ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 2 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 2 #นิยายวาย

ว่าสถานที่บางแห่งถึงขั้นเริ่มอัตคัดขัดสน เสิ่นเฉียวรู้ตัวว่าสายตาไม่ดี ต่อยตีก็สู้คนอื่นไม่ได้ หากถึงขั้นที่คนกินคน ก็คงถูกจับไปลงหม้อก่อนผู้อื่น

อำเภอฝู่หนิงอยู่ค่อนข้างใกล้กับเมืองเย่เฉิง เพราะตั้งอยู่ทางเหนือ แม้ปีที่แล้วฝนน้อยแต่กลับไม่เกิดภัยพิบัติใหญ่ ยังค่อนข้างมั่นคง เมืองใหญ่กำลังอยู่ในช่วงจัดงาน ผู้คนขวักไขว่คึกคักอย่างยิ่ง

แคว้นฉีและโจวตั้งอยู่ทางเหนือ กาลก่อนประเพณีของเซียนเปยเป็นที่นิยม นานวันเข้าค่อยๆ กลายเป็นชาวฮั่นแล้ว แม้กระทั่งเสื้อผ้าเครื่องประดับก็ผสมผสานรูปแบบของเผ่าเซียนเปยในวัฒนธรรมของชาวฮั่น ชนชั้นสูงแสวงหาความสวยหรู อาภรณ์อ่อนช้อย อัญมณีสุกใส การแสวงหาประเภทนี้ส่งผลกระทบถึงชาวบ้าน ขอเพียงเป็นครอบครัวคนมีฐานะ ส่วนใหญ่จะสวมใส่กระโปรงยาวลากพื้น และมีหมวกกับกระโปรงของเผ่าเดียวกัน ในอำเภอฝู่หนิงนี้ เมื่อถึงช่วงเวลางานเทศกาลก็จะปรากฏสภาพของ ‘เมืองหลวงเล็ก’ ออกมา

วัดเจียงกงที่จัดงานคือวัดที่ปรับปรุงใหม่ในภายหลัง ที่กราบไหว้กันคือเจียงไท่กง วัดเจียงกงในอดีตอยู่ทางใต้ของเมือง ว่ากันว่าเริ่มสร้างสมัยฮั่น ต่อมาประสบภัยทางทหารจึงถูกทิ้งร้าง เหลือเพียงเปลือกนอกที่ผุพังเกินทน แม้กระทั่งรูปปั้นของเจียงไท่กงที่อยู่ภายในก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ใด วัดร้างที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง จึงกลายเป็นที่อยู่ของกระยาจกคนจน

ในกลุ่มคนที่มาอาศัยอยู่ที่นี่มีเพิ่มมาคนหนึ่งชื่อว่าเฉินกง

กลางวันเขาเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่ร้านข้าวสารในเมือง แบกข้าวขึ้นรถขนย้าย งานที่ทำล้วนเป็นงานหนักเหล่านี้ เนื่องเพราะรายได้น้อย ไม่อยากจ่ายไปกับการเช่าบ้าน ฟ้ามืดก็กลับไปในวัดร้างแห่งนี้ ไม่สุขสบายแต่ก็รู้สึกอิสระ เนื่องจากวัดร้างยังมีกระยาจกอีกสองคน ที่อยู่ชั่วคราว ต้องพกเงินติดตัว แม้กระทั่งของกินก็ต้องดูให้ดี เพื่อมิให้ถูกคนเอาไปขณะไม่ได้สนใจ

ขณะกลับมาตอนพลบค่ำวันนี้ เขามองแวบหนึ่งก็พบว่าในวัดร้างมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน

คนที่ชุดคลุมสีเทานั่งอยู่ตรงนั้น

เฉินกงขมวดคิ้วตามสัญชาตญาณก่อน เดิมทีวัดร้างไม่ใหญ่นัก มีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ก็เหมือนเขตอิทธิพลที่เดิมควรเป็นของตนถูกยึดไปส่วนหนึ่ง

จากนั้นเขาสังเกตเห็นว่า ในมือฝ่ายตรงข้ามถือห่อกระดาษ ก้มหน้าค่อยๆ กินทีละคำ กลิ่นหอมแผ่ออกมาจากในห่อกระดาษ

เพียงครู่เดียวเขาก็ดมออกว่าเป็นกลิ่นหอมของแป้งย่างไส้เนื้อลา ขณะบิดามีชีวิตอยู่เฉินกงเคยกินหลายครั้ง หลังบิดาเสียชีวิต แม่เลี้ยงร่วมมือกับบุตรธิดาบังเกิดเกล้าของนางไล่เขาออกจากบ้าน ทุกวันเงินเหล่านั้นที่เขาแบกกระสอบข้าวได้มา หักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือไม่เท่าไหร่ ไหนเลยจะยังลิ้มลองสิ่งนี้ได้

กลิ่นหอมสะกิดความทรงจำในอดีตของเขา เฉินกงกลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างเลี่ยงมิได้

แวบที่สอง เฉินกงมองเห็นว่าด้านข้างคนผู้นั้นยังมีห่อกระดาษนูนๆ

ก็หมายความว่า ยังมีแป้งย่างไส้เนื้อลาอีกชุดหนึ่ง

มิเพียงเฉินกง กระยาจกอีกสองคนนั้นก็สังเกตเห็นแล้ว คนหนึ่งในนั้นกล่าวเสียงดัง “นี่ เจ้าอยู่ที่นี่ถามพวกเราแล้วหรือยัง ที่นี่เป็นวัดเล็ก ให้คนอยู่มากไม่ได้ ยังไม่รีบออกไปอีก!”

เฉินกงรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจหาเรื่องจึงมิได้ส่งเสียง เดินไปนั่งลงตรงตำแหน่งที่ตนอยู่ในยามปกติ สุมกองหญ้า หูยังเงี่ยฟังอยู่ หางตามิได้ห่างจากแป้งย่างไส้เนื้อลา

คนชุดคลุมเทากล่าวเสียงอ่อนโยน “ข้าเองก็ไม่มีที่ไป เห็นที่นี่ยังมีพื้นที่จึงอยากเข้ามาพักสักหน่อย พี่ชายท่านนี้หากอำนวยความสะดวกได้ ข้าย่อมซาบซึ้งไม่คลาย”

กระยาจกกล่าว “อยากอยู่ต่อพักผ่อนก็ได้ แต่ต้องมอบสิ่งของทั้งหมดในตัวเจ้าออกมา!”

เฉินกงแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาด้วยความเหยียดหยามอยู่บ้างหนึ่งเสียง ก่อนเอ่ย “ข้าไม่ต้องการทรัพย์สินของเจ้า ขอเพียงเจ้าให้สิ่งของเป็นค่าตอบแทน ข้ายินยอมช่วยเจ้าขัดขวางสองคนนั้น!”

กระยาจกกล่าวด้วยโทสะ “เฉินต้าหลาง พวกเราใช่เรียกเจ้า เหตุใดเจ้าขัดขวางพวกเรา!”

เฉินกงอายุไม่มาก เพิ่งจะสิบหกปี รูปร่างลักษณะก็ไม่สูงใหญ่ เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีความยืดหยุ่นดี ความอดทนเยี่ยม เปี่ยมด้วยความบ้าบิ่น หาไม่คงมิอาจแซงหน้าผู้มาก่อน ยึดครอง ‘เขตอิทธิพล’ ผืนใหญ่ที่สุดในวัดร้างแห่งนี้

“ทำไม เจ้าเอ่ยปากได้ แต่ข้าห้ามเอ่ยปากหรือ” เฉินกงกล่าวอย่างเกียจคร้าน

แม้กล่าวว่าเป็นกระยาจก แต่อยู่ในเมืองล้วนคบค้าสมาคมกัน ส่งข่าวซึ่งกันและกัน อาศัยที่ฝั่งตนเองมีสองคน พวกเขาไม่จำเป็นต้องกลัวเฉินกง

คนผู้นั้นมิได้สนใจเฉินกงอีก เขาลุกขึ้นหมายหยิบแป้งย่างไส้เนื้อลาชุดที่อยู่ด้านข้างคนชุดเทาไปพลางกล่าว “ไม่ต้องพูดพล่ามแล้ว มอบสิ่งของในตัวออกมาให้หมด อยากเข้าประตูวัดนี้ ก็ต้องให้ท่านปู่ไล่ของเจ้าตัดสินใจ!”

มือยังมิได้แตะถูกของกิน ข้อมือก็ถูกจับเอาไว้แล้ว กระยาจกเดือดดาล “เฉินต้าหลาง เจ้าคิดยุ่งเรื่องชาวบ้านอีกแล้ว ข้าจะกินก็ขัดขวางเจ้าหรือ”

เฉินกงใช้มือหยิบแป้งย่างไส้เนื้อลาชุดนั้นขึ้น “ข้าเองก็อยากกิน เหตุใดเจ้าไม่ลองถามข้า!”

กล่าวจบก็ฉีกห่อกระดาษออกก่อนกัดหนึ่งคำ กล่าวอย่างภาคภูมิใจ “สิ่งที่ข้ากินแล้ว เจ้ายังต้องการหรือไม่”

กระยาจกกระโจนเข้ามาหมายสู้กับเฉินกง เฉินกงรีบยัดห่อกระดาษไว้ในอกเสื้อ คนทั้งสองต่อสู้กันเป็นพัลวัน กระยาจกที่อยู่ด้านข้างผู้นั้นเข้าร่วมด้วย การต่อสู้เปลี่ยนจากสองคนเป็นสามคน เรี่ยวแรงเฉินกงสู้อีกสองคนไม่ได้ รูปร่างก็สูงไม่เท่าอีกสองคน แต่เคล็ดลับในการเอาชนะของเขากลับอยู่ที่การต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต โหดเหี้ยมเพียงพอ

หลังถีบเข้าที่ท้องของกระยาจกหนึ่งในนั้นแรงๆ หนึ่งที เฉินกงก็ปรบมือ เท้าเอวถุยหนึ่งคำ “ข้าทนพวกเจ้ามานานพอแล้ว อาศัยว่าตัวเองมาก่อน ขัดขวางข้าไปหมดทุกอย่าง แต่ก่อนยังลอบถ่มน้ำลายในอาหารของข้า อย่าคิดว่าข้าไม่เห็น! ยังสู้อีกหรือไม่ มาสิ! อย่างไรข้าก็ไม่มีอะไรจะเสีย อย่างมากก็ชดใช้ด้วยชีวิต หากมีฝีมือพวกเจ้าก็รีบแสดงออกมา!”

ฝ่ายตรงข้ามหวาดกลัวความบ้าบิ่นของเขา ได้ฟังก็มองดูพวกพ้องที่ยังลุกไม่ขึ้นบนพื้นแวบหนึ่ง หวาดผวาในทันใด จับเอวของตนเองด้วยความเจ็บ หันกายหนีไป

พวกพ้องผู้นั้นเห็นเขาหนีไปแล้วย่อมมิกล้าสู้ต่ออีก กุมท้องลุกขึ้นมาพลางร้องโอ๊ยๆ ทิ้งคำขู่ไว้ว่า “เด็กน้อยรอข้าก่อนเถอะ” แล้วจึงวิ่งออกไปอย่างกะโผลกกะเผลก

เฉินกงหยิบแป้งย่างไส้เนื้อลาที่ยังกินไม่หมดนั้นออกมาจากในอกเสื้อแล้วกัดอีกคำ กล่าวอย่างพึงพอใจ “ไม่เลวนี่ เจ้าซื้อมาจากร้านหลี่ทางใต้ของเมืองใช่หรือไม่ เนื้อนุ่มหนึบเพียงพอ ซ้ำยังร้อนผ่าว ลวกจนหน้าอกข้าใกล้จะสุกแล้ว!”

เพื่อเนื้อลาคำนี้ เขารู้สึกว่าการต่อสู้เมื่อครู่คุ้มค่า ถึงอย่างไรเขาก็ขัดตาสองคนนั้นนานแล้ว วันนี้ได้โอกาส ต่อไปก็ยึดครองที่นี่เพียงลำพังได้ นั่นจึงจะดี

เห็นคนเสื้อเทามิได้ส่งเสียงใด เขาก็กล่าวอีก “นี่ ข้าถามเจ้าอยู่ เป็นใบ้หรือ”

ฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้น “เจ้าไล่พวกเขาไปแล้ว ไม่กลัวพวกเขากลับมาล้างแค้นหรือ”

เฉินกงจึงพบว่า ดวงตาของฝ่ายตรงข้ามคล้ายมีปัญหาอยู่บ้าง แววตามืดมัว แม้กำลังมองดูเขาก็เหมือนมิได้กำลังมองมา

สายตาเคลื่อนไปหลังไม้เท้าไม้ไผ่ด้านข้างคนผู้นั้น เขากระจ่างโดยพลัน “ที่แท้มิได้เป็นใบ้ แต่เป็นคนตาบอด”

เขาส่งเสียงชิ ก่อนกล่าวอย่างเหยียดหยาม “กลัว? ข้าไม่เคยกลัว! พวกเขาโง่เช่นนี้จะทำอะไรได้”

เฉินกงสังเกตคนชุดเทาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ วัสดุมิได้หายากอะไร แต่งกายก็มิได้แปลกประหลาด สิ่งที่ดูได้เพียงหนึ่งเดียวคือใบหน้านั้น

กล่าวตามตรง ไม่เหมือนไม่มีบ้านให้กลับเช่นเขา แต่กลับเหมือนเป็นปัญญาชนที่ท่องเที่ยวอยู่ภายนอก

“เจ้าชื่อแซ่อะไร ดูลักษณะของเจ้าไม่เหมือนตกยาก เหตุใดมาที่นี่ ที่แห่งนี้แม้แต่หนูก็ไม่ยินยอมขุดรู!”

คนชุดเทาพยักหน้าไปยังทิศทางของเขา ยิ้มพลางกล่าว “ข้าชื่อเสิ่นเฉียว แต่เพราะเจ็บป่วย เงินในตัวก็ไม่มี จำต้องเสาะหามาจนถึงที่นี่ อาศัยอยู่ชั่วคราวไม่กี่วัน รอรวบรวมค่าเดินทางได้บ้างค่อยกลับบ้าน เมื่อครู่ขอบคุณที่เจ้าช่วยข้าไล่สองคนนั้นไป มิทราบข้าควรเรียกขานเจ้าเช่นไรจึงจะดี”

คำพูดของอวี้เซิงเยียนจริงครึ่งเท็จครึ่ง มิอาจเชื่อได้ทั้งหมด แต่หากไม่ไปเขาเสวียนตู เสิ่นเฉียวก็ไม่มีที่ให้ไป เขาครุ่นคิด สุดท้ายยังคงตัดสินใจลองไปดูที่เขาเสวียนตูก่อน

เขาเสวียนตูตั้งอยู่บริเวณชายแดนระหว่างเป่ยโจวกับหนานเฉิน เส้นทางไปเขาเสวียนตูมีสองสาย หนึ่งคือตรงไปทางใต้จากที่นี่ กระทั่งเข้าสู่แคว้นเฉินค่อยไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เท่ากับอ้อมหนึ่งวงใหญ่ เส้นทางอีกสายคือลงใต้จากที่นี่ เทียบกันแล้วใกล้กว่าและสะดวกกว่าอยู่บ้าง

เสิ่นเฉียวเลือกเส้นทางสายหลัง

ใต้หล้าแม้วุ่นวาย อำเภอฝู่หนิงยังนับว่าสงบสุขสมบูรณ์เพราะมิได้ประสบภัย เป็นพื้นที่บริสุทธิ์อันหาได้ยากในกลียุค เหมือนที่เสิ่นเฉียวกล่าวเมื่อครู่ เขาไม่มีเงินแม้แต่อีแปะ เดียว ได้แต่จัดการตัวเองอยู่ที่นี่ก่อน

สายตาของเขาฟื้นฟูได้ช้ายิ่ง แต่มิใช่ไม่ก้าวหน้าเลย ตอนกลางวันขณะแสงแดดเพียงพอ ก็มองเห็นเค้าโครงคร่าวๆ ได้อย่างเลือนราง เทียบกับสภาพที่ยื่นมือมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าขณะเพิ่งฟื้นขึ้นมาก่อนหน้า นับว่าดีอย่างยิ่งแล้ว

เฉินกงนั่งลงพลางกล่าว “ตามสบายเถอะ ข้าแซ่เฉินชื่อกง เจ้าเรียกข้าเฉินต้าหลางก็ได้ เมื่อครู่กินแป้งย่างไส้เนื้อลาของเจ้าหนึ่งชิ้น ก็เท่ากับเป็นค่าใช้จ่ายในการพักอยู่ที่นี่วันนี้ของเจ้า ข้ายังช่วยเจ้าขับไล่สองคนนั้น รวมกับส่วนของวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เจ้าต้องตอบแทนข้าด้วยแป้งย่างไส้เนื้อลาสามชิ้นจึงจะพอ!”

เสิ่นเฉียวแย้มยิ้ม “ตกลง”

เห็นเขารับปากอย่างง่ายดาย เฉินกงกลับสงสัย “เจ้าบอกว่าในตัวเจ้าไม่มีเงินมิใช่หรือ เช่นนั้นจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อแป้งย่างไส้เนื้อลาได้อีก”

เสิ่นเฉียวกล่าว “ไม่มีเงินก็ออกไปหาได้!”

เฉินกงหัวเราะเยาะ “เจ้าน่ะหรือ ข้าได้ยินว่าปัญญาชนสามารถเป็นนักบัญชีเขียนจดหมายได้ แต่เจ้าแม้แต่ดวงตาก็มองไม่เห็น จะเขียนได้อย่างไร มิสู้ไปแบกกระสอบข้าวสารเหมือนข้า? ข้าจะบอกเจ้าให้ แป้งย่างไส้เนื้อลาสามชิ้น ห้ามขาดแม้แต่ชิ้นเดียว อย่าคิดว่าจะเบี้ยวหนี้ได้ เจ้าออกไปลองสอบถามดู ข้าเฉินต้าหลางหากต่อยตีขึ้นมาแม้แต่ภูตผีก็กลัว มองเห็นพวกไม่เอาไหนสองคนนั้นเมื่อครู่หรือไม่ หากพรุ่งนี้เจ้าเอาแป้งย่างทั้งสามชิ้นมาไม่ได้ ก็ไปตากลมข้างนอกแล้วกัน”

เสิ่นเฉียวอารมณ์ดียิ่งนัก ได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ก็มิได้บันดาลโทสะ ยังแย้มยิ้มรับปาก

วัดร้างแม้ผุพังอย่างมาก ลมพัดเข้ามาจากรูรั่วรอบด้าน แม้กระทั่งหน้าต่างที่สมบูรณ์สักบานก็ไม่มี แต่ดีที่มีเสามาก ตั้งแท่นบูชาทั้งหลายขึ้นมาก็สามารถบังลมได้ ยังมีกองหญ้าและฟืนที่เฉินกงย้ายมาสุมไว้เองจำนวนหนึ่ง กองหญ้าบังลมเป็นผ้าห่มได้ ฟืนเผาเพื่อความอบอุ่นได้ เพียงแต่เหล่านี้เขาเก็บไว้ใช้เอง ตอนนี้เห็นแก่ที่เสิ่นเฉียวยอม ‘ถวายสิ่งของ’ เฉินกงจะฝืนแบ่งกองหญ้าและฟืนให้เขาเล็กน้อย

เห็นเสิ่นเฉียวเตรียมตัวอย่างดี ในห่อของติดตัวยังพกเสื้อผ้าเก่าหนาๆ ตัวหนึ่งเป็นผ้าห่ม เฉินกงแค่นเสียงหนึ่งเสียงอย่างเลี่ยงมิได้

กระยาจกสองคนนั้นมิได้กลับมาเลย คาดว่าคงพบที่อยู่ใหม่แล้ว เฉินกงหยิบเสื้อผ้าที่พวกเขาใช้ต่างผ้าห่มเมื่อก่อนมาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย แต่ได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวจึงจำต้องเบะปากทิ้งไป ย้ายร่างกายขยับเข้าใกล้กองไฟเล็กน้อย

เดิมเขาคิดชิงเสื้อผ้าของเสิ่นเฉียวมา แต่ลองคิดดู รอพรุ่งนี้ฝ่ายตรงข้ามเอา ‘เครื่องเซ่น’ มาไม่ได้ ตนเองค่อยสร้างความลำบากก็ไม่สาย

เขากอดความคิดนี้หลับไปโดยไม่รู้ตัว

เช้าตรู่วันถัดมา เฉินกงตื่นแล้ว เขาเตรียมไปทำงานร้านข้าวเหมือนเช่นปกติ

มองดูรอบด้าน ไม่เห็นร่องรอยเสิ่นเฉียวแล้ว เหลือเพียงกองหญ้าที่ถูกทับจนเป็นรอย กับกองฟืนไฟที่มอดเป็นสีดำเทากองหนึ่ง

เฉินกงมิได้สนใจ ไปทำงานร้านข้าวเหมือนปกติ เขาไม่เชื่อว่าวันนี้เสิ่นเฉียวจะนำแป้งย่างทั้งสามชิ้นกลับมาได้เช่นที่พูด เพราะหากเขามีเงินเหลือจริงก็คงไม่จำเป็นต้องอยู่ในวัดร้างที่แม้แต่ภูตผีก็ไม่อยู่แห่งนั้น คนผู้นั้นไม่มีเรี่ยวแรงซ้ำยังเป็นคนตาบอด จะอาศัยอะไรหาเงินได้อีก

อย่าได้กลับมามือเปล่า ข้าต้องตีจนเจ้าจำไม่ได้กระทั่งมารดาตัวเองอย่างแน่นอน!

พลบค่ำ เฉินกงเดินไปยังทิศทางของวัดร้าง สีหน้าลอบครุ่นคิด

ยังมิได้ก้าวเข้าประตู เขาก็ได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคย

เสียงฝีเท้าของตนเองคล้ายดึงดูดความสนใจของเสิ่นเฉียว อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นแย้มยิ้มส่งให้ “เจ้ากลับมาแล้ว”

“เนื้อลา…” เฉินกงสีหน้ามืดครึ้ม เพิ่งกล่าวสองคำก็หยุดเอาไว้

ด้วยมองเห็นห่อกระดาษที่ใส่แป้งย่างไส้เนื้อลาทั้งสามชิ้น กองกันอยู่บนกองหญ้าบริเวณที่ตนเองนอนหลับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

เฉินกงตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบสนองขึ้นมา “นี่เป็นสิ่งที่เจ้านำกลับมา?”

เสิ่นเฉียวพยักหน้า “เจ้าให้ข้านำแป้งย่างไส้เนื้อลาสามชิ้นกลับมามิใช่หรือ”

เฉินกงสังเกตเห็นว่า เสื้อผ้าบนร่างของฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าใหม่สีเขียวชุดหนึ่ง ชุดคลุมเทาชุดนั้นแต่เดิมถูกเขาถอดออกมาเป็นที่นอนปูอยู่ใต้ร่าง คนยังคงสะอาดสะอ้าน ไม่แน่ว่าอาจไปอาบน้ำทำความสะอาดที่ใดมาแล้ว

“เจ้าหาเงินมาจากที่ใด” เฉินกงสงสัย

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 125

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า หลายวันก่อนตอนรอเขากลับมา ซูเสวี่ยจื้อเคยมโนภาพหลายครั้งมากว่าคนทั้งคู่จะพบหน้ากันแบบไหน แต่เธอค...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-1

บทที่ 27-1 หวงปอรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานาน แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกไป๋ตันหย่งที่ยืนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของฮ่องเต้มาตั้งแต...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-2

บทที่ 27-2 วันรุ่งขึ้นหลังออกจากวังซีหวา เดิมทีเมิ่งถิงฮุยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ใครจะรู้ว่าผ่านไปไม่กี่วันคำพูดของเขาที่พูดอ...

community.jamsai.com