X
    Categories: everYThey Both Die at the Endทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน They Both Die at the End บทที่ 5 – บทที่ 6 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

รูฟัส

1:59 .

พ่อแม่บุญธรรมของผมรออยู่ชั้นล่าง ตอนแรกพวกเขาพยายามถลันเข้ามาในนี้ทันทีที่พวกเขารู้ข่าว แต่มัลคอล์มขวางไว้เพราะเขารู้ว่าผมยังต้องการเวลาอีกหน่อย ผมเปลี่ยนไปใส่ชุดปั่นจักรยาน…กางเกงรัดรูปทับด้วยกางเกงบาสเกตบอลขาสั้นสีฟ้า ของรักของผมจะได้ไม่ป่องออกมาเหมือนของสไปเดอร์แมน ตามด้วยเสื้อฟลีซสีเทาตัวเก่งของผม…เพราะผมนึกภาพตัวเองเดินทางไปทั่วเมืองในวันสุดท้ายด้วยวิธีอื่นไม่ออกนอกจากใช้จักรยาน ผมหยิบหมวกกันน็อกมาด้วยเพราะต้องปลอดภัยไว้ก่อน ก่อนจะมองห้องนี้เป็นครั้งสุดท้าย ผมจะไม่ระเบิดร้องไห้หรืออะไรอย่างนั้นหรอก จริงๆ นะ ถึงตอนนี้ผมจะกำลังนึกถึงตอนเล่นปาบอลกับเพื่อนรักของผมก็เถอะ ผมเปิดไฟกับประตูทิ้งไว้ มัลคอล์มกับทาโกจะได้ไม่รู้สึกแปลกๆ ที่จะกลับเข้าไปข้างใน

มัลคอล์มยิ้มน้อยๆ ให้ผม เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรไม่เก่งเพราะผมรู้ว่าเขากำลังขวัญเสีย พวกเขาทั้งหมดนั่นแหละ ผมคงขวัญเสียเหมือนกันถ้าคนที่ตายเป็นพวกเขา

“นายปลุกฟรานซิสได้จริงๆ เหรอ” ผมถาม

“ใช่”

มันเป็นไปได้นะที่ผมจะตายด้วยน้ำมือของพ่อบุญธรรมของผมเอง ถ้าคุณไม่ใช่นาฬิกาปลุกของเขา คุณก็ไม่ควรไปปลุกให้เขาตื่น

ผมตามมัลคอล์มลงไปข้างล่าง ทาโก เจนน์ ลอรี่ และฟรานซิสอยู่ที่นั่น แต่พวกเขาไม่พูดอะไร สิ่งแรกที่ผมอยากถามคือมีใครได้ยินอะไรจากเอมี่บ้างไหม ป้าเธอทำเธอเสียเวลารึเปล่า แต่ทำแบบนั้นมันไม่ถูก

ผมหวังจริงๆ ว่าเธอจะไม่เปลี่ยนใจเรื่องที่อยากมาเจอผม

ทุกอย่างจะไม่เป็นไร ผมต้องโฟกัสกับคนที่อยู่ที่นี่ก่อน

ฟรานซิสตาสว่างแล้ว เขาสวมผ้าคลุมอาบน้ำตัวโปรดตัวเดียวของเขาเหมือนเขาคือคนสำคัญที่สุดในกิจการที่สร้างเงินให้เขาเป็นกอบเป็นกำ ไม่ใช่ช่างซ่อมที่เอาเงินที่หามาได้เล็กน้อยมาลงที่พวกเรา เขาเป็นคนดีนะ แต่เขาดูบ้ามากเพราะผมของเขาตอนนี้เป็นหย่อมๆ เขาตัดเองเพื่อประหยัดเงินไม่กี่ดอลล์ ซึ่งเป็นอะไรที่โง่มากเพราะทาโกเป็นนักออกแบบทรงผม ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ทาโกคือมือหนึ่งในเมืองนี้เรื่องผมทรงไถข้างและไอ้งั่งนี่ควรเปิดร้านทำผมของตัวเองสักวันแล้วทิ้งความฝันที่อยากเป็นนักเขียนบทภาพยนตร์ไปซะ แต่ฟรานซิสผิวขาวเกินกว่าจะตัดไถข้างแล้วออกมาสวยอยู่ดี

เจนน์ ลอรี่เช็ดน้ำตาด้วยคอเสื้อของเสื้อยืดมหา’ลัยที่เก่าแล้วของเธอก่อนใส่แว่นตาอีกรอบ เธอนั่งหมิ่นๆ อยู่บนขอบเก้าอี้เหมือนตอนที่เราดูหนังสยองขวัญเรื่องโปรดของทาโก แล้วเธอก็ลุกขึ้นเหมือนตอนนั้น แต่ไม่ได้เป็นเพราะปรากฏการณ์ไฟลุกน่าเกลียดน่ากลัว เธอกอดผมและร้องไห้กับไหล่ของผม นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกอดผมตั้งแต่ได้รับการแจ้งเตือนและผมไม่อยากให้เธอปล่อย แต่ผมต้องเดินหน้าต่อ เจนน์ยืนอยู่ข้างผมในขณะที่ผมจ้องพื้น

“ไม่ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปคนหนึ่งเลย จริงไหม” ไม่มีใครหัวเราะ ผมยักไหล่ ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ไม่มีใครเคยสอนวิธีเตรียมทุกคนให้พร้อมสำหรับการตายของคุณนี่ โดยเฉพาะเมื่อคุณอายุสิบเจ็ดและสุขภาพแข็งแรงดี พวกเราผ่านเรื่องซีเรียสมามากพอแล้วและผมอยากทำให้พวกเขาหัวเราะ “เป่ายิงฉุบกันไหม”

ผมชนหมัดกับฝ่ามือตัวเองแล้วออกกรรไกรอยู่คนเดียว ผมลองอีกครั้ง คราวนี้ผมออกค้อน แต่ก็ยังไม่มีใครเล่นกับผม “ไม่เอาน่า ทุกคน” ผมเล่นอีกรอบ แล้วมัลคอล์มก็ออกกระดาษใส่กรรไกรของผม ต้องใช้เวลาอีกนาทีหนึ่ง แต่เราก็เล่นได้หลายตา ชนะฟรานซิสกับเจนน์ ลอรี่น่ะไม่ยากอยู่แล้ว ผมเล่นกับทาโกแล้วค้อนก็ชนะกรรไกร

“เอาใหม่” มัลคอล์มบอก “ทาโกเปลี่ยนจากกระดาษเป็นค้อนตอนสุดท้าย”

“พวก ในบรรดาวันทั้งหมดที่จะโกงรูฟ ทำไมฉันถึงจะเลือกวันนี้วะ” ทาโกส่ายหน้า

ผมผลักทาโกหยอกๆ “เพราะนายมันเฮงซวยไง”

เสียงกริ่งประตูดังขึ้น

ผมพุ่งไปที่ประตู ใจเต้นรัวจนจะบ้า ผมเปิดประตูออก หน้าเอมี่แดงก่ำจนผมแทบแยกปานดวงใหญ่บนแก้มเธอไม่ออก

“ล้อกันเล่นรึไง” เอมี่ถาม

ผมส่ายหน้า “ฉันเปิดตราประทับวันและเวลาในมือถือให้เธอดูได้นะ”

“ฉันไม่ได้พูดถึงวันสุดท้ายของนาย” เอมี่พูด “นี่ต่างหาก” เธอก้าวไปด้านข้างแล้วชี้ไปที่ปลายบันได…ไปที่เพ็คและใบหน้าเสียโฉมของเขา คนที่ผมเคยบอกแล้วว่าไม่อยากเจออีกตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่

 

มาเทโอ

2:02 .

ผมไม่รู้ว่ามีแอ็กเคาต์เพื่อนคนสุดท้ายที่กำลังใช้งานอยู่กี่แอ็กเคาต์ในโลก แต่แค่นิวยอร์กที่เดียวก็สี่สิบสองแอ็กเคาต์แล้วตอนนี้ และการดูผู้ใช้งานพวกนี้ให้ความรู้สึกเหมือนผมอยู่ในหอประชุมตอน ม.ปลาย ในวันแรกของการเรียน มีแรงกดดันเหมือนกันและผมไม่รู้จะเริ่มยังไง…จนผมได้รับข้อความ

มีจดหมายสีฟ้าสว่างในกล่องขาเข้าของผม มันสว่างเป็นจังหวะ รอให้ผมเปิดอ่าน ข้อความไม่มีหัวข้อ มีแค่ข้อมูลพื้นฐาน เวนดี้ แม กรีน อายุ 19 ปี เพศหญิง แมนฮัตตัน นิวยอร์ก (ห่างไป 2 ไมล์) ผมคลิกดูโพรไฟล์ของเธอ เธอไม่ใช่เดกเกอร์ แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ดึกเพื่อปลอบโยนเดกเกอร์สักคน เธออธิบายตัวเองในประวัติว่าเธอเป็น ‘หนอนหนังสือที่คลั่งทุกอย่างเกี่ยวกับสกอร์เปียสฮอว์ธอร์น’ เธอน่าจะทักมาหาผมเพราะความสนใจของเราเหมือนกัน เธอชอบเดินเล่นเหมือนกันด้วย ‘โดยเฉพาะตอนที่อากาศดีมากช่วงปลายพฤษภา’ ผมอยู่ไม่ถึงช่วงปลายพฤษภาแน่นอน เวนดี้ แม ผมสงสัยจังว่าเธอใช้ประวัตินี้มานานแค่ไหนแล้วและเคยมีใครบอกเธอไหมว่าการพูดถึงอนาคตแบบนั้นอาจทำให้เดกเกอร์บางคนโกรธ เธออาจถูกเข้าใจผิดว่ากำลังอวดว่าเธอยังมีชีวิตเหลือให้ใช้อยู่ ผมเลื่อนผ่านมันไปแล้วกดดูรูปเธอ เธอดูนิสัยดีนะ…ผิวสีอ่อน ผมสีน้ำตาล เจาะจมูก ยิ้มกว้าง ผมเปิดดูข้อความ

 

เวนดี้ แม ก. (2:02 .) : ไง มาเทโอ รสนิยมในการอ่านหนังสือของนายดีนะเนี่ย นายต้องอยากมีคาถาหยุดความตายแน่เลย ใช่มะ??

 

ผมมั่นใจว่าเธอพูดด้วยความหวังดี แต่ทั้งในประวัติของเธอและข้อความนี้ มันเหมือนเธอกำลังพูดแทงใจดำแทนที่จะตบหลังปลอบผมอย่างที่ผมหวังไว้ แต่ผมจะไม่ทำตัวหยาบคายใส่เธอหรอก

 

มาเทโอ ท. (2:03 .) : เฮ้ เวนดี้ แม ขอบใจนะ รสนิยมในการอ่านหนังสือของเธอก็ดีเหมือนกัน

เวนดี้ แม ก. (2:03 .) : สกอร์เปียสฮอว์ธอร์นตลอดไป…นายเป็นไงมั่ง

มาเทโอ ท. (2:03 .) : ไม่ดีเท่าไหร่ ฉันไม่อยากออกไปจากห้องตัวเอง แต่ก็รู้ว่าต้องออกไปอยู่ดี

เวนดี้ แม ก. (2:03 .) : โทรแจ้งเตือนเป็นไงมั่งอะ กลัวปะ

มาเทโอ ท. (2:04 .) : สติแตกนิดหน่อย ความจริงก็ไม่หน่อยหรอก

เวนดี้ แม ก. (2:04 .) : 5555 นายตลกอะ น่ารักด้วยนะเนี่ย พ่อแม่นายคงสติแตกเหมือนกันใช่ปะ

มาเทโอ ท. (2:05 .) : ฉันไม่ได้อยากทำตัวหยาบคายนะ แต่ฉันต้องไปแล้ว ขอให้มีคืนที่ดีนะ เวนดี้ แม

เวนดี้ แม ก. (2:05 .) : อะไรนะ ทำไมคนใกล้ตายอย่างพวกนายถึงหยุดคุยกับฉันตลอดเลยอะ

มาเทโอ ท. (2:05 .) : ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ยากหน่อยที่พ่อแม่ฉันจะสติแตกเพราะแม่ฉันไม่อยู่แล้ว ส่วนพ่อฉันอยู่ในอาการโคม่า

เวนดี้ แม ก. (2:05 .) : แล้วฉันจะไปรู้ได้ไง

มาเทโอ ท. (2:05 .) : ฉันเขียนไว้ในโพรไฟล์

เวนดี้ แม ก. (2:05 .) : โอเค ช่างเหอะ บ้านนายต้อนรับแขกไหมล่ะ ฉันจะเสียซิงให้แฟนฉันแต่อยากฝึกก่อนอะ นายอาจช่วยฉันได้ก็ได้นะ

 

ผมกดออกตอนเธอกำลังพิมพ์อีกข้อความแล้วบล็อกเธอไปเลย ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกขาดความมั่นใจของเธอนะ และผมก็รู้สึกแย่กับเธอแล้วก็แฟนของเธอด้วยถ้าเธอหาทางนอกใจเขาจนได้น่ะ แต่ผมไม่ใช่นักสร้างปาฏิหาริย์ ผมได้รับข้อความเพิ่มอีก มีหัวข้อตามนี้

 

หัวข้อ : กัญชาไหม

เควินกับเคลลี่ อายุ 21 ปี เพศชาย

บรองซ์ นิวยอร์ก (ห่างไป 4 ไมล์)

เป็นเดกเกอร์ไหม ไม่

 

หัวข้อ : เสียใจด้วยนะครับ มาเทโอ (เป็นชื่อที่ดีมากเลย)

ฟิลลี่ ไบเซอร์ อายุ 24 ปี เพศชาย

แมนฮัตตัน นิวยอร์ก (ห่างไป 3 ไมล์)

เป็นเดกเกอร์ไหม ไม่

 

หัวข้อ : ขายโซฟาไหม สภาพยังดีรึเปล่า

จ. มาร์ค อายุ 26 ปี เพศชาย

แมนฮัตตัน นิวยอร์ก (ห่างไป 1 ไมล์)

เป็นเดกเกอร์ไหม ไม่

 

หัวข้อ : การตายแม่งห่วยเนอะ

แอล ร. อายุ 20 ปี เพศหญิง

แมนฮัตตัน นิวยอร์ก (ห่างไป 3 ไมล์)

เป็นเดกเกอร์ไหม ใช่

 

ผมข้ามข้อความของเควินกับเคลลี่ไปเลยเพราะไม่ได้อยากสูบกัญชา ต่อด้วยลบข้อความของ จ. มาร์คทิ้งเพราะผมไม่ขายโซฟาที่พ่อยังต้องใช้งีบช่วงสุดสัปดาห์หรอก ผมจะตอบข้อความของฟิลลี่เพราะมันขึ้นมาก่อน

 

ฟิลลี่ บ. (2:06 .) : เฮ้ มาเทโอ เป็นไงบ้าง

มาเทโอ ท. (2:08 .) : เฮ้ ฟิลลี่ มันจะฟังดูน่าเบื่อไหมถ้าจะบอกว่าผมยังสู้อยู่

ฟิลลี่ บ. (2:08 .) : ไม่หรอก ผมแน่ใจว่ามันต้องยากสำหรับคุณมากแน่ๆ ไม่อยากนึกถึงวันที่เดธแคสต์จะโทรมาหาผมเลย คุณป่วยรึเปล่า คุณยังเด็กเกินกว่าจะตายนะ

มาเทโอ ท. (2:09 .) : ผมแข็งแรงดี ผมกลัวตอนที่มันจะเกิดขึ้นมากเลย แต่ผมกังวลว่าจะทำให้ตัวเองผิดหวังถ้าผมไม่ออกไปข้างนอก ผมไม่อยากตายในนี้แล้วทำอพาร์ตเมนต์เหม็นแน่นอนล่ะ

ฟิลลี่ บ. (2:09 .) : เรื่องนั้นผมช่วยคุณได้นะ มาเทโอ

มาเทโอ ท. (2:09 .) : ช่วยเรื่องอะไร

ฟิลลี่ บ. (2:09 .) : ช่วยให้คุณไม่ตาย

มาเทโอ ท. (2:09 .) : ไม่มีใครทำแบบนั้นได้หรอก

ฟิลลี่ บ. (2:10 .) : ผมไง คุณดูเป็นคนที่เจ๋งดีและยังไม่สมควรตาย เพราะงั้นคุณควรมาที่อพาร์ตเมนต์ผม แต่รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะ ผมน่ะมียาขจัดความตายอยู่ในกางเกงของผมล่ะ

 

ผมบล็อกฟิลลี่แล้วเปิดข้อความของแอล ครั้งที่สามนี่น่าจะโอเคแล้วนะ

รูฟัส

2:21 .

เอมี่พุ่งใส่ผมแล้วผลักผมกระแทกตู้เย็น เธอไม่ทำเป็นเล่นเวลาต้องใช้กำลังเพราะพ่อแม่เธอเล่นใหญ่มากตอนจับมือกันปล้นร้านสะดวกซื้อ พวกเขาทำร้ายร่างกายเจ้าของร้านกับลูกชายวัยยี่สิบปีของเขา แต่เอมี่จะไม่ถูกจับเข้าคุกเหมือนพ่อแม่เธอแค่เพราะผลักผมหรอก

“ดูเขาสิ รูฟัส นายแม่งคิดอะไรอยู่วะ”

ผมไม่ยอมมองเพ็คที่ยืนพิงเคาน์เตอร์ครัวอยู่ เห็นแล้วว่าผมทำหน้าเขาเละขนาดไหนตอนเขาเดินเข้ามาข้างใน…ตาข้างหนึ่งปิด ปากแตก เลือดแห้งกรังเป็นจุดๆ บนหน้าผากบวมเป่ง เจนน์ ลอรี่อยู่ข้างๆ เขาและเอาน้ำแข็งประคบหน้าผากให้ ผมมองเธอไม่ได้เหมือนกัน เพราะเธอผิดหวังในตัวผมมากๆ ไม่ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของผมหรือไม่ก็ตาม ทาโกกับมัลคอล์มขนาบข้างผม ไม่พูดอะไรทั้งคู่เพราะเจนน์กับฟรานซิสสวดพวกเขายับไปแล้วเรื่องที่ออกไปข้างนอกกับผมหลังเวลานอนเพื่อไปดักซ้อมเพ็ค

“ไม่รู้สึกกล้าเท่าไหร่แล้วสินะ” เพ็คถาม

“หุบปากซะ” เอมี่หมุนตัวขวับแล้วกระแทกมือถือลงกับเคาน์เตอร์ ทำเอาทุกคนสะดุ้ง “อย่าตามเรามานะ” เธอผลักประตูห้องครัวออก แล้วฟรานซิสก็มาทำเป็นยืนอยู่ตรงบันไดอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่ จะได้รู้เรื่องด้วย แต่ก็รักษาระยะห่างไว้เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องทำให้เดกเกอร์อับอายหรือว่าลงโทษเดกเกอร์

เอมี่จับข้อมือผมลากเข้ามาในห้องนั่งเล่น “คือยังไง เพราะเดธแคสต์โทรหานาย นายเลยมีอิสระที่จะไปซัดใครที่ไหนก็ได้งั้นเหรอ”

ผมเดาว่าเพ็คไม่ได้บอกเธอว่าผมซ้อมเขาก่อนได้รับการแจ้งเตือน “ฉัน…”

“อะไร”

“โกหกไปก็เท่านั้น ฉันไปดักซ้อมเขาจริงๆ”

เอมี่ถอยหลังไปก้าวหนึ่งเหมือนผมเป็นสัตว์ประหลาดที่อาจโจมตีเธอเป็นรายต่อไป และนั่นทำให้ผมเจ็บมาก

“ฟังนะ เอมส์ ตอนนั้นฉันสติหลุด ฉันรู้สึกว่าตัวเองไร้อนาคตตั้งแต่ก่อนที่เดธแคสต์จะปล่อยระเบิดมือลงบนตักฉันแล้ว เกรดฉันห่วยมาตลอด ฉันใกล้จะสิบแปดแล้ว ฉันเสียเธอไป และฉันทำอะไรบ้าๆ ลงไปเพราะตอนนั้นฉันไม่รู้แล้วว่าจะทำยังไงดี ฉันรู้สึกเหมือนคนไม่มีค่าอะไรเลยและเพ็คแม่งก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน”

“นายไม่ได้เป็นคนไม่มีค่านะ” เอมี่พูด ตัวเธอสั่นเล็กน้อยตอนเดินเข้ามาหาผม ไม่กลัวผมแล้ว เธอจับมือผม แล้วเราก็นั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับตอนที่เธอบอกผมว่าเธอจะไปจากพลูโตแล้วเพราะป้าฝั่งแม่ของเธอมีเงินพอที่จะรับเธอไปอยู่ด้วย แล้วนาทีต่อมาเธอก็บอกเลิกผมเพราะเธออยากเริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง ซึ่งเป็นเคล็ดลับห่วยๆ จากเพื่อนร่วมห้องสมัยประถมของเธอ…เพ็ค “เรื่องของเรามันไม่สมเหตุสมผลอีกแล้ว อย่างที่นายบอกนั่นแหละ โกหกไปก็เท่านั้น ต่อให้นี่เป็นวันสุดท้ายของนายก็เถอะ” เธอจับมือผมไว้และร้องไห้ ตอนแรกผมคิดว่าเธอจะไม่ร้องเพราะเธอดูโกรธมากตอนมาถึงที่นี่ “ฉันเข้าใจความรักของเราผิดไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันไม่ได้รักนาย นายอยู่กับฉันเวลาที่ฉันต้องปลดปล่อยอารมณ์และโมโหออกมา และนายทำให้ฉันมีความสุขตอนที่ฉันทนเกลียดทุกสิ่งทุกอย่างไม่ไหวแล้ว ไม่มีใครทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกแบบนั้นทั้งหมดได้หรอกนะ” เธอกอดผมแล้ววางคางลงบนไหล่ของผมแบบเดียวกับที่เธอจะวางหัวลงบนอกของผมสบายๆ ทุกครั้งที่เธอกำลังจะดูหนึ่งในสารคดีประวัติศาสตร์ของเธอ

ผมกอดเธอไว้เพราะไม่รู้จะพูดอะไรอีก ผมอยากจูบเธอ แต่ผมไม่อยากให้เธอเสแสร้งใส่ผม แต่เธออยู่ใกล้มากเลย ผมถอยออกมาเพื่อจะได้มองหน้าเธอ เพราะจูบสุดท้ายอาจเป็นจูบที่จริงใจสำหรับเธอด้วยเหมือนกัน เธอจ้องผม แล้วผมก็โน้มลง…

ทาโกเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้วยกมือปิดตาตัวเอง “โอ้! โทษที”

ผมถอยออกมา “ไม่เป็นไร”

“เราควรเริ่มงานศพได้แล้ว” ทาโกพูด “แต่ไม่ต้องรีบก็ได้ วันนี้เป็นวันของนาย โทษที มันไม่ใช่วันของนาย มันไม่เหมือนวันเกิดซะหน่อย แต่เป็นตรงกันข้ามเลย” เขากระตุก “ฉันจะไปพาทุกคนมาที่นี่นะ” เขาก้าวออกไป

“ฉันไม่อยากกั๊กนายไว้คนเดียว” เอมี่พูด เธอไม่ยอมปล่อยผม ไม่จนกระทั่งทุกคนเข้ามาหมด

ผมต้องการอ้อมกอดนั้น และตอนนี้ผมก็ตั้งตารอที่จะกอดชาวพลูโตหลังงานศพเพื่อให้มันเป็นการกอดกันครั้งสุดท้ายของระบบสุริยะพลูโต

ผมนั่งกลางโซฟา พยายามสูดลมหายใจเฮือกต่อไปเข้าปอดอย่างหนักหน่วง มัลคอล์มนั่งข้างซ้าย เอมี่นั่งข้างขวา ส่วนทาโกนั่งตรงข้างเท้าผม เพ็คเว้นระยะห่างและกำลังเล่นมือถือของเอมี่ ผมไม่ชอบเลยที่เขาเล่นมือถือของเธอ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้เพราะผมพังมือถือเขาไปแล้ว

นี่คืองานศพแบบเดกเกอร์ครั้งแรกของผม เพราะครอบครัวผมไม่สนที่จะจัดงานศพให้ตัวเองเนื่องจากพวกเรามีกันและกันและไม่ต้องการใครอีก ไม่ว่าจะเพื่อนร่วมงานหรือบรรดาเพื่อนเก่า บางทีถ้าผมได้ไปร่วมงานของคนอื่นบ้าง ผมคงพร้อมรับมือกับการที่เจนน์ ลอรี่พูดกับผมโดยตรงและไม่ได้พูดกับผู้ร่วมงานคนอื่นแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกเปราะบางและเปล่าเปลือย แถมยังทำให้ผมน้ำตาคลออีก เหมือนเวลามีใครร้อง ‘แฮปปี้เบิร์ธเดย์’ ให้ผม…จริงๆ นะ ปีไหนก็ไม่เคยพลาด

…แต่จะไม่มีแบบนั้นแล้ว

“เธอไม่ร้องไห้ถึงแม้ว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะร้องทุกประการ เหมือนเธอกำลังพยายามพิสูจน์อะไรบางอย่าง คนอื่น…” เจนน์ ลอรี่ไม่ได้หันไปหาชาวพลูโต ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว เธอไม่หลบตาผม เหมือนเรากำลังแข่งจ้องตากันอยู่ นับถือเลย “ทุกคนร้องไห้กันหมด แต่ตาของเธอดูเศร้ามาก รูฟัส เธอไม่มองพวกเราเลยอยู่สองสามวัน จนฉันคิดว่าถ้ามีใครปลอมเป็นฉันเธอก็คงไม่รู้ ความว่างเปล่าที่เธอรู้สึกมันหนาหนักจนกระทั่งเธอมีเพื่อน และคนอื่นๆ อีก”

ผมหันไปด้านข้าง เอมี่ไม่ละสายตาไปจากผม…เธอดูเศร้าเหมือนตอนที่บอกเลิกผมเลย

“ฉันรู้สึกดีเสมอเวลาพวกนายทุกคนอยู่ด้วยกัน” ฟรานซิสพูด

เขาจะไม่พูดถึงเรื่องคืนนี้ ผมรู้ การตายแม่งโคตรห่วย แหงล่ะ แต่การโดนจับขังคุกในขณะที่ชีวิตของคนอื่นดำเนินต่อไปโดยไม่มีคุณคงแย่กว่าเยอะ

ฟรานซิสยังคงจ้องผมแต่ไม่พูดอะไรอีก “เราไม่ได้มีเวลาทั้งวัน” เขาโบกมือไปหามัลคอล์ม “ตานายแล้ว”

มัลคอล์มเดินมาตรงกลางห้อง หันหลังค่อมๆ ของเขาให้ห้องครัว เขากระแอม และมันแรงมาก อย่างกับมีอะไรไปติดในหลอดลมของเขา แล้วน้ำลายก็กระเซ็นออกมาจากปากเขานิดหน่อย เขาเป็นคนที่ดูเลอะเทอะมาตลอด เป็นคนประเภทที่ทำให้คุณอายโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะมารยาทบนโต๊ะอาหารเขาไม่ค่อยดีและไม่คิดกรองคำพูดตัวเองให้ดีก่อนพูดออกมา แต่เขาก็ติววิชาพีชคณิตและเก็บความลับให้คุณได้เหมือนกัน และนั่นจะเป็นเรื่องที่ผมจะพูดถึงถ้าผมได้กล่าวคำไว้อาลัยให้เขา “นายเคยเป็น…นายเป็นพี่น้องของเรา รูฟ นี่มันเหลวไหลทั้งเพ โคตรเหลวไหลเลยแม่ง” เขาก้มหน้าต่ำและแคะเล็บมือซ้ายของตัวเองไปด้วย “พวกเขาควรเอาฉันไปแทน”

“อย่าพูดแบบนั้นน่า จริงๆ นะ เงียบไปเลย”

“ฉันพูดจริงนะ” เขาบอก “ฉันรู้ว่าไม่มีใครอยู่ไปตลอดหรอก แต่นายควรได้อยู่นานกว่าคนอื่น นายสำคัญกว่าคนอื่นๆ นี่แหละชีวิต ฉันมันก็แค่ไอ้คนตัวใหญ่ไร้ประโยชน์ที่ทำงานเป็นคนเอาของใส่ถุงในซูเปอร์มาร์เก็ตยังไม่รอดเลย ส่วนนาย…”

“กำลังจะตาย!” ผมขัดแล้วลุกขึ้นยืน ผมเลือดขึ้นหน้าแล้วต่อยแขนเขาอย่างแรง ไม่ขอโทษด้วย “ฉันกำลังจะตายและเราแลกเปลี่ยนชีวิตกันไม่ได้ นายไม่ใช่ไอ้คนตัวใหญ่ไร้ประโยชน์ แต่ถึงยังไงนายก็ยังพัฒนาตัวเองได้โว้ย”

ทาโกยืนขึ้น เขานวดคอตัวเองและพยายามห้ามไม่ให้ตัวเขากระตุก “รูฟ ฉันจะคิดถึงเวลานายทำให้พวกเราหุบปากแบบนี้ นายหยุดไม่ให้ฉันฆ่ามัลคอล์มทุกครั้งที่เขาแย่งอาหารในจานของเราและไม่ยอมกดชักโครกสองครั้ง ฉันพร้อมที่จะเห็นหน้านายไปจนเราแก่เฒ่าเลย” ทาโกถอดแว่นแล้วเช็ดน้ำตาด้วยหลังมือ ก่อนจะกำมือข้างนั้นแน่น เขาเงยหน้าขึ้นเหมือนกำลังรอให้พินญาตา แห่งความตายหย่อนลงมาจากเพดาน “นายควรเป็นคนที่จะอยู่ไปอีกนาน”

ไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาแค่ร้องไห้หนักกว่าเดิม เสียงของทุกคนที่กำลังโศกเศร้าเพราะผมกำลังจะตายก่อนที่ผมจะจากไปจริงๆ ทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว ผมอยากปลอบพวกเขานะ แต่ผมดึงตัวเองออกจากความงงงันไม่ได้ ผมใช้เวลามากมายไปกับการรู้สึกผิดที่ยังมีชีวิตอยู่หลังจากเสียครอบครัวไป แต่ตอนนี้ผมกลับเอาชนะความรู้สึกผิดอันแปลกประหลาดของเดกเกอร์ที่ตัวเองกำลังจะตายไม่ได้เลย พอรู้ว่าผมต้องทิ้งคนกลุ่มนี้ไว้ข้างหลัง

เอมี่ก้าวมาตรงกลาง แล้วเราทุกคนก็รู้ว่าตอนนี้จะเป็นของจริงแล้ว จริงอย่างทารุณเลย “มันจะฟังดูน่าเบื่อไหมถ้าจะบอกว่าฉันคิดว่ากำลังติดอยู่ในฝันร้าย ฉันคิดมาตลอดว่าทุกคนน่ะเว่อร์เกินไปเวลาพวกเขาพูดว่า ‘เหมือนเป็นฝันร้ายเลย’ คือ ถามจริง รู้สึกแค่นั้นเองเหรอเวลามีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นน่ะ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าอยากให้พวกเขารู้สึกยังไงตอนนั้น แต่ตอนนี้บอกเลยว่าพวกเขาพูดถูกแล้ว ไงก็เถอะ ฉันมีคำพูดซ้ำซากจำเจให้นายอีกอย่าง คือฉันอยากตื่น แต่ถ้าฉันตื่นขึ้นมาไม่ได้ ฉันก็อยากหลับไปตลอด จะได้มีโอกาสฝันถึงสิ่งสวยงามทุกอย่างเกี่ยวกับตัวนาย อย่างสายตาที่นายมองมาที่ตัวตนของฉันจริงๆ ไม่ใช่เพราะอยากจ้องรอยปานบนหน้าฉัน”

เอมี่แตะที่หัวใจของเธอแล้วเค้นคำพูดต่อไปออกมา “มันเจ็บมากเลยนะรูฟัส พอคิดว่านายจะไม่อยู่ให้ฉันโทรหาหรือกอดอีกแล้ว และ…” เธอหยุดมองผมแล้ว เธอกำลังหรี่ตามองอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างหลังผม แล้วมือเธอก็ตกลงข้างลำตัว “มีคนโทรแจ้งตำรวจเหรอ”

ผมกระโดดลุกขึ้นจากโซฟาก่อนจะเห็นแสงไฟสีแดงสลับน้ำเงินส่องวาบอยู่หน้าดูเพล็กซ์ ผมเข้าสู่โหมดแพนิกขั้นสุดที่ดูเหมือนเกิดแค่แป๊บเดียวแต่ก็โคตรจะยาวนาน นานเหมือนเวลาชั่วนิรันดร์ผ่านไปแล้วแปดครั้ง มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้ดูประหลาดใจหรือสติแตกเลย ผมหันไปมองเอมี่ แล้วเอมี่ก็มองตามผมไปที่เพ็ค

“นี่นาย” เอมี่พูด เธอพุ่งไปหาเขาแล้วคว้ามือถือของเธอกลับมา

“เขาทำร้ายฉันนะ!” เพ็คตะโกน “ฉันไม่สนหรอกต่อให้เขากำลังจะตายน่ะ!”

“เขาไม่ใช่เนื้อหมดอายุนะ เขาคือคนคนหนึ่ง!” เอมี่ตะโกนกลับ

เชี่ยเอ๊ย ผมไม่รู้ว่าเพ็คทำได้ยังไง เพราะเขาไม่ได้โทรหาใครเลยตอนอยู่ที่นี่ แต่เขาแจ้งตำรวจมาจับผมในงานศพของผมเอง ผมล่ะหวังว่าเดธแคสต์จะโทรหาไอ้เวรนี่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

“ไปออกประตูหลัง” ทาโกบอก ตัวเขากระตุกอย่างรุนแรง

“พวกนายต้องไปกับฉัน เพราะพวกนายก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน”

“เราจะถ่วงเวลาไว้” มัลคอล์มพูด “เราจะพูดกล่อมพวกเขา”

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

เจนน์ ลอรี่ชี้ไปที่ห้องครัว “ไปได้แล้ว”

ผมคว้าหมวกกันน็อกแล้วเดินถอยหลังไปทางห้องครัว มองชาวพลูโตทุกคนอยู่ครู่หนึ่ง พ่อผมเคยบอกว่าการบอกลาคือ ‘ความเป็นไปไม่ได้ที่เป็นไปได้ที่สุด’ เพราะคุณไม่มีวันอยากพูดมันออกมาหรอก แต่ถ้ามีโอกาสแล้วไม่ยอมพูดก็โง่แล้ว ผมโดนโกงโอกาสที่จะบอกลาทุกคนไปเพราะมีแขกไม่ได้รับเชิญโผล่มาในงานศพของผมเอง

ผมส่ายหน้าแล้ววิ่งออกไปด้านหลัง หอบหายใจ ก่อนจะพุ่งฝ่าสวนหลังบ้านที่เราทุกคนเกลียดเพราะมียุงมีแมลงหวี่อยู่เต็มไปหมด แล้วกระโดดข้ามรั้วไป ผมแอบอ้อมไปหน้าบ้านเพื่อดูว่ายังมีโอกาสที่จะคว้าจักรยานมาได้ไหมก่อนต้องวิ่งหนีไปด้วยเท้าของผมเอง รถตำรวจจอดอยู่ข้างนอก ตำรวจทั้งสองนายต้องอยู่ข้างในแน่ๆ อาจจะไปถึงสวนหลังบ้านแล้วด้วยซ้ำถ้าเพ็คบอกพวกเขา ผมคว้าจักรยานแล้วจูงมันวิ่งบนทางเท้า ก่อนจะกระโดดขึ้นคร่อมตอนผมมีโมเมนตัมมากพอ

ผมไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน แต่ผมก็ปั่นไปเรื่อยๆ

ผมมีชีวิตรอดผ่านงานศพตัวเองมาได้ แต่ผมหวังให้ตัวเองตายไปแล้ว

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: