้ว่าตนคล้ายลืมตัวเสียกิริยาไปเล็กน้อย จึงรีบดึงสายตากลับมา แต่เมื่อเขาหันกลับมามองสมุดทดของตัวเองอีกครั้ง สีหน้าก็แข็งทื่อ ด้วยพบว่าเมื่อครู่เขาเขียนชื่อของซ่งชิงหลัวลงสมุดไปเป็นจำนวนมากโดยที่ไม่รู้ตัวเลย

คำว่าซ่งชิงหลัวตัวใหญ่ๆ สามตัวอักษรแทบจะกระจายเต็มหน้าสมุดทดของเขา หลินปั้นซย่าหูร้อนลวกขึ้นมาทันที เคราะห์ดีที่รอบๆ ไม่มีใคร เขาจึงทำเป็นไม่ยี่หระฉีกกระดาษแผ่นนี้ออกมา เดิมทีเขาอยากโยนมันทิ้งไปเสีย แต่ยื่นมือออกไปแล้วกลับนึกขึ้นได้ว่าบนกระดาษมีชื่อของซ่งชิงหลัว ด้วยเหตุนี้หลังจากสองจิตสองใจอยู่ครู่ใหญ่ ก็พับกระดาษอย่างเรียบร้อยเบามือแล้วเสียบไว้ในแฟ้มซึ่งอยู่ในกระเป๋าหนังสือแทน

ซ่งชิงหลัวตากแดดตลอดช่วงเช้า กระทั่งราวๆ เที่ยงหลินปั้นซย่ามองไปอีกครั้งถึงพบว่าเขาหายไปแล้ว

ใกล้ถึงเวลามื้อเที่ยงแล้ว หลินปั้นซย่าคิดจะไปกินอาหารกลางวันที่โรงอาหาร

ทว่าหลินปั้นซย่าเพิ่งเดินออกจากห้องเรียนก็ได้ยินเสียงเรียกเข้ามือถือดังมาจากสุดระเบียงทางเดิน เสียงนี้เขาคุ้นเคยดี เพราะเคยได้ยินจากโทรศัพท์ของฉินสวี่มาก่อน แต่ตอนนี้โทรศัพท์เครื่องนั้นควรจะอยู่ในมือซ่งชิงหลัว ทำไมจู่ๆ ถึงดังขึ้นมาอีก หรือว่าซ่งชิงหลัวจะอยู่ที่ระเบียงทางเดินนี้?

หลินปั้นซย่าคิดเช่นนั้นพลางเดินเลียบไปตามระเบียงทางเดินสองสามก้าว ยังเดินไม่ทันถึงสุดทางเดิน ก็เห็นคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นอีกฝั่งหนึ่งของระเบียงทางเดิน เป็นเจียงซิ่น รูมเมตที่เมื่อคืนนอนไม่หลับเหมือนกับหลินปั้นซย่านี่เอง บัดนี้เขามาปรากฏตรงหน้าหลินปั้นซย่า มือซ้ายถือโทรศัพท์มือถือที่เดิมทีควรเป็นของฉินสวี่ กำลังพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล

ทีแรกหลินปั้นซย่าอยากถามว่าเขาเอาโทรศัพท์เครื่องนี้มาจากไหน แต่แล้วกลับสังเกตเห็นสิ่งที่อยู่ในมือขวาของเขา…มีดปอกผลไม้เล่มหนึ่งที่ไม่รู้ไปคว้ามาจากไหน

เจียงซิ่นก่นด่าสาปแช่งใส่โทรศัพท์ไม่หยุด มืออีกข้างเหวี่ยงมีดปอกผลไม้ไปมา สีหน้าบ้าคลั่งเหมือนคนสติฟั่นเฟือน โชคดีที่เจียงซิ่นทำเหมือนมองไม่เห็นหลินปั้นซย่า เขาแผดเสียงก้อง “คนโกหก! ไอ้คนโกหกเอ๊ย…” กรอบตาเขาแดงก่ำ “แกกำลังหลอกฉันอยู่ใช่มั้ย จะเป็นแบบนี้ได้ยังไง…เป็นแบบนี้ได้ยังไง!”

หลินปั้นซย่าตกใจกลัวท่าทางของเขาจึงผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาไม่ถอยหลังยังดี แต่พอขยับตัวขึ้นมาก็กลายเป็นว่าดึงดูดความสนใจของเจียงซิ่นเข้าแล้ว เจียงซิ่นขึงตามองมาทางหลินปั้นซย่าอย่างเหี้ยมเกรียม หลินปั้นซย่าถึงได้พบว่าเขากำลังร้องไห้อยู่ แม้แววตาจะดุร้ายแต่น้ำตาย่อมปลอมขึ้นมาไม่ได้แน่นอน มันแทบจะอาบทั่วทั้งใบหน้าอย่างเกินจริง ทำให้ทั้งตัวของเขาดูอำมหิตทั้งยังน่ากลัว

“ที่แกพูดเป็นความจริงเหรอ” เจียงซิ่นถามอีกประโยค

หลินปั้นซย่ารู้ว่าเขาไม่ได้ถามตนเองแต่กำลังถามคนที่อยู่ปลายสาย

“งั้นยังไงฉันก็ควรลองดู” เจียงซิ่นกล่าว “แต่จะลองกับใครดีล่ะ” ตอนที่เขาพูดคำนี้สายตาก็หยุดอยู่ที่หลินปั้นซย่า

“ฮะๆๆ ฮ่าๆๆๆ” ไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไรอยู่ เจียงซิ่นถึงหัวเราะขึ้นมา แล้วเสียงหัวเราะก็หวีดแหลมขึ้นเรื่อยๆ “ฉันไม่ได้จิตใจดีแบบแก ฉันทำแบบแกไม่เป็นหรอก…”

เจียงซิ่นกล่าวโดยที่ฝีเท้าก็ยังไม่หยุด เขยิบเข้าใกล้หลินปั้นซย่าขึ้นทุกที หลินปั้นซย่าตระหนักได้แล้วว่าสถานการณ์ดูไม่ชอบมาพากล เพิ่งถอยไปได้หนึ่งก้าวร่างก็ชนเข้ากับผู้ที่อยู่ด้านหลัง เขาหันหน้าไปอย่างงงงัน ไม่นึกเลยว่าซ่งชิงหลัวจะมายืนอยู่ด้านหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ กำลังก้มหน้ามองตน และเอ่ยถามเสียงแผ่ว “เกิดอะไรขึ้น”

“เขา…” หลินปั้นซย่าลังเลเล็กน้อย “เหมือนว่าเขา…” เดิมทีเขาอยากพูดว่าเจียงซิ่นดูไม่ปกติ แต่เมื่อหันไปมองอีกครั้งกลับพบว่าท่าทางบ้าคลั่งของเจียงซิ่นเมื่อกี้หายไปแล้ว สีหน้าเจียงซิ่นกลับมาสงบนิ่ง ถึงกับซ่อนมีดปอกผลไม้ไว้ข้างหลังด้วย ดวงตาจ้องไปยังซ่งชิงหลัวที่อยู่ด้านหลังหลินปั้นซย่าเขม็ง เพียงแต่ครั้งนี้ความมุ่งร้ายในแววตาของเขากลายเป็นความระวังตัวและความหวาดหวั่น ประหนึ่งว่าคนที่ถือมีดอยู่เป็นซ่งชิงหลัวอย่างไรอย่างนั้น

“นายเอาโทรศัพท์มาจากไหน” ซ่งชิงหลัวถาม

เจียงซิ่นตอบว่า “ฉะ…ฉันเก็บได้ข้างทาง”

ซ่งชิงหลัวมองเขาโดยไม่ได้เอ่ยคำ แววตาเย็นเยียบขึ้นเล็กน้อย

เจียงซิ่นมองซ่งชิงหลัวราวกับเห็นสัตว์ประหลาด ทั้งร่างสั่นเทิ้มขึ้นมา เอ่ยอึกๆ อักๆ “ขะ…ขอโทษ”

ซ่งชิงหลัวถามเขาว่า “ฉินสวี่คือเพื่อนของนายใช่มั้ย”

เจียงซิ่นชะงัก

“ฉันจำได้ว่าพวกนายสนิทกันมาก” ซ่งชิงหลัวกล่าว “ถึงจะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่ก็ตัวติดกันแทบทั้งวัน เขาตายไปแล้ว นายเสียใจหรือเปล่า”

เจียงซิ่นกัดฟัน แม้เขาจะไม่ได้ตอบคำถาม แต่น้ำตาก็พรั่งพรูออกมาอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุม ลำคอส่งเสียงครางฮือออกมาเหมือนสัตว์ป่า ราวกับว่ามีตรงไหนที่เจ็บปวดเจียนตาย แต่กลับฝืนข่มกลั้นไว้ อารมณ์ทั้งหมดของเขาแตกซ่านกระจัดกระจาย

ซ่งชิงหลัวไม่บีบคั้นเขาอีก เพียงยื่นมือออกไปหาเป็นเชิงให้เขาส่งโทรศัพท์มาให้ตน

ใบหน้าเจียงซิ่นเปี่ยมไปด้วยความไม่ยินยอม แต่สุดท้ายก็ไม่อาจพูดปฏิเสธออกไปได้ เขาสูดหายใจเข้าลึก วางโทรศัพท์ของฉินสวี่ใส่มือซ่งชิงหลัวด้วยความฝืนใจ

“ยังไม่หมด” ซ่งชิงหลัวพูดต่อ “มีด”

เจียงซิ่นผงะ

ซ่งชิงหลัวเอ่ย “นายทำให้เขากลัว”

เจียงซิ่นตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งถึงตระหนักได้ว่า ‘เขา’ ที่ซ่งชิงหลัวกล่าวถึงก็คือหลินปั้นซย่าที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาไม่ได้สนิทกับหลินปั้นซย่านัก ก่อนหน้านี้ก็จำได้แค่ว่าชื่อของเพื่อนร่วมชั้นคนนี้ดูไม่เข้ากับหน้าตาเท่านั้น เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้ปฏิเสธคำขอของซ่งชิงหลัว ส่งมีดที่กุมอยู่ในมือให้ซ่งชิงหลัวไป

“ไปเถอะ” ซ่งชิงหลัวบอกกับเขา

พอได้ยินสองคำนี้ เจียงซิ่นก็ดุจดั่งได้รับการอภัยโทษ วิ่งเผ่นแน่บไปโดยเร็วไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ทิ้งซ่งชิงหลัวและหลินปั้นซย่าให้ยืนเงียบๆ อยู่กลางระเบียงทางเดิน

หลินปั้นซย่ารู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันประหลาดมาก ตั้งแต่ที่ฉินสวี่ตายไป โดยรอบก็เหมือนกับอบอวลไปด้วยความไม่สมเหตุสมผล ซ้ำความไม่สมเหตุสมผลนี้ยังเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ไม่แน่นอน ต้องสังเกตจากรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นถึงจะรู้สึกได้ ถึงกับทำให้เขาสงสัยว่าตัวเองคิดเล็กคิดน้อยมากเกินไปหรือเปล่าด้วยซ้ำ

“โทรศัพท์ไปอยู่กับเจียงซิ่นได้ยังไง” หลินปั้นซย่าถามขึ้น

“ฉันเก็บมันไว้ในลิ้นชักห้องสโมสร” ซ่งชิงหลัวเอ่ย “ปกติแล้วเขาไม่ควรเอามันไปได้”

“แต่เขาก็เอามันไปแล้ว”

“เพราะฉะนั้นนี่จึงไม่ใช่สถานการณ์ปกติ” เขามองหลินปั้นซย่า “ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่มั้ย”

“ไม่” หลินปั้นซย่าส่ายหน้า

“ไปกันเถอะ ถึงเวลามื้อเที่ยงพอดี” ซ่งชิงหลัวเอ่ย “ฉันจะเล่าให้นายฟังระหว่างทาง”

เดิมทีหลินปั้นซย่าคิดว่าทั้งคู่จะไปกินข้าวที่ห้องสโมสรห้องเดิม ใครจะรู้ว่าซ่งชิงหลัวกลับพาเขาเดินไปทางประตูโรงเรียน หลินปั้นซย่าถามเขาว่าจะไปที่ไหน ซ่งชิงหลัวตอบ “ไปกินสิ่งที่นายชอบมากที่สุด”

หลินปั้นซย่าคิดในใจว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าตนชอบกินอะไรมากที่สุด จากนั้นก็เห็นว่าทางที่ซ่งชิงหลัวพาเดินไปคือร้านเล็กๆ ริมทาง เขาประหลาดใจ “นายรู้ได้ยังไง…”

“อยากฟังความจริงหรือเรื่องโกหก?”

หลินปั้นซย่าเอ่ย “ความจริง”

“รู้จากในฝัน”

หลินปั้นซย่าละเหี่ยใจ “งั้นเรื่องโกหกคืออะไร”

ซ่งชิงหลัวตอบว่า “เดา”

หลินปั้นซย่าคิดในใจ นายพูดสลับกันหรือเปล่าเนี่ย ถ้าบอกว่าเดาคือเรื่องจริง มันฟังดูน่าเชื่อกว่าบอกว่าฝันหรอกเหรอ แต่เขาก็ฉุกนึกถึงความฝันแปลกๆ ของตนเมื่อคืน และปฏิกิริยาแปลกๆ ของเจียงซิ่นได้ก่อน เขาจมสู่ห้วงความเงียบไปชั่วขณะ

ซ่งชิงหลัวเข้าร้านค้าเล็กๆ ไป เหลือบมองเมนูอาหารก่อนจะยกมือขึ้นวางบนโต๊ะแล้วตะโกนเรียก “เถ้าแก่”

เถ้าแก่ร้านเป็นชายวัยกลางคน เขาเดินปรี่เข้ามาพลางแย้มยิ้มถามว่าอยากกินอะไร

“ขอเส้นหมี่เนื้อวัวให้ผมชุดหนึ่งครับ” ซ่งชิงหลัวสั่งอาหารให้ตัวเองเสร็จก็มองไปทางหลินปั้นซย่า “ของเขาเอาเส้นหมี่อีกชาม…ใส่ทุกอย่าง”

หลินปั้นซย่าตะลึง เขาชอบรสชาติของเส้นหมี่ร้านนี้มากจริงๆ แต่อย่างเดียวที่เคยกินก็มีแค่เส้นหมี่ใส่ผักที่ไม่เพิ่มวัตถุดิบอะไรเลย หมี่ที่เพิ่มเครื่องทุกอย่างแบบนี้เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดสั่ง เวลานี้ย่อมรู้สึกตกใจเพราะได้รับความเมตตาอย่างเหนือความคาดหมาย หลินปั้นซย่ารีบโบกมือหมายจะปฏิเสธ

ซ่งชิงหลัวคล้ายจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายต้องการพูดอะไร ชิงเอ่ยก่อนโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ห้ามพูด นั่งลง นั่งกินดีๆ” เขาเหลือบตาขึ้นมองด้วยแววตาจับผิด “ต้องขุนบ้าง…”

คำพูดต่อจากนั้นเขาไม่ได้เอ่ยออกมา ทำเพียงเผยรอยยิ้มจางๆ ที่ส่อเจตนาไม่ชัดเจน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 19 .. 65

 

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com