ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16

หน้าที่แล้ว1 of 17

บทนำ

ค่ำคืนยามจื่อ ดวงดาราที่แต่งแต้มม่านฟ้าดำสนิทดั่งหยาดฝนอันพร่างพราย จันทร์กระจ่างวงหนึ่งแขวนอยู่กลางท้องนภา

มหาคีรีอันดับหนึ่งแห่งต้าตง…เขาชังหมัง (เวิ้งว้าง) ภายใต้การสาดส่องของดวงดาวและดวงเดือน เขาชังหมังประหนึ่งภูผาหยกสูงชันที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือที่ราบฉีอวิ๋น แสงจันทร์ดุจแพรสีเงินโปร่งบางที่คลุมลงมา ขับให้เขาชังหมังดูสูงศักดิ์เลิศลอยสมกับสมัญญา ‘ราชันแห่งขุนเขา’

ณ ยอดเขาสูงล้ำ บัดนี้มีผู้เฒ่าสองคนกำลังนั่งประจันหน้ากันอยู่ คนหนึ่งสวมอาภรณ์ขาว คนหนึ่งสวมอาภรณ์ดำ ล้วนแต่อายุราวห้าสิบ ใบหน้าซูบตอบ ตรงกลางระหว่างทั้งสองคือศิลาสัณฐานสี่เหลี่ยมขนาดเขื่องก้อนหนึ่ง ด้านบนถูกเจียนจนเรียบเสมอกัน จารสลักเป็นกระดานหมาก บนกระดานฝังก้อนศิลาขนาดเล็กไว้แน่นขนัด ข้างกายคนทั้งสองมีศิลาก้อนใหญ่ตั้งอยู่ฝั่งละสามสี่ก้อน เมื่อใดต้องการวางหมากก็บิออกจากศิลาก้อนใหญ่ ฉวยจังหวะที่ศิลาอยู่ในมือถูคลึงสักหน่อย ศิลานั้นก็จะกลายเป็นตัวหมากกลมแบน หากถึงคราลงหมาก ตัวหมากก็จะฝังลงในกระดานศิลาหนึ่งชุ่น โผล่ขึ้นมาหนึ่งชุ่น ไม่ผิดเพี้ยนสักกระเบียด

บนกระดาน หมากได้เดินไปครึ่งหนึ่งแล้ว ทั้งสองฝ่ายก้ำกึ่งสูสี กวางจักสิ้นในมือผู้ใด ยังไม่ประจักษ์

“ดาวเดือนที่สุกสกาวถึงเพียงนี้ไม่ได้พบมานานนักหนาแล้ว” ดวงตาแฝงรอยครุ่นคิดของผู้เฒ่าอาภรณ์ขาวพลันละจากกระดาน เขาเงยหน้าแหงนมองดวงจันทร์และดวงดาวดาษฟ้าอย่างสะทกสะท้อนใจ

“กลียุคเสื่อมทรามก็ยากที่จะสุกสกาว” ผู้เฒ่าอาภรณ์ดำเคลื่อนสายตาไปยังห้วงฟ้ายามราตรี “พ้นยามจื่อแล้ว ควรมาได้แล้วกระมัง” ในน้ำเสียงแฝงเศษเสี้ยวแห่งการเฝ้ารอวาดหวัง

สิ้นเสียงท่านผู้เฒ่า บนม่านฟ้าก็พลันบังเกิดแสงโชติช่วง ดาวอันเจิดจ้าดวงหนึ่งเคลื่อนผ่านเวหา วินาทีนั้นแสงดาวสาดทะลวงเก้าชั้นฟ้า ถึงกับกลบรัศมีแห่งเดือนเด่นดวงนั้น ส่องให้ฟ้าดินสว่างไสวในพริบตา

“ปรากฏแล้ว…ในที่สุดก็ปรากฏแล้ว!” ดวงตาสงบนิ่งของผู้เฒ่าอาภรณ์ขาวมีแววตื่นเต้นโถมทะลักออกมาทันใด

ทว่าในเวลานี้เอง บนม่านฟ้าก็มีดาวอีกดวงหนึ่งเคลื่อนผ่าน มันส่องแสงเรืองโรจน์จับตา สว่างอย่างอหังการราวกับทั่วทั้งฟ้าดินมีที่ให้มันเป็นดาวได้เพียงดวงเดียว

“ดูนั่น! ดังคาด…ปรากฏเช่นกันดังคาด!” ใบหน้าซูบตอบของผู้เฒ่าอาภรณ์ดำฉายแววกระชุ่มกระชวยอันมิอาจระงับ

“พวกมัน…มาแล้วในที่สุด” ผู้เฒ่าอาภรณ์ขาวยืดกายขึ้น มองดวงดาราทั้งสองที่สุกสว่างประชันกับดวงเดือน

“ฉะนั้น…ในที่สุดกลียุคนี้ก็จะปิดฉากแล้ว” ผู้เฒ่าอาภรณ์ดำหยัดกายขึ้นยืนเคียงไหล่กับผู้เฒ่าอาภรณ์ขาว ร่วมมองดาวทั้งสองที่ประชันรัศมีบนม่านฟ้าโดยเผชิญหน้ากันอยู่ไกลๆ

“กลียุคจักสิ้นสุดด้วยมือของพวกเขา ทว่าเก้าชั้นฟ้าเบื้องบนกลับลิขิตให้เหลือดาวราชันเพียงดวงเดียว เมื่อดารามาบรรจบ ผู้ใดอยู่ผู้ใดม้วย?” ผู้เฒ่าอาภรณ์ขาวชูมือขึ้นสูงประหนึ่งจะลูบไล้ดวงดาวบนขอบฟ้า ในน้ำเสียงทั้งตื่นเต้นทั้งเคลือบแคลงกังวลในอนาคตซึ่งไม่อาจจับต้อง

ดวงดาวเรืองรองทั้งสองกลางเวหาค่อยๆ ลดแสงชัชวาลลง ไม่เจิดจ้าดึงดูดสายตาเช่นเมื่อครู่ แต่ยังคงสุกสกาวเหนือหมู่ดาวที่รายรอบมากมายนัก

“ดาราบรรจบ ผู้ใดอยู่ผู้ใดม้วย…นั่นอาจขึ้นอยู่กับตัวพวกเขาเอง หรืออาจถูกกำหนดโดยโชคชะตา” เสียงผู้เฒ่าอาภรณ์ดำทอดยาว แผ่วเบาวังเวงเสมือนดังมาจากบรรพกาล

“โชคชะตากระนั้นหรือ…” ในดวงตาผู้เฒ่าอาภรณ์ขาวมีแววเสียดายและอาดูรวูบผ่าน

“ใช่ ซึ่งเจ้าและข้าไม่อาจกำหนดได้” ผู้เฒ่าอาภรณ์ดำลดสายตากลับสู่กระดานหมากเบื้องหน้า “หมากตานี้ยังจะเดินต่อหรือไม่”

ผู้เฒ่าอาภรณ์ขาวเก็บสายตากลับมาจากม่านนภา มองหมากที่เดินไปแล้วครึ่งหนึ่งตรงหน้า จากนั้นถึงส่ายศีรษะ “ในเมื่อเจ้าและข้าหาใช่ผู้กำหนด…เช่นนั้นไยต้องให้เจ้าและข้าเดินจนจบ” เขายกมือขึ้น ชี้ไปยังท้องฟ้าที่มีดาวพร่างพราย “รอพวกเขามาเดินเถิด”

“พวกเขา?” ผู้เฒ่าอาภรณ์ดำมองกระดานหมาก มองนภาประดับดาว ก่อนจะยิ้มจางๆ “ก็ได้ ทิ้งไว้ให้พวกเขามาเดินต่อเถิด”

ผู้เฒ่าอาภรณ์ขาวสะบัดแขนเสื้อหมุนกายไป “เราลงจากเขากันเถิด ได้เวลาที่เจ้ากับข้าควรไปหาพวกเขาแล้ว”

“อืม” ผู้เฒ่าอาภรณ์ดำก็หมุนกายจากไปเช่นกัน “หมากครึ่งกระดานนี้ให้พวกเขาเป็นผู้เดินเพื่อตัดสินผลแพ้ชนะระหว่างเรา และตัดสินว่าผืนหล้านี้…จะตกเป็นของผู้ใด”

“หึๆ…” ผู้เฒ่าอาภรณ์ขาวหัวเราะแผ่วเบาแทนคำตอบ

ทั้งสองพลิ้วร่างจากไป เหลือไว้เพียงหมากครึ่งกระดานนั้นบนยอดเขาชังหมัง

 

ในกาลต่อมา เมื่อผู้ปีนขึ้นเขาชังหมังพบว่าบนยอดเขามีกระดานหมากเยี่ยงนี้ก็ล้วนหลากใจ ทว่าหาได้มีผู้ใดแตะต้องมันไม่ ผู้สามารถขึ้นไปถึงยอดมหาคีรีอันดับหนึ่งแห่งต้าตงมีไม่มากนัก อีกทั้งผู้ที่ปีนขึ้นไปก็หาใช่ชนชั้นธรรมดาสามัญ ในเมื่อมีผู้เดินหมากครึ่งๆ กลางๆ ไว้ ย่อมต้องมีผู้มาเดินต่อจนจบ

หลายปีให้หลัง บุคคลสองคนก็ตามรอยแห่งโชคชะตามาพบกันบนยอดเขาชังหมัง เผชิญกับหมากกระดานนี้ซึ่งโชคชะตาเก็บไว้ให้พวกเขา

และเวลาที่ผู้เฒ่าทั้งสองทิ้งกระดานหมากไว้บนยอดเขาชังหมังก็คือรัชศกจิ่งเหยียนปีที่สอง

 

นับแต่ฮ่องเต้เวยเลี่ยตี้ ก่อร่างสร้างแผ่นดินต้าตงจวบจนถึงรัชสมัยแห่งฮ่องเต้จิ่งเหยียนตี้ก็รวมเวลาได้หกร้อยกว่าปีแล้ว

แรกเริ่มเดิมทีฮ่องเต้เวยเลี่ยตี้มีพื้นเพเป็นสามัญชน มีชีวิตอยู่ในช่วงกลียุค ทว่าในอกเปี่ยมปณิธาน นำพี่น้องจำนวนหนึ่งเริ่มฝึกจากมือเปล่าหมัดเปลือยพัฒนาไปจนมีอาวุธเสื้อเกราะนับร้อยนับหมื่น ท้ายที่สุดก็รวบรวมเหล่าวีรบุรุษสถาปนาแผ่นดินสำเร็จ ตั้งชื่อสกุล ‘ตง’ เป็นนามแห่งอาณาจักร ต่อมาก็ปูนบำเหน็จตามผลงาน อวยยศขุนพลเจ็ดนายผู้มีความดีความชอบเป็นที่ประจักษ์มากที่สุดให้กินตำแหน่งอ๋อง นั่นก็คืออ๋องทั้งเจ็ดแห่งแคว้นทั้งเจ็ด…อ๋องแห่งจี้โจว หวงที่ อ๋องแห่งหมิ่นโจว นิ่งจิ้งหย่วน อ๋องแห่งยงโจว เฟิงจี๋ อ๋องแห่งเป่ยโจว ไป๋อี้หม่า อ๋องแห่งโยวโจว ฮว่าจิงไถ อ๋องแห่งชิงโจว เฟิงตู๋อิ่ง อ๋องแห่งซังโจว หนานเพี่ยนเยวี่ย พร้อมทั้งนำโลหะสีหมึกที่ได้จากก้นทะเลเหนือมาหลอมเป็นป้ายคำสั่งสีกาฬแปดชิ้น ในแปดชิ้นนั้นชิ้นที่ใหญ่ที่สุดได้แก่ ‘ป้ายขั้วกาฬ’ ฮ่องเต้เป็นผู้ครอบครอง เจ็ดชิ้นเล็กคือ ‘ป้ายแกนกาฬ’ ที่พระราชทานให้อ๋องแห่งแคว้นทั้งเจ็ด เมื่อครั้งอวยยศพระราชทานป้ายคำสั่ง ฮ่องเต้และอ๋องทั้งเจ็ดก็ได้ใช้เลือดชโลมปากกล่าวสัตย์ปฏิญญา สาบานว่าจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยป้ายขั้วกาฬคือเจ้าเหนือหัว ป้ายแกนกาฬคือถวายความภักดีสูงสุด!

ต่อจากรัชสมัยฮ่องเต้เวยเลี่ยตี้ ฮ่องเต้ไท่ซิงตี้ ฮ่องเต้ซีหนิงตี้ ฮ่องเต้เฉิงคังตี้ ล้วนแล้วแต่เป็นองค์เหนือหัวผู้ปรีชาชาญ เปิดรับผู้มีความสามารถอย่างกว้างขวาง ใส่ใจความเป็นอยู่ของทวยราษฎร์ เกณฑ์แรงงานน้อย เก็บภาษีต่ำ ปกครองอย่างเป็นระบบระเบียบ ด้านเจ้าครองแคว้นก็ดำรงตนในหน้าที่ ภักดีต่อฮ่องเต้ บ้านเมืองจึงเข้มแข็งรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับในมือฮ่องเต้ผู้ปรีชาและขุนนางผู้มีธรรม

ครั้นถึงยุคกลางแห่งราชวงศ์ ฮ่องเต้หย่งอันตี้ ฮ่องเต้เหยียนผิงตี้ ฮ่องเต้หงเหอตี้ และฮ่องเต้อื่นอีกหลายพระองค์ แม้จะมิได้ปรีชาสามารถเปี่ยมล้น แต่ยังนับว่าเป็นเจ้าเหนือหัวที่รักษาความมั่งคั่งแต่กาลก่อนให้สืบเนื่องต่อไปได้อย่างดี ครั้นถึงรัชสมัยแห่งฮ่องเต้เจินกวงตี้ ฮ่องเต้เทียนถ่งตี้ ฮ่องเต้เซิ่งลี่ตี้ กลับเป็นเจ้าเหนือหัวผู้เขลาอับปัญญาทั้งสิ้น ประสงค์เพียงแต่เสพสุขหาความสำราญ ละเลยการปกครอง ปล่อยให้เหล่าขุนนางใจคดสับปลับกุมบังเหียนบริหารบ้านเมือง ราชสำนักอันยิ่งใหญ่จึงค่อยๆ เสื่อมทรามลง

ครั้นถึงรัชสมัยฮ่องเต้เป่าชิ่งตี้ก็พิสมัยความหรูหรา ลุ่มหลงอิสตรี สั่งให้บูรณะตำหนักวิจิตรและวังเลิศหรูเป็นการใหญ่ รับหญิงงามจากทั่วหล้า อีกทั้งกระหายจะสำแดงแสนยานุภาพ จึงส่งกองทัพไปทำศึกกับอาณาจักรเหมิงเฉิงสองครา และก็ล้วนแต่ปราชัยย่อยยับกลับมา พอกระทำจนพระคลังร่อยหรอ แสนยานุภาพสูญสิ้น ราษฎรหมดทางทำกิน เสียงครวญดังระงมทั้งสี่ทิศ เจ้าครองแคว้นจึงเริ่มมีใจออกห่าง เริ่มจากอ๋องแห่งหมิ่นโจวนำทัพขึ้นลุกฮือ ประสงค์จะชิงอำนาจ ทว่าฮ่องเต้เป่าชิ่งตี้มิทันรอให้กองทัพของผู้แซ่นิ่งบุกถึงนครหลวง ร่างกายซึ่งผุกร่อนด้วยสุรานารีก็มีอันเสื่อมเสียไปก่อนเพราะหวาดกลัวเกินขนาด ณ ตำหนักหลีฉือ (อาชานิลทะยาน) อันเพริศแพร้ว

ไท่จื่อ** ขึ้นสืบราชสมบัติ ใช้นามรัชศก ‘เซิ่งโย่ว’ ฮ่องเต้เซิ่งโย่วตี้อัญเชิญป้ายขั้วกาฬออกจากตำหนักหลิงเซียว (ควบเวหา) เพื่อบัญชาให้เจ้าแคว้นทั่วหล้ายกทัพรับใช้ฮ่องเต้ สุดท้ายทัพใหญ่จากหกแคว้นก็ตีทัพหมิ่นโจวแตกพ่าย หมิ่นอ๋องจนตรอกไร้หนทาง จึงเชือดคอทำอัตวินิบาตกรรม ดินแดนศักดินาในครอบครองถูกสกุลเฟิงแห่งยงโจว สกุลหวงแห่งจี้โจว และสกุลเฟิงแห่งชิงโจวผนวกรวม

หลังสยบกบฏหมิ่นอ๋อง เจ้าครองแคว้นทั้งหลายก็ลำพองในอิทธิพล แม้นฮ่องเต้เซิ่งโย่วตี้จะมีปณิธานยิ่งใหญ่ แต่ก็อับจนด้วยต้าตงกลายเป็นสรรพางค์ที่ร้อยโรครุมเร้าไปเสียแล้ว อีกทั้งยังต้องเกาทัณฑ์ในการปราบจลาจลหมิ่นอ๋อง จึงป่วยเรื้อรังอยู่บนพระแท่น ไม่ถึงสามปีก็สวรรคต เพราะยังไม่มีหน่อเนื้อเชื้อไข ดังนั้นลี่อ๋องพระอนุชาจึงขึ้นสืบราชบัลลังก์ ใช้ชื่อรัชศก ‘ฉุนซี’

ฮ่องเต้ฉุนซีตี้นิสัยเหี้ยมโหด ไม่โปรดทรัพย์ศฤงคาร ทว่าชมชอบการล่าในที่ปิดล้อม และสิ่งที่ล้อมล่าหาใช่สัตว์ป่า หากแต่เป็นมนุษย์ ฮ่องเต้ฉุนซีตี้จึงให้มนุษย์ที่ยังมีชีวิตกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ในสนามล่า จากนั้นก็นำมหาดเล็กและขุนนางเข้าป่ารกชัฏ ล่าสังหารมนุษย์เยี่ยงเดียวกับสัตว์ป่า ผู้ใดได้ศีรษะมากเป็นผู้มีชัย แม้นล่าได้มนุษย์เป็นๆ ก็จะแหวกอกผ่าท้อง ร่ำเมรัยหาความสำราญ แรกเริ่มมนุษย์ที่ถูกล้อมล่านี้เป็นเพียงนักโทษประหาร เรียกว่า ‘เหยื่อเป็น’ ภายหลังนักโทษประหารไม่เพียงพอ จึงนำนักโทษทั้งปวงในเรือนจำไม่ว่าต้องทัณฑ์สถานใดไปยังสนามล่า สุดท้ายเมื่อกระทั่งนักโทษก็ยังไม่พอ จึงจับประชาชนสามัญไปเติมให้ครบจำนวน

พฤติกรรมโหดเหี้ยมลักษณะนี้กระตุ้นความเดือดดาลไปทุกหัวระแหง แต่ละท้องที่เกิดกองกำลังผดุงคุณธรรมขึ้นเนืองๆ แต่หลังจากศึกเหมิงเฉิงสองครา ตามด้วยจลาจลหมิ่นอ๋อง ทัพหลวงใต้อาณัติของฮ่องเต้ก็จวนจะสิ้นสลายอยู่รอมร่อ ฮ่องเต้ฉุนซีตี้จึงมีแต่ต้องเชิญบรรดาเจ้าแคว้นให้ยกทัพมาปราบปราม ดังนั้นเหล่าอ๋องผู้ครองแคว้นจึงอาศัยโอกาสนี้รวบรวมทหารซื้ออาชาอย่างเปิดเผย รบพุ่งประหัตประหารเพื่อขยายเขตแดนและความมั่งคั่งของตน นอกจากนี้บางคราก็ยังทำศึกบีฑากันเอง ส่วนฮ่องเต้ก็ไร้ซึ่งกำลังจะควบคุมแต่ละแคว้นเสียแล้ว

รัชศกฉุนซีที่สิบเอ็ด ขณะฮ่องเต้ออกล่า ณ สนามล่าชิวจี๋ซึ่งอยู่ชานเมือง ในที่สุดเหล่าเหยื่อเป็นที่ทนถูกทารุณกรรมไม่ไหวก็รวมตัวกันลุกฮือขึ้นสังหารฮ่องเต้สำเร็จ ภายหลังพวกเขามุ่งหน้าต่อไปยังนครหลวงอันเป็นสถานพำนักแห่งเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูง ตลอดทางมีประชาชนแห่เข้ามาร่วมล้นหลาม ในเวลาอันสั้นก็รวมตัวกันเป็นกองกำลังผดุงคุณธรรมจำนวนหลายพัน บุกสู่นครหลวงอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ทะลวงเข้าวังหลวงอันหรูหราวิจิตร…แม้ท้ายที่สุดจะถูกสมุหราชองครักษ์นามตงซูฟั่งปราบปราม ทว่าเหตุเคลื่อนไหวต่อต้านครั้งนี้ก็ได้รับการจารึกอย่างแจ่มชัดลงสู่บันทึกประวัติศาสตร์ โดยเรียกขานว่า ‘กบฏสนามล่าชิวจี๋’

เมื่อฮ่องเต้ฉุนซีตี้เสด็จสวรรคต องค์ไท่จื่อก็เสด็จขึ้นสืบราชบัลลังก์ ใช้ชื่อรัชศก ‘จิ่งเหยียน’

หลังฮ่องเต้จิ่งเหยียนตี้เถลิงราชย์ก็พบว่าท่ามกลางเหตุจลาจล ป้ายขั้วกาฬได้หายไปจากตำหนักหลิงเซียว จึงมีบัญชาฉับพลันให้ค้นหาทั่วแผ่นดิน ทว่าก็เป็นเช่นการงมเข็มในมหาสมุทร ไร้ร่องรอยแม้เพียงน้อยนิด บรรดาเจ้าแคว้นจึงฉวยโอกาสยกเป็นข้ออ้างว่า ‘เชื้อพระวงศ์สูญคุณธรรม ขั้วกาฬทอดทิ้ง’ ไม่เคารพยกย่องเชื้อสายแห่งฮ่องเต้อีกต่อไป นับแต่นั้นมาจักรวรรดิต้าตงก็เริ่มแตกแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่า เข้าสู่ยุคที่แคว้นทั้งหกปกครองตัวเอง บ่อนทำลายกันและกัน

หลังจากป้ายขั้วกาฬสาบสูญ ผู้กล้าในใต้หล้าก็มิมีผู้ใดไม่ปรารถนาจะครอบครองมันเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด

หน้าที่แล้ว1 of 17

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-1

บทที่ 27-1 หวงปอรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานาน แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกไป๋ตันหย่งที่ยืนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของฮ่องเต้มาตั้งแต...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 125

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า หลายวันก่อนตอนรอเขากลับมา ซูเสวี่ยจื้อเคยมโนภาพหลายครั้งมากว่าคนทั้งคู่จะพบหน้ากันแบบไหน แต่เธอค...

community.jamsai.com