ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ บทที่ 3 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ บทที่ 3 #นิยายวาย

ตอนที่ 3

 

“ท่านบรรพบุรุษ!!!” เมื่อเจียงเฉิงฟางตะโกนออกมาเสียงดัง ชายหนุ่มก็หันไปมองเขาเล็กน้อย เจียงเฉิงฟางรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งร่าง ลำคอของเขาเหมือนถูกอะไรบางอย่างอุดเอาไว้จนเขาต้องสำลักออกมาสองสามครั้งถึงจะส่งเสียงออกมาได้

“ท่านบรรพบุรุษ ไม่เจอกันตั้งหลายสิบปี ผมคิดถึงท่านมากเลยครับ” เจียงเฉิงฟางรีบยกยิ้มประจบสอพลอ ก่อนเดินไปอยู่ด้านหน้าไอโม่ซินอย่างยากลำบาก พยายามบังเด็กหนุ่มเอาไว้ ด้วยเกรงว่าท่านบรรพบุรุษจะกลืนกินเขาลงไปในคำเดียว “ในเมื่อท่านตื่นแล้ว หมายความว่าท่านจะกลับมาให้พวกเราแสดงความกตัญญูใช่มั้ยครับ”

บรรพบุรุษคนนั้นปรายตามองเจียงเฉิงฟางเล็กน้อย ถือว่าเขายังเห็นแก่หน้าอีกฝ่ายอยู่บ้างจึงได้หายตัวไปจากตรงนั้นทันที

เจียงเฉิงฟางถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาจับไหล่ไอโม่ซินพลางหอบหายใจแล้วพูดออกมา “เจ้าหนู วิ่งเร็วจริงๆ เลยนะ”

ไอโม่ซินกะพริบตาปริบๆ แล้วยัดสมุดบันทึกลงไปในกระเป๋าเป้พร้อมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ค่ำขนาดนี้แล้ว เรื่องต่อจากนี้ก็ไม่น่าจะเป็นธุระของผมแล้ว แม่ผมยังรอผมกลับไปกินข้าวที่บ้าน การบ้านผมก็ยังไม่ได้ทำเลย”

เจียงเฉิงฟางเห็นท่าทางของเด็กคนนี้เย็นชายิ่งกว่าตนก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก เมื่อกี้นี้เขาเกือบจะตกใจตายอยู่แล้ว เรื่องบรรพบุรุษที่เขาไม่ได้เห็นมาหลายสิบปีปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันก็ช่างมันเถอะ แต่เขาถึงกับไล่ตามเด็กคนนี้ลงมาด้านล่างด้วยนี่สิ พวกคนเฒ่าคนแก่ในครอบครัวของเขาเคยเล่าเรื่องที่ท่านบรรพบุรุษเคยกินมนุษย์เข้าไปโดยไม่พูดไม่จาอะไรสักคำให้ฟังมาก่อน ตอนนี้เขาเริ่มคิดไม่ตกแล้วว่าหลังจากที่เขากลับบ้านไปท่านบรรพบุรุษจะกลืนเขาลงท้องไปเพราะขวางทางอีกฝ่ายหรือเปล่า

เจียงเฉิงฟางปาดเหงื่อแล้วเลือกที่จะฉีกยิ้มใจดีที่สุดให้ไอโม่ซิน “นายบอกว่าถ้าจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วนายจะบอกชื่อของนายไม่ใช่เหรอ”

ไอโม่ซินดูจนปัญญาเล็กน้อย “ผมแซ่ไอ ชื่อโม่ซิน”

เจียงเฉิงฟางชะงักไปสักพัก “ไอ ที่มาจากคำว่าความระทมทุกข์น่ะนะ?”

ไอโม่ซินยกยิ้มขึ้นมา “คนส่วนใหญ่มักจะถามว่าไอที่มาจากความโศกเศร้าหรือเปล่า แต่คุณลุงนี่มีวรรณศิลป์จังเลยนะครับ”

เจียงเฉิงฟางพูดยิ้มๆ “ชนเผ่าเถี่ยนล้วนใช้แซ่ไอ นายเป็นชนเผ่าเถี่ยนเหรอ”

“ครับ ผมเป็นหัวหน้าเผ่ารุ่นที่ยี่สิบสาม” ไอโม่ซินได้แต่แนะนำตัวเองอีกครั้ง

เจียงเฉิงฟางคล้ายจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วพูดออกมาด้วยความชื่นชมเล็กน้อย “ดีจริงๆ เลย ยังมีชนเผ่าเถี่ยนหลงเหลืออยู่ด้วย เป็นเพราะพระเจ้าคุ้มครองแท้ๆ”

ไอโม่ซินกระตุกมุมปากจนดูไม่เหมือนรอยยิ้ม ก่อนตอบกลับไปว่า “คุณลุงครับ ผมต้องกลับแล้ว วันนี้รบกวนคุณลุงแล้วนะครับ”

“อย่าพูดแบบนั้นเลย วันนี้ต้องขอบใจนายมากนะ” เจียงเฉิงฟางไม่คิดจะปล่อยชนเผ่าเถี่ยนหายากคนนี้ไป เขาเอ่ยปากถามต่อด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “นายอายุเท่าไรแล้ว ประมาณสิบสี่สิบห้าแล้วล่ะมั้ง”

“ปีนี้สิบห้าครับ ผมเพิ่งสอบเสร็จ” ไอโม่ซินยอมตอบกลับแต่โดยดี ตอนนี้ท่าทางของเขาดูเหมือนเด็ก ม.ต้น ธรรมดาคนหนึ่ง

เจียงเฉิงฟางมองใบหน้าเฉลียวฉลาดของเด็กหนุ่มแล้วไม่ค่อยแน่ใจว่าท่านบรรพบุรุษสนใจเด็กคนนี้ตรงไหน เขาจึงได้แต่แสดงท่าทีอ่อนโยนออกไป “ลุงแซ่เจียง ชื่อเจียงเฉิงฟาง เฉิงที่มาจากคำว่าสัญญา และฟางที่มาจากคำว่าผู้สร้าง เป็นเจ้าหน้าที่กองงานบุคคลกรมตำรวจนครบาล”

เจียงเฉิงฟางหยิบนามบัตรใบหนึ่งยื่นออกไป ไอโม่ซินลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปรับ เจียงเฉิงฟางจึงใช้โอกาสนี้ถามต่อ “นายมีโทรศัพท์มือถือหรือเปล่า ลุงขอเบอร์หน่อยได้มั้ย”

ไอโม่ซินเอียงศีรษะพร้อมพูดออกมาอย่างจริงจังว่า “แม่บอกว่าอย่าให้เบอร์โทรศัพท์คนแปลกหน้า”

เจียงเฉิงฟางยิ้มขื่นกล่าว “ไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าแล้วมั้ง พวกเราเพิ่งจะร่วมเป็นร่วมตายกันมานะ”

ไอโม่ซินลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจว่าการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับสกุลเจียงก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ดังนั้นเขาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์ที่อยู่บนนามบัตรของเจียงเฉิงฟางแล้วโทรออก เจียงเฉิงฟางเลยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาบันทึกเบอร์นั้นเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม

“ชื่อของนาย…เขียนยังไงนะ” เจียงเฉิงฟางคิดถึงชื่อที่ไอโม่ซินเพิ่งบอกมาเมื่อกี้ แล้วเพิ่งคิดได้ว่าปกติคงไม่มีใครตั้งชื่อที่ฟังดูเกี่ยวกับความทุกข์ระทมแสนสาหัสให้เด็กคนหนึ่งหรอก

ไอโม่ซินยกยิ้มอย่างใจเย็นแล้วพูดออกมา “โม่ซินที่แปลว่าจิตใจอันเป็นมิตรครับ”

เจียงเฉิงฟางชะงักไปเล็กน้อยแล้วยกยิ้มขึ้นมา “ดี ชื่อดี ลุงจะจำเอาไว้”

“ถ้าอย่างนั้นผมกลับบ้านแล้วนะครับ แล้วเจอกันใหม่ครับคุณลุง” ไอโม่ซินโบกมือให้เจียงเฉิงฟางแล้วหมุนตัวเดินจากไป

“ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวลุงไปส่งที่บ้านก็ได้” เจียงเฉิงฟางเก็บโทรศัพท์มือถือแล้วรีบตามไป

“ไม่ต้องหรอกครับ แม่บอกว่าอย่าขึ้นรถคนแปลกหน้าง่ายๆ” ไอโม่ซินหันมายิ้มให้เจียงเฉิงฟางโดยที่เท้าของเขาก็เดินต่อไปไม่หยุด

เจียงเฉิงฟางรู้สึกจนปัญญา แต่คงไม่ดีนักถ้าจะเร่งรัดอีกฝ่ายตั้งแต่เริ่ม เขาเลยได้แต่มองเงาร่างของเด็กหนุ่มค่อยๆ ไกลออกไปพลางพึมพำกับตัวเอง “อายุสิบห้างั้นเหรอ…ยังเด็กไปหน่อยแฮะ”

เจียงเฉิงฟางเกาหัวแกรกๆ แล้วคิดขึ้นมาได้ว่าบนตึกยังมีวิญญาณร้ายที่เขาต้องจัดการอีก เลยได้แต่เดินกลับไปที่อพาร์ตเมนต์แห่งนั้น แล้วจัดการเรื่องต่อจากนี้ให้เสร็จเรียบร้อย

ไอโม่ซินวิ่งไปขึ้นรถเมล์คันหนึ่งอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน ตอนนี้เลยเวลากลับไปกินข้าวที่บ้านแล้ว เขาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความให้แม่ตัวเอง

ไอโม่ซินนั่งรถเมล์ไปได้ประมาณยี่สิบนาทีก็ลงจากรถ เขาเดินผ่านสถานที่รกร้างที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จแห่งหนึ่ง จากนั้นก็เลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ สายหนึ่งแล้วเดินไปจนสุดซอย ในซอยนั้นมีอาคารเก่าๆ ที่มีแสงไฟสาดส่องออกมาอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น

ไอโม่ซินหยิบกุญแจมาเปิดประตู “ท่านแม่ ผมกลับมาแล้วครับ”

ไอเยวี่ยเจินกำลังนั่งปักผ้าอยู่บนเก้าอี้หวาย พอเห็นไอโม่ซินมาถึงแล้ว เธอก็หันมายิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน “มื้อเย็นบนโต๊ะยังร้อนอยู่เลย ลูกรีบไปกินสิ”

“ครับ เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ” ก่อนไอโม่ซินจะวิ่งขึ้นไปชั้นบนเขาก็ตะโกนมาทางแม่ของตัวเองว่า “ท่านแม่ก็เลิกปักได้แล้ว ดึกขนาดนี้แล้วจะเสียสายตาเอานะ”

“รู้แล้วจ้ะ” ไอเยวี่ยเจินส่งเสียงตอบรับแล้วเก็บสะดึงไปแต่โดยดี จากนั้นเธอก็ลุกไปจัดโต๊ะอาหารให้ลูกชาย

ไอโม่ซินเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ลงมากินข้าว จากนั้นเขาก็คัดตัวอักษรอีกหนึ่งชั่วโมงตามปกติ เพราะเพิ่งสอบเสร็จเขาเลยผ่อนคลายและสามารถเรียนรู้อักษรเพิ่มขึ้นได้อีกหลายตัว ไอเยวี่ยเจินนั่งมองเขาอยู่ด้านข้างเงียบๆ และช่วยชี้ขีดที่เขาเขียนผิดในบางครั้ง

สำหรับไอโม่ซินแล้วนี่ถือเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง ก่อนนอนเขาได้รับข้อความจากเจียงเฉิงฟางซึ่งเป็นข้อความบอกราตรีสวัสดิ์ แม้จะรู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าแปลกอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็ตอบราตรีสวัสดิ์กลับไปเช่นกัน

กระทั่งถึงตอนเช้าเขาก็ได้รับข้อความอรุณสวัสดิ์อีกครั้ง

ไอโม่ซินทำหน้าประหลาดใจ แต่เขาก็ยังตอบอรุณสวัสดิ์กลับไปเหมือนเดิม จากนั้นก็ปล่อยมันผ่านไปโดยไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังอะไร

แต่ตลอดระยะเวลาเจ็ดวันหลังจากนั้น เขาก็ได้รับข้อความไต่ถามสารทุกข์สุกดิบตลอดสามเวลาเช้ากลางวันเย็น จึงเริ่มคิดว่าเจียงเฉิงฟางทำตัวแปลกจริงๆ

“มีอะไรเหรอ” ไอเยวี่ยเจินเห็นลูกชายจ้องโทรศัพท์ด้วยสีหน้าประหลาดจึงเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไรหรอกครับ…ตอนที่ได้รับการไหว้วานครั้งก่อนผมเจอคนจากกรมตำรวจด้วย คุณลุงคนนั้นชอบส่งข้อความมาให้ผมอยู่เรื่อยเลย” ไอโม่ซินขมวดคิ้วพลางพูดกับไอเยวี่ยเจิน

ไอเยวี่ยเจินครุ่นคิดอย่างจริงจังก่อนจะเปิดปากถาม “เขาส่งอะไรมาล่ะ”

“ก็ส่งข้อความพวกอรุณสวัสดิ์ สวัสดีตอนเที่ยง ราตรีสวัสดิ์อะไรทำนองนี้น่ะครับ…” ไอโม่ซินครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่อยากให้แม่เป็นกังวล เขาเลยพูดต่อยิ้มๆ ว่า “ไม่มีอะไรหรอกครับ บางทีเขาอาจจะแค่ทักทายตามมารยาทก็ได้”

ไอเยวี่ยเจินไม่คิดจะซักไซ้ต่อ ตั้งแต่ไอโม่ซินรับช่วงดูแลเผ่าเถี่ยน นานๆ ครั้งเธอถึงจะถามเรื่องภายนอกกับลูกชาย

ไอโม่ซินเองก็กลัวว่าแม่จะคิดมากเลยพูดเสริมไปอีกประโยค “เดี๋ยวผมคอยดูท่าทีไปก่อนแล้วกันครับ ถ้ามีอะไรผิดปกติจริงๆ ผมจะลองไปถามคนอื่นดู”

ไอเยวี่ยเจินพยักหน้ายิ้มๆ เมื่อส่งไอโม่ซินออกจากบ้านไปแล้วเธอก็กลับไปนั่งปักผ้าอยู่บนเก้าอี้หวายของเธอ ด้านไอโม่ซินออกจากบ้านไปได้ไม่นานโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นเจียงเฉิงฟางเขาก็ชะงักไปสักพักถึงได้กดรับ

“สวัสดีครับ?”

“ไง เอ่อ เจ้าหนูไอ ลุงเจียงเฉิงฟางจากกรมตำรวจนะ พวกเราเคยเจอกันที่บ้านสกุลหลิวไง”

“ผมรู้ครับ คุณลุงเจียงมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

“เอ่อ…จริงๆ แล้วลุงต้องขอโทษด้วยนะ พอดีวันนี้เพิ่งเห็นว่า เอ่อ…ดูเหมือนว่าบรรพบุรุษของสกุลเราจะใช้โทรศัพท์มือถือของลุงส่งข้อความไปหานาย…”

“…”

“เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็ค่อนข้างแปลก แต่ลุงก็เพิ่งเห็นวันนี้นี่เองน่ะ ฮ่าๆๆ…ขอโทษด้วยนะ บรรพบุรุษสกุลเราหลับใหลมาตั้งสามสิบปี ท่านเพิ่งตื่นขึ้นมาเลยน่าจะรู้สึกเบื่อๆ เป็นบางครั้ง ขอโทษนะที่รบกวนนาย”

“อ่อ…ไม่เป็นไรครับ…ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมต้องเข้าเรียนแล้วนะครับ”

“ได้ๆ คงจะยุ่งอยู่สินะ ลุงขอโทษด้วยที่กวนเวลา”

ไอโม่ซินวางสายแล้วนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายอีกครั้ง

“ท่านปู่สือหรือเปล่าครับ ผมเสี่ยวไอนะ…ผมขอถามอะไรหน่อยสิครับ คุณปู่รู้จักเจ้าหน้าที่เจียงเฉิงฟางจากกองงานบุคคลของกรมตำรวจหรือเปล่า”

ไอโม่ซินรู้สึกว่ามันแปลกมากจริงๆ แต่หลังจากไปยืนยันกับท่านสือแห่งอารามหลวงเจิ้งหลงแล้ว อีกฝ่ายก็รับประกันว่าเจียงเฉิงฟางเป็นเพียงนายตำรวจธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เป็นคนโรคจิตและไม่ได้เป็นตาเฒ่าหัวงู นอกจากนี้เขายังมีชื่อเสียงที่ดีมากอีกด้วย

ในที่สุดไอโม่ซินก็เชื่อว่าบรรพบุรุษสกุลเจียงคนนั้นน่าจะเป็นคนส่งข้อความเหล่านั้นมาจริงๆ

แต่นี่ก็ยิ่งแปลกเข้าไปอีก เขาเพิ่งจะเจอบรรพบุรุษคนนั้นในวันนั้นเอง ไอโม่ซินคิดไปถึงภาพตอนที่พวกเขาได้พบกัน เขาจำได้แค่ว่าคนคนนั้นมีใบหน้างดงามอย่างหาได้ยาก พวกเขาพูดคุยกันสั้นๆ เพียงสองประโยคเท่านั้น แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ดูสนใจเขานักหนา เพราะเขาเป็นชนเผ่าเถี่ยนงั้นเหรอ

ไอโม่ซินมีความสงสัยอยู่เต็มหัวใจจนกระทั่งเลิกเรียนกลับบ้าน นอกจากเหล่าบรรพบุรุษที่อยู่ข้างกายเขาแล้ว เขายังไปที่โถงบรรพบุรุษ จุดธูปอัญเชิญเหล่าบรรพบุรุษที่กำลังบำเพ็ญเพียรออกมายืนยันว่ามีใครรู้จักปีศาจเฒ่าพันปีตนนั้นหรือไม่ แต่เหล่าบรรพบุรุษต่างพากันบอกว่าพวกเขาไม่เคยข้องแวะกับสกุลเจียงมาก่อนเลย

ไอโม่ซินรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องปกติ ก่อนที่เขากับแม่จะออกจากบ้านมา ชนเผ่าเถี่ยนมักจะใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาลึกโดยไม่ออกมายังโลกภายนอก การที่พวกเขาจะไม่เคยข้องแวะกับสกุลเจียงมาก่อนก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล

ไอโม่ซินหวนคิดไปถึงคำพูดของเจียงเฉิงฟาง บางทีบรรพบุรุษสกุลเจียงคนนั้นอาจจะแค่หาอะไรทำสนุกๆ ก็ได้ ส่งข้อความมาก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ไม่ว่าจะเป็นเจียงเฉิงฟางส่งมาเองหรือบรรพบุรุษคนนั้นส่งมาเขาแค่ตอบกลับไปอย่างสุภาพก็พอแล้ว

บางทีอาจเป็นเพราะเจียงเฉิงฟางไปคุยกับบรรพบุรุษของตัวเองแล้ว ข้อความที่เขาได้รับหลังจากนั้นจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อยและกลายเป็นข้อความบอกราตรีสวัสดิ์ทุกคืน เขาเองก็ตอบราตรีสวัสดิ์กลับไปอย่างสุภาพจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว

หลังจากนั้นอีกหลายเดือนเขากับเจียงเฉิงฟางก็ได้เจอกันอีกสองครั้งเพื่อติดตามเรื่องที่หลิวโหย่วชิ่งไหว้วาน ครั้งแรกก็เพื่อช่วยสกุลหลิวเขียนแผนผังสกุล ส่วนอีกครั้งหนึ่งก็เพื่อขุดโครงกระดูกของวังซิ่วอวี้ขึ้นมา และทั้งสองครั้งนั้นเขาก็ได้เจอกับบรรพบุรุษคนนั้นอีกเช่นกัน ดวงตางดงามสีดำสนิทคู่นั้นจ้องมองมาที่เขาเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร เขาเลยได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็นแล้วจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนจะรีบจากไป

หลังจากที่วังซิ่วอวี้ถูกฝัง เขาก็ได้รับข้อความจากเจียงเฉิงฟางที่นัดเขาไปกินข้าว

ไอโม่ซินจำได้ว่าวันนั้นก่อนที่เขาจะกลับมา เจียงเฉิงฟางเหมือนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะตบไหล่เขาแล้วกล่าวขอบคุณพร้อมทั้งบอกว่าครั้งหน้าลุงจะเลี้ยงข้าวนายเองด้วย

เขาลองหาที่ตั้งร้านอาหารดู พอเห็นว่าไม่ใช่ร้านอาหารราคาแพงเกินไปก็ส่งข้อความตอบกลับไป

พอถึงเวลานัดเขาก็นั่งลงที่โต๊ะ เมื่อเห็นเจียงเฉิงฟางเข้ามาในร้านเขาก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เพราะสีหน้าของเจียงเฉิงฟางดูแปลกประหลาดสุดๆ

เจียงเฉิงฟางนั่งลงตรงหน้าไอโม่ซินด้วยสีหน้าปั้นยากและดูเก้ๆ กังๆ ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ขอโทษทีนะ เสี่ยวไอ เอ่อ…จริงๆ ลุงก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี…”

เมื่อชุดสีขาวเปล่งประกายระยิบระยับปรากฏขึ้นตรงหน้า ไอโม่ซินก็คิดว่านี่เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดที่สุดที่เขาเคยเจอในชีวิตนี้เลย

บรรพบุรุษคนนั้นโบกมือเบาๆ เจียงเฉิงฟางก็ลุกขึ้นยืนแล้วให้อีกฝ่ายนั่งลงแทนที่โดยไม่รู้ตัว แต่ทันใดนั้นเขาก็คิดได้ว่านี่ไม่ถูกต้อง เลยได้แต่พูดออกมาเบาๆ น้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ “เอ่อ ท่านบรรพบุรุษ แบบนี้คงไม่ดี…”

“ข้าจะเลี้ยงอาหารผู้อื่นมีอะไรไม่ดี” บรรพบุรุษสกุลเจียงปรายตามองเจียงเฉิงฟาง เจ้าตัวไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรเลยได้แต่ยกยิ้มขื่น

ไอโม่ซินรู้สึกได้ถึงความผิดปกติจึงรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปด้านนอกทันที เขาวิ่งได้รวดเร็วมาก นั่นไม่ใช่เพราะต้องฝึกหนีเอาชีวิตรอดอยู่เป็นประจำ แต่เป็นเพราะพรสวรรค์ของเขาต่างหาก

ไอโม่ซินเพิ่งจะวิ่งออกไปได้สองบล็อกก็ถูกบรรพบุรุษคนนั้นขวางเอาไว้ในซอย ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ

เพราะความกลัวของเขาทำให้เหล่าบรรพบุรุษที่อยู่เบื้องหลังเกินกว่าครึ่งปรากฏตัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ไอโม่ซินไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองหวาดกลัวอะไร ปกติเขาไม่ค่อยจะกลัวอะไรอยู่แล้ว ตั้งแต่รับสืบทอดเผ่าเถี่ยนเมื่ออายุสิบสอง เขาก็ไม่เคยกลัวอะไรอีกเลย เพราะเขารู้ดีว่าบรรพบุรุษในสกุลเกือบพันคนจะคอยปกป้องคุ้มครองเขา แต่ตอนนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปีศาจเฒ่าพันปีที่ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ แต่ที่กลัวยิ่งกว่าก็คือเขาอาจจะสร้างศัตรูที่น่ากลัวขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจก็เป็นได้

“รอเดี๋ยว! นี่เป็นการเข้าใจผิด!” เจียงเฉิงฟางวิ่งเข้ามาพลางหอบหายใจ “เข้าใจผิดแล้ว! เห็นแก่ลุงเถอะ สกุลเจียงของพวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย…”

บรรพบุรุษสกุลเจียงมองเจียงเฉิงฟางแวบหนึ่ง บนใบหน้าของเขาเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าตนไม่รู้เลยสักนิดว่าเข้าใจผิดอะไรกัน

ไอโม่ซินยกมือขึ้นบอกให้บรรพบุรุษของตัวเองถอยกลับไปก่อน ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้ายจริงๆ เขาก็ไม่อยากจะสร้างความยุ่งยากให้ชนเผ่าเถี่ยน

“ท่านบรรพบุรุษ…ผมอธิบายไปหลายครั้งแล้วนะครับ เสี่ยวไอยังอายุน้อย ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ท่านอย่าทำให้เขาตกใจสิครับ” เจียงเฉิงฟางปาดเหงื่อด้วยท่าทางที่แทบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าบรรพบุรุษของตัวเองสนใจไอโม่ซินตรงไหน ถ้าไม่ใช่เพราะบรรพบุรุษเขาอายุเกือบพันปีแล้ว และไม่น่าตามจีบเด็กหนุ่มอายุสิบห้าได้ เขาคงจะคิดว่าท่านบรรพบุรุษกำลังตามจีบไอโม่ซินจริงๆ ซะแล้ว แต่เขา…ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามแม้แต่น้อย

บรรพบุรุษสกุลเจียงฟังเจียงเฉิงฟางพูดจบก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองไปทางไอโม่ซินพักใหญ่ “อายุเท่าใดแล้ว”

ไอโม่ซินตอบกลับอย่างระมัดระวัง “…สิบห้าครับ”

บรรพบุรุษสกุลเจียงมองเจียงเฉิงฟางแวบหนึ่งเหมือนไม่เข้าใจว่าอายุสิบห้ามันน้อยตรงไหน เจียงเฉิงฟางเลยได้แต่ยกยิ้มขื่นพร้อมพูดออกมา “ท่านบรรพบุรุษ ยุคสมัยมันไม่เหมือนกันแล้วนะครับ ตอนนี้พวกเราถือว่าอายุสิบแปดถึงจะโตเป็นผู้ใหญ่ เด็กคนนี้ยังเด็กจนน่าใจหายอยู่เลยนะครับ”

บรรพบุรุษสกุลเจียงเอียงศีรษะใคร่ครวญ สุดท้ายเขาก็พยักหน้าเหมือนจะเห็นด้วยแล้วหันไปมองไอโม่ซิน “ข้ามีนามว่าเจียงหลี”

ไอโม่ซินตกตะลึงอยู่นานกว่าจะส่งเสียงตอบกลับไปได้ “อ่อ ครับ…”

เมื่อรู้สึกว่าปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่ายน่าสนใจ เจียงหลีก็ยกยิ้มให้แล้วหมุนตัวหายวับไปจากตรงนั้น

ไอโม่ซินรู้สึกว่าเมื่อใบหน้านั้นแย้มยิ้มขึ้นมาก็ก่อให้เกิดพลังทำลายล้างอย่างรุนแรงเหลือเกิน เขางุนงงอยู่สักพัก เมื่อได้สติกลับมาก็ได้ยินเจียงเฉิงฟางกำลังขอโทษเขาอย่างเอาเป็นเอาตายและดูเหมือนจะร้องไห้ออกมาจริงๆ เมื่อชายวัยสี่สิบคนหนึ่งถูกบรรพบุรุษของตัวเองกลั่นแกล้งแบบนี้ ไอโม่ซินก็ไม่รู้ว่าควรจะเห็นใจเขาหรือเป็นห่วงตัวเองดี

ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เอ่ยปลอบเจียงเฉิงฟางไปสองสามประโยคและยืนยันว่าตนไม่เป็นอะไร ก่อนจะนั่งรถกลับบ้านด้วยใจระทึก ทั้งยังซื้อไก่ทอดถังใหญ่กลับมาปลอบใจตัวเองด้วย

หลังจากวันนั้นเขาก็มักจะได้รับข้อความราตรีสวัสดิ์หรือถามไถ่สารทุกข์สุกดิบบ้างเป็นบางครั้ง ส่วนข้อความอื่นๆ กว่าครึ่งก็มักจะเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เขาบังเอิญพบเจอและปรึกษาหารือถึงวิธีการแก้ไข จากนั้นไอโม่ซินก็พบว่าตัวเองเริ่มแยกแยะออกแล้วว่าข้อความไหนเป็นข้อความที่เจียงหลีส่งมา และข้อความไหนเป็นข้อความที่เจียงเฉิงฟางส่งมา ถึงอย่างนั้นเขาก็มักจะตอบกลับไปอย่างสุภาพเสมอ แต่อย่างน้อยเมื่อเขาพบหน้าเจียงเฉิงฟางเขาก็ไม่ได้เจอกับเจียงหลีอีก

หลังจากไอโม่ซินสบายใจแล้วเขาก็มักจะไปมาหาสู่เจียงเฉิงฟางอยู่เสมอ และคิดเสียว่าเรื่องมังกรบรรพบุรุษสกุลเจียงเป็นเพียงเรื่องตลกอีกเรื่องหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อเขาไม่พูดถึงเรื่องนี้ เจียงเฉิงฟางก็ไม่พูดถึงเช่นกัน ช่วงฤดูร้อนจึงผ่านไปทั้งอย่างนั้น จนกระทั่งไอโม่ซินเข้าโรงเรียนใหม่และได้กลายเป็นนักเรียน ม.ปลาย พริบตาเดียวก็ถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทที่ 4 ได้ในวันที่ 5 มี.. 64

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 125

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า หลายวันก่อนตอนรอเขากลับมา ซูเสวี่ยจื้อเคยมโนภาพหลายครั้งมากว่าคนทั้งคู่จะพบหน้ากันแบบไหน แต่เธอค...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-1

บทที่ 27-1 หวงปอรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานาน แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกไป๋ตันหย่งที่ยืนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของฮ่องเต้มาตั้งแต...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-2

บทที่ 27-2 วันรุ่งขึ้นหลังออกจากวังซีหวา เดิมทีเมิ่งถิงฮุยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ใครจะรู้ว่าผ่านไปไม่กี่วันคำพูดของเขาที่พูดอ...

community.jamsai.com