ทดลองอ่าน วงกตลายตะวัน บทที่4-บทที่5 – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

LOVE

ทดลองอ่าน วงกตลายตะวัน บทที่4-บทที่5

2 of 2หน้าถัดไป

 

บทที่ 5

หย่าตอนนี้เลยได้ไหม

 

ช่วงบ่ายวันถัดมา วอแวที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นกว่าใครกับการปรากฏตัวของอินทัชเมื่อวานกลับโอดครวญกลางห้องประชุมย่อยห้องหนึ่งของเอเจนซี่แอดดิกต์ว่า

“ฉัน…ไม่น่าบอกทุกคนเลยว่าไอ้แทนเป็นลูกชายคุณศักดา”

“ช้าเร็วทุกคนก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี แกเป็นคนพูดเองไม่ใช่เรอะ” ชินทรถามปนขำ

“ก็ไม่รู้นี่หว่าว่ามันจะส่งผลกระทบทางลบกับฉันขนาดนี้ น้องกิ๊ฟต์ น้องแนน น้องเปิ้ล…เออีที่ฉันกำลังคุยด้วยก็เอาแต่ถามถึงไอ้แทนมัน”

“ถ้าแกดีจริง ทั้งน้องกิ๊ฟต์ น้องแนน น้องเปิ้ลก็คงไม่พาเหรดเปลี่ยนใจไปชอบไอ้แทนแทนแกหรอก”

“ไอ้ชิน นี่แกอยู่แผนกครีเอทีฟหรือแผนกซ้ำเติมกันแน่วะ แดกดันกันจริง”

คนอยู่แผนกซ้ำเติมหัวเราะชอบใจ ก่อนจะหันไปถามคนถูกพาดพิงที่ยังคงนั่งนิ่งข้างพริมา “ไอ้แทน ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอวะ”

“ไม่เห็นต้องพูดอะไรเลยนี่”

ท่าทีนิ่งขรึมของอินทัชทำพริมานึกหมั่นไส้ หญิงสาวชำเลืองมองชายหนุ่มด้วยหางตา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอกับเขาต้องมาเป็นคู่หูอาร์ตไดเร็กเตอร์-ก๊อปปี้ไรเตอร์กันจริงๆ

เมื่อวานเธอกับเขาเอ่ยปากคุยกันแทบจะนับคำได้ ไม่ต้องให้หมอดูชื่อดังช่วยฟันธง พริมาก็พอจะเดาออกว่าความสัมพันธ์เรื่องงานระหว่างเธอกับอินทัชในอนาคตจะออกหัวหรือออกก้อย ใจไพล่นึกย้อนถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างเธอกับเพียงแพรหลังเลิกงานเมื่อคืน

‘ทำไมแกไม่ยอมบอกฉันว่าแฟนเก่าแกเป็นลูกเจ้านายฉัน’

‘ฉันก็เพิ่งนึกออกตอนแกบอกนี่แหละ’

‘อยากจะบ้าตาย ทำไมถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนแบบนี้วะ’

บานประตูห้องประชุมถูกเปิดกว้างขัดจังหวะความคิดของพริมา พี่ตระการก้าวเข้ามาเป็นคนแรก ตามด้วยปีย์รกาและบารมี ทั้งสามคนเพิ่งกลับมาถึงแอดดิกต์หลังร่วมรับฟังโจทย์โฆษณาที่บริษัทคอนเนคต์แอนด์ลิงก์ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าเมื่อช่วงเช้า พี่ตระการเป็นฝ่ายแนะนำให้อินทัชได้รู้จักกับปีย์รกาและบารมีในฐานะผู้อำนวยการแผนกเออีและวางแผนกลยุทธ์ พริมาสังเกตเห็นว่าอินทัชยกมือไหว้แบบพอเป็นพิธี ไม่ได้มีท่าทีกระตือรือร้นว่าอยากร่วมงานกับรุ่นพี่ซึ่งเป็นถึงผู้อำนวยการแผนกสองเสาหลักของเอเจนซี่ที่พ่อเขาสร้างขึ้นเลยสักนิด

“สัปดาห์หน้า คอนเนคต์แอนด์ลิงก์จะเปิดให้เอเจนซี่โฆษณาสามเจ้าร่วมพิตช์* งานแข่งกันนำเสนอแคมเปญโฆษณาตัวใหม่ ไอเดียเอเจนซี่ไหนดี ถูกใจลูกค้ามากที่สุด ก็รับงานนี้ไป” พี่ตระการเริ่มต้นเล่ารายละเอียดเพื่อนำไปสู่การประชุมระดมไอเดียต่อจากนี้

“แล้วอีกสองเอเจนซี่เป็นที่ไหนบ้างคะ” พริมาถามถึงคู่แข่ง

“ที่รู้ตอนนี้ก็มีเอเจนซี่ไฟน์เดย์ที่เดียว” พี่ตระการบอก “การพิตช์งานแข่งกันครั้งที่ผ่านๆ มา เราสามารถเอาชนะไฟน์เดย์มาได้อย่างกินขาด ครั้งนี้น่าจะเอาชนะได้ไม่ยาก”

ทั้งพริมา วอแว และชินทรพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสามเคยประมือกับเอเจนซี่ไฟน์เดย์มาแล้วในการเสนอตัวเป็นเอเจนซี่รับผิดชอบแคมเปญโฆษณาเปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นบอร์นทูบีฟรีของค่ายรถญี่ปุ่นเมื่อเดือนก่อน

“อย่าเพิ่งได้ใจไป เรายังไม่รู้เลยว่าคู่แข่งอีกรายเป็นใคร” บารมีหัวหน้าแผนกวางแผนกลยุทธ์เตือน

“จริงอย่างที่หมีว่า” พี่ตระการเห็นด้วย ก่อนจะหันไปยักคิ้วส่งสัญญาณให้ปีย์รกา “เริ่มเลยเจ๊ไก่”

ปีย์รกาในฐานะหัวหน้าแผนกเออีจึงเริ่มเล่าโจทย์โฆษณาให้คนในทีมฟัง “ตั้งแต่เปิดให้บริการมา ผู้โดยสารรถไฟฟ้าของบริษัทคอนเนคต์แอนด์ลิงก์มีน้อยมากจนประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก ทั้งที่คาดหวังว่าเส้นทางเชื่อมต่อสนามบินสู่ใจกลางเมืองจะทำรายได้ให้กับบริษัทมากกว่านี้”

สมาชิกในห้องต่างเสนอความเห็นเกี่ยวกับโจทย์นี้อย่างกระตือรือร้น ไอเดียฟุ้งในอากาศมากเสียจนไม่รู้ว่าควรหยิบไอเดียไหนมาพัฒนาต่อให้ตรงใจลูกค้า

เว้นก็แต่อินทัชที่ยังคงนั่งนิ่ง

เมื่อเห็นว่าอินทัชยังไม่มีส่วนร่วมกับการประชุมนัก พี่ตระการจึงหันมาถามเพื่อดึงเขาสู่บทสนทนาระดมสมอง ราวกับไม่อยากให้คนอื่นๆ ตำหนิเขาในใจว่านี่น่ะหรือ…ลูกชายของศักดาเจ้าของฉายาศาสดาโฆษณาเมืองไทย

แต่แทนที่อินทัชจะแสดงศักยภาพความเป็นครีเอทีฟไฟแรงนำเข้าจากแดนมะกันให้ทุกคนได้ชื่นชม เขากลับขยับยิ้มยกมุมปาก เริ่มต้นพูดจาประชดประชันสมาชิกในห้องประชุมเสียนี่

“ตั้งใจทำงานกันขนาดนี้ คุณศักดาเห็นเข้าคงปลื้มน่าดู”

พริมาเห็นชัดว่าอินทัชจงใจกวาดสายตาเหมือนกำลังดูแคลนความตั้งใจของทุกคนตรงหน้ากระทั่งมาหยุดที่เธอ นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นกำลังเพ่งเป้ายิงคำถามสำคัญว่าทำไมเธอและทุกคนถึงได้ทุ่มเทกายใจให้กับเอเจนซี่แอดดิกต์ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เอเจนซี่ของครอบครัวเธอสักหน่อย หญิงสาวมั่นใจว่าอ่านใจเขาไม่ผิดแน่

“ก็ต้องปลื้มอยู่แล้วล่ะครับ พวกเราทำงานที่แอดดิกต์มานานจนรู้สึกผูกพันยิ่งกว่าคนในครอบครัว ต้องขอบคุณคุณศักดาด้วยซ้ำที่ให้โอกาสพวกเราได้ทำงานที่รักแบบนี้” พริมาสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงของบารมีที่เจือแววไม่พอใจคำพูดกินนัยของอินทัชอยู่นิดๆ แต่อินทัชหาได้สนใจไม่ เขายกมือขึ้นกอดอกเอนกายพิงพนักเก้าอี้ตอบบารมีไปว่า

“โอกาสงั้นเหรอ น่าขำสิ้นดี”

พริมาสัมผัสได้ถึงเค้าเมฆครึ้มปกคลุมไปทั่วห้อง พอเห็นอินทัชแสยะยิ้มแค่นหัวเราะร้ายออกมา หญิงสาวจึงไม่อาจซุกความไม่พอใจไว้ใต้พรมได้อีกต่อไป

“คุณเห็นความตั้งใจของคนอื่นเป็นเรื่องตลกได้ไง?!”

“พริม ใจเย็น…” พี่ตระการอาสาเข้ามาเป็นกรรมการห้ามมวย พริมาหันไปมองหัวหน้าทีมราวกับไม่เคยเห็น เขาบอกว่าคนที่ควรใจเย็นเป็นเธอ ไม่ใช่อินทัชอย่างนั้นหรือ

“เอาเป็นว่าแค่นี้ก่อนละกัน เดี๋ยวแยกย้ายกันไปคิดงานแล้วมานำเสนอพรุ่งนี้เช้า โอเคตามนี้นะ พี่ต้องไปประชุมอีกห้องต่อ” พี่ตระการจัดการรวบรัดตัดบทจบแล้วลุกออกไปจากห้องทันที จนคนอื่นๆ ได้แต่มองตาม ก่อนจะทยอยออกจากห้องประชุมจนหมด เหลือก็แต่พริมาและอินทัชที่ยังคงทำสงครามเย็นจ้องตากันชนิดไม่มีใครยอมใคร กระทั่งอินทัชเป็นฝ่ายยอมแพ้ ถอนสายตาจากพริมาชิงจังหวะก้าวออกไปจากห้อง

“คุณจะไปไหน?!”

อินทัชชะงักค้าง หันมามองพริมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ผมต้องรายงานคุณทุกเรื่องเลยรึไง”

“เพราะฉันรู้ว่าคุณกำลังจะไปไหนน่ะสิ”

“งั้นเหรอ ไหนบอกมาซิว่าเป็นที่ไหน”

“คุณอยากเจอแพร แต่แพรคงไม่อยากเจอคุณ”

อินทัชนิ่งไป มองพริมาราวกับไม่เคยเห็น

“ตอนประชุมคุณเอาแต่จ้องมือถือดูรูปแพร แถมยังพลิกข้อมือดูนาฬิกาบ่อยๆ ที่คุณไม่ยอมเสนอไอเดีย ไม่ใช่เพราะคุณไม่มี แต่เป็นเพราะคุณไม่อยากพูด เพราะมันจะทำให้คุณเสียเวลาไปหาแพรช้าลงต่างหาก”

“เก่งจริงๆ คุณอ่านออกทุกอย่างเลยแฮะ คราวนี้ปล่อยผมไปได้รึยัง”

“ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่กงการอะไรของฉัน แต่คุณอย่าลืมสิว่าเรายังต้องทำงานด้วยกัน”

“พูดจบรึยัง ผมจะได้ไปเสียที”

“ฉันพูดขนาดนี้ คุณยังจะไปหาแพรอยู่อีกเหรอ”

“คุณหึงผมสิท่า”

“หา?!” พริมาอึ้งงัน “ฉันเนี่ยนะ หึงคุณ?”

“ถ้างั้นก็หยุดเซ้าซี้ซะที ผมสัญญาว่าจะรีบไปหาแพรแล้วรีบกลับมาหาคุณ” อินทัชกระตุกยิ้มยียวนที่มุมปาก แล้วเดินออกจากห้องโดยพลัน ทว่าคำถามที่ดังไล่หลังจากเธอนั้นกลับทำชายหนุ่มชะงักกึก…นิ่งงันในทันใด

“คุณมาทำอะไรที่นี่กันแน่?!”

อินทัชหน้านิ่ว หันขวับมาจ้องพริมาอย่างเอาเรื่อง

“ถ้าคุณเป็นเด็กใหม่ คงถูกไล่ตะเพิดไปนานแล้ว แต่เพราะว่าคุณเป็นลูก…” พริมาขอบคุณตัวเองที่ยั้งปากไว้ทัน แต่ที่อดไม่ได้นั้นคืออาการถอนหายใจอย่างระอา “นี่คุณ…อยากเป็นครีเอทีฟจริงๆ เหรอ”

อินทัชนิ่งงัน ไม่ยอมตอบคำถามนั้น ทว่าสิ่งที่เขาทำกลับเป็นการยื่นข้อเสนอชวนตอบตกลงให้เธอโดยไม่ทันตั้งตัว

“เราสองคน…น่าจะลองเปลี่ยนคู่ดู”

พริมาได้ยินอย่างนั้นพลันเปล่งเสียงหัวเราะออกมาคล้ายไม่อยากเชื่อเจือด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งขำขันและไม่วายดูถูกเขา “ว้าว! ไอเดียนี้เจ๋งสุดๆ เลยแฮะ ทำไมไม่พูดตอนประชุมเมื่อกี้ล่ะ ถ้าคุณพูดนะ…ฉันจะยกมือเห็นด้วยเป็นคนแรกเลย”

“นี่ผมเอาจริงนะ”

“ฉันก็ไม่ได้พูดเล่นนี่”

“ดี เตรียมตัวไว้ได้เลย วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมกับคุณทำงานคู่กัน!” อินทัชพูดจบไม่ทันขาดคำพลันก้าวฉับพ้นห้องประชุม

“เดี๋ยวก่อนสิคุณ…”

ไม่ทันแล้ว อินทัชสนใจฟังเธอเสียที่ไหนกันเล่า

และทุกอย่างก็เป็นไปอย่างที่พริมาคาด เพียงแพรส่งข้อความมาบอกว่าอินทัชไปหาเธอถึงร้านเสื้อ ปล่อยให้พริมาไปพบแสงวิทย์ ลูกค้าเอเจนซี่แอดดิกต์ผู้เป็นเจ้าของร้านขายโคมไฟยี่ห้อไบรเทนในช่วงบ่ายเพียงลำพัง

หลังคุยรายละเอียดแผนงานสร้างสรรค์โฆษณาถึงบ่ายสี่โมงเย็นและนัดหมายกับแสงวิทย์เพื่อหารือกันเพิ่มเติมในวันอื่นเป็นที่เรียบร้อย พริมาจึงเดินทางกลับออฟฟิศเพื่อเข้าไปนั่งคิดงานต่อ และตั้งใจว่าจะแวะซื้อหนังสือแปลเล่มใหม่ของนักเขียนชาวญี่ปุ่นในดวงใจที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ออฟฟิศก่อนกลับบ้าน

ทว่าก๊อปปี้ไรเตอร์สาวทิ้งตัวนั่งเก้าอี้ทำงานได้ไม่ทันไร อินทัชกลับหุนหันเปิดปิดประตูเสียงดังเรียกความสนใจจากครีเอทีฟในห้อง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เธอ ชายหนุ่มไม่พูดไม่จา จับดินสอเปิดสมุดสเก็ตช์ไอเดียคู่กาย จ้องมองหน้ากระดาษด้วยสายตาว่างเปล่าเกินกว่าจะหยั่งรู้ได้ว่าเผชิญสถานการณ์ใดมา พริมาไม่รู้เลยว่าฝีมือการสร้างสรรค์งานโฆษณาของเขาดีขั้นไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เธอมั่นใจว่าเขาเก่งมากๆ คือการเรียกร้องความสนใจจากคนอย่างเธอด้วยท่าทีชวนให้พิศวงในทุกๆ ครั้ง

“คุณ…”

แววตาของเขาเลื่อนลอยเกินกว่าจะระบุได้ว่าอยากคุยกับใคร

“คุณเรียกฉันเหรอ” พริมาถาม

เขาไม่ชี้ชัดว่าใช่เธอหรือไม่ เอาแต่พูดขึ้นว่า “ถ้าคุณ…พลาดรถไฟเที่ยวที่อยากขึ้นมากที่สุด คุณจะทำยังไง”

คำถามของเขาคาดหวังคำตอบแบบนักปราชญ์หรือเปล่า บางที…อาจจะเกี่ยวข้องกับเพียงแพร

“ถ้าเป็นฉัน ฉันจะรอเที่ยวถัดไป”

“ทำไม” อินทัชขยับใบหน้าคมคายหันมามองเธอตรงๆ ท่าทีของเขาดูตั้งใจฟังจนพริมาชักทำตัวไม่ถูก ทั้งที่เมื่อเช้าเธอกับเขาเพิ่งจะทะเลาะกันแท้ๆ

“ในเมื่อเราขึ้นไม่ทัน ก็ต้องถามตัวเองว่าเป็นเพราะเรามาช้าเอง หรือมัวแต่สนใจอย่างอื่นจนลืมเวลารึเปล่า บางที…ถ้าเราปล่อยวาง รอขึ้นขบวนถัดไป อาจจะได้เจอสิ่งใหม่ที่ไม่คาดฝันก็ได้”

พริมาเห็นอินทัชถอนหายใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ความเงียบปกคลุมบทสนทนาระหว่างเขาและเธอหลายอึดใจ ก่อนที่พริมาจะตัดสินใจถามออกไป

“ว่าแต่…คุณถามทำไมเหรอ”

“ก็แค่…อยากได้คนยืนยันอะไรบางอย่าง”

หญิงสาวเห็นชายหนุ่มกลืนความรู้สึกฝืดเคืองลงคอ เขาปิดสมุดตรงหน้าแล้วลุกจากเก้าอี้ คว้ากระเป๋าสะพายออกไปจากห้องแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

เป็นอีกครั้งที่เธอรั้งเขาไว้เพื่อบอกเรื่องสำคัญไม่ทันอีกแล้ว

 

“นี่ทุกคน…มีใครรู้จักอาร์ตไดเร็กเตอร์ที่ชื่อวาริศ อิสราบ้าง”

พริมาได้ยินเสียงบารมีถามถึงครีเอทีฟคนหนึ่งขณะจ้องเก้าอี้ว่างตัวข้างๆ ที่ทุกคนในห้องประชุมย่อยจงใจเว้นไว้ให้คู่หูเธอ ทั้งที่ชื่อของเขาคนนั้นพอจะคุ้นหูเธออยู่บ้าง แต่หญิงสาวไม่ใคร่สนใจตอบคำถามนักเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ประกอบกับเธอเองยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตาคนชื่อวาริศอย่างชัดเจนจากบทสัมภาษณ์ในนิตยสารหรือสื่อออนไลน์ไหนมาก่อน นาทีนั้นเธอเอาแต่ครุ่นคิดว่าอินทัชหายไปไหน ทั้งที่ใกล้จะได้เวลาประชุมความคืบหน้าเกี่ยวกับไอเดียโฆษณารถไฟฟ้า หลังพี่ตระการสั่งให้ครีเอทีฟลูกทีมทั้งสี่คนแยกย้ายกันไปคิดแล้วนำมาเสนอในเช้าวันนี้

“เมื่อกี้พี่หมีพูดถึงใครนะ” วอแวที่ยังงัวเงียจากการตื่นแต่เช้าหันไปถาม พอพริมาปรายสายตาไปมองก็เห็นว่าบารมีกำลังนั่งไขว่ห้างปิดหน้านิตยสารหัวนอกเกี่ยวกับวงการออกแบบลงทันที

“เฮ้อ ช่างมันเถอะ” บารมีถอนหายใจ หมดความสงสัยโดยพลันเมื่อเห็นดวงตาปรือๆ ของคนโหยหาเวลานอน

“พี่ตระการคะ ทำไม…อาร์ตไดฯ ที่ทำคู่พริมถึงต้องเป็นเขาด้วยคะ” พริมาหันไปถามคนเป็นหัวหน้าทีมซึ่งกำลังกวาดสายตาอ่านพาดหัวข่าวบนหนังสือพิมพ์ธุรกิจอย่างรวดเร็ว

“ทำไม มีปัญหาอะไรรึเปล่า” พี่ตระการถามแบบไม่ใส่ใจนัก แต่กลับฉุดพริมานิ่งไปหลายอึดใจ

“เอ่อ ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกค่ะ เพียงแต่…”

“จริงๆ แล้วแทนเป็นคนฝีมือดีนะพริม เคยทำงานที่นิวยอร์กตั้งหลายปี ได้ร่วมงานกับพวกครีเอทีฟและก็ลูกค้าเก่งๆ ตั้งเยอะ”

แม้พี่ตระการจะช่วยการันตีความสามารถ ทว่าสองวันที่ผ่านมาพริมาไม่อาจสัมผัสได้ถึงไฟในตัวอินทัชเลย

“นี่ ไอ้พริม ขอบอกอะไรไว้อย่างเลยนะ แกนี่วาสนาดีเป็นบ้าเลยว่ะ ถูกจับคลุมถุงชนเป็นคู่ผัวตัวเมียในที่ทำงานกับไอ้แทนมัน” ชินทรขยับท่านั่งออกความเห็น

“แล้วถ้ายิ่งได้ฟีเจอริ่งกับมันเมื่อไหร่นะ…” วอแวได้ทีผสมโรง แต่เป็นอันต้องชะงักค้างเมื่อเห็นสายตาคู่ขวางของพริมาเข้า “เอ่อ คือฉันหมายถึง…ถ้าเกิดแกสองคนทำงานเข้าขากันดี พอถึงวันที่ไอ้แทนขึ้นบริหารแทนคุณศักดา มันอาจจะนึกถึงวันที่แกกับมันเคยลำบากด้วยกันมา แล้วเลื่อนขั้นให้แกก็ได้นะเว้ย”

ยิ่งได้ยินอย่างนั้นพริมายิ่งรู้ดีว่าไม่มีวันเป็นไปได้ เธอกับอินทัชไม่มีวัน ‘ไปด้วยกันได้ดี’ อย่างที่เพื่อนร่วมทีมว่าแน่นอน คิดแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้

“ร่วมงานกันได้ไม่กี่วัน อยากหย่าแล้วเหรอ” พี่ตระการถามพริมาอย่างรู้ทัน

หญิงสาวนิ่งไป หลุบตามองถ้วยกาแฟกรุ่นร้อนตรงหน้า “ก็ไม่เชิงหรอกพี่”

“แล้วมันยังไง” น้ำเสียงราบเรียบของคนเป็นหัวหน้าทำเอาพริมาขนลุกนิดๆ

“ปกติน้องพริมไม่ใช่คนเรื่องมากนี่นา” ปีย์รกาว่า “แต่เรื่องนี้เจ๊เข้าใจนะ เห็นคุณน้องแทนตอนประชุมเมื่อวานแล้ว เจ๊ยังแอบคิดเลยว่าพิตช์งานคราวนี้เอเจนซี่เราจะรอดรึเปล่า คุณศักดาหวังให้ลูกชายตัวเองแจ้งเกิดในไทยเลยนะงานนี้ ถ้าชนะก็ถือว่าเสมอตัว แต่ถ้าพลาดขึ้นมานี่ ไม่รู้เหมือนกันว่านายน้อยของพวกเราจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน”

“ก็เอาไว้ที่เดิมนี่แหละครับ”

ปีย์รการ้องว้ายดังลั่น เมื่อจังหวะปรากฏตัวของอินทัชพกพาความอกสั่นขวัญแขวนมาเป็นของแถม

“ตกใจหมด คราวหน้าคราวหลังอย่าโผล่มาเงียบๆ แบบนี้อีกนะคะน้องแทน” ปีย์รกาหน้าซีดเหมือนไก่ต้มทั้งที่ยังไม่โดนเชือด

พริมาชำเลืองมองอินทัชซึ่งปราดเข้ามานั่งบนเก้าอี้ข้างกายเธอ สีหน้าเขาราบเรียบเหมือนพยายามปกปิดความกังวลใจบางอย่างที่พริมาไม่อาจหยั่งถึงได้

หลังจากนั้นบรรยากาศการประชุมพลันดำเนินขึ้นอย่างเคร่งเครียด อินทัชเริ่มเป็นฝ่ายออกความเห็นอย่างจริงจัง ระดับการมีส่วนร่วมของเขาเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ดวงตาคมกริบบนใบหน้าหล่อสะอาดตาคู่นั้นดูมุ่งมั่นผิดกับเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด จนพริมาอยากขยี้ตาซ้ำหลายๆ ครั้ง ราวกับไม่อยากเชื่อเลยว่าภาพนี้จะเกิดขึ้นจริง

กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสามชั่วโมง ทุกคนในทีมรวบรวมไอเดียได้มากระดับหนึ่ง โดยเห็นตรงกันว่าควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตะแกรงเวลาช่วยกลั่นกรองว่าไอเดียไหนเด่น ไอเดียไหนดับ จากนั้นค่อยมาช่วยกันตบให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้นอีกครั้งในการประชุมนัดหน้า พี่ตระการจึงจัดการปิดประชุม ปล่อยให้ลูกทีมไปสะสางงานที่คั่งค้างต่อ

ทว่าปีย์รกากลับทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก จนพริมารู้สึกเสียวสันหลังวาบ

“น้องพริมกับน้องแทนคะ ไปคุยกับลูกค้าเจ้าของร้านโคมไฟไบรเทนมาเมื่อวานเป็นไงบ้างคะ พอจะสรุปไอเดียคร่าวๆ ให้คุณพี่ทราบได้หรือยัง”

“เอ่อ…ขอเป็นพรุ่งนี้นะคะเจ๊ไก่”

ปีย์รกายักไหล่ ยอมรับกับตัวเองว่าอาจจะใจร้อนไปหน่อยสำหรับการทวงงานครั้งนี้ “Fine…พรุ่งนี้ก็ได้จ้ะ”

พริมาเป่าปากอย่างโล่งอก พอปีย์รกา บารมี พี่ตระการ วอแว และชินทรทยอยเดินออกจากห้องไปจนหมด หญิงสาวจึงค่อยๆ ช้อนตามองอินทัช สัมผัสได้ถึงดวงตาวาววับคู่นั้นราวกับกำลังโกรธเคืองเธอ พริมาจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็น ลุกพรวดจากเก้าอี้มุ่งหน้าไปยังประตูทันที ทว่าร่างสูงกลับไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ

“ทำไมคุณไม่บอกผมว่าเราสองคนต้องไปพบลูกค้าร้านโคมไฟอะไรนั่น”

เธอคิดแล้วว่าเขาต้องเอ่ยออกมาเช่นนั้น

“เดี๋ยวก่อนสิคุณ…” พริมาพูดพลางทำท่ากวักมือให้เขาดูเหมือนกับที่เธอทำเมื่อวาน “ฉันพยายามเรียกคุณแล้ว แต่คุณไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ เอาแต่จะไปหาแพรให้ได้”

“เรียกแค่นี้เนี่ยนะ?!” หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น “คุณรู้รึเปล่าว่าผมโดนด่าอะไรมาบ้าง…ไอ้ลูกเลว แกมันคนไม่มีความรับผิดชอบ งานแค่นี้แกยังปล่อยให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำคนเดียว แล้วแกจะมารับช่วงต่อจากฉันได้ยังไง มีอย่างที่ไหน หนีงานวิ่งตามก้นผู้หญิงต้อยๆ แบบนี้!”

พริมาเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อได้ยินน้ำเสียงของอินทัชสั่นเครืออย่างน้อยใจราวกับสะกดกลั้นความขมขื่นไว้ คำพูดเหล่านั้นน่าจะเป็นของคุณศักดาไม่ผิดแน่ วูบหนึ่งเธอรู้สึกเห็นใจเขา เฝ้าหาเหตุผลว่าทำไมต้องรู้สึกผิดมากขนาดนี้ แต่ช่วยไม่ได้นี่ เขาทำตัวเองทั้งนั้น

“คนเป็นคู่หู…เขาไม่ทำกันแบบนี้หรอก”

อินทัชตัดพ้อเธอในที่สุด พริมาได้ยินแล้วอยากจะบ้า ไม่เข้าใจอาร์ตไดเร็กเตอร์หนุ่มตรงหน้าอย่างรุนแรง

ทำไมผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นนายน้อยแห่งเอเจนซี่แอดดิกต์ถึงคิดเรียกร้องความเป็นคู่หูจากเธอเวลานี้ด้วยนะ!

* พิตช์ (Pitch) คือการเร่ขายเสนอแผนงานแก่บริษัทต่างๆ

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in LOVE

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 1

บทที่ 1 ปีที่ยี่สิบสี่รัชศกเฉียนเต๋อแห่งราชวงศ์ต้าผิงได้ถูกกำหนดให้เป็นปีที่ต่างไปจากปกติธรรมดา ชุนจื้อ เพิ่งผ่านไป ข่าว...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน บทนำ-บทที่ 2

บทนำ   เทวทูตแห่งเขาปี้ลั่ว   วันนี้เป็นวันจิงเจ๋อ ขณะทูตจากเขาปี้ลั่วมาถึงสกุลมู่ มู่เฉินเพิ่งจะดึงถังน้ำขึ้นมาจาก...

community.jamsai.com