ทดลองอ่าน พราวพร่างบุปผาตระการ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบสอง – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน พราวพร่างบุปผาตระการ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบสอง

บทที่สอง

 ราตรีนั้น นางเฝ้ารอจวบจนพลบค่ำ ท่านแม่ถึงกลับมาจากเรือนลุงใหญ่

นางรีบเข้าไปช่วยมารดาผลัดอาภรณ์ “ท่านลุงใหญ่ว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ” สีหน้านางฉายรอยวาดหวังหลายส่วน

“ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน” ท่านแม่ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วสวมเสื้อแพร “ท่านลุงใหญ่ของเจ้าส่งคนไปเรียกจั่วจวิ้นเจี๋ยแล้ว ส่วนพวกข้าทาสบริวารในจวน ท่านป้าสะใภ้ใหญ่จะช่วยกวดขันไม่ให้พวกนางพูดจาส่งเดช เจ้าวางใจได้ ไปอยู่ที่อารามปี้อวิ๋นสักพักทำใจให้สบายเถอะ”

เสียงเล่าลือนินทาประหนึ่งสายลม จะหยุดยั้งไว้ได้อย่างไร

แต่ผู้อาวุโสในจวนยอมออกหน้าแล้ว เรื่องนี้น่าจะผ่านพ้นไปได้อย่างรวดเร็วกระมัง!

หญิงสาวกลับไปที่ห้อง

อีถงกับอวี่เวยสาวใช้รุ่นใหญ่กำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ในโถงกลาง มีพวกสาวใช้รุ่นเล็กอย่างเจ๋อหลิ่วกับเจี่ยนเฉาห้อมล้อมอยู่รอบตัว บ้างช่วยแยกเส้นไหม บ้างช่วยม้วนเส้นไหม ส่งเสียงคุยเจื้อยแจ้วกันอย่างสนุกสนาน

เมื่อเห็นนางเข้ามา ทุกคนล้วนเข้ามายอบกายคารวะด้วยรอยยิ้มละไม

นางไล่สายตามองใบหน้าคุ้นตาตรงหน้าพลางหวนคิดถึงเสื้อเอี๊ยมที่มารดาโยนมาให้ตัวนั้นแล้วเย็นวาบไปทั้งใจ

ท่านแม่เคยสอนนางว่าสามียังเอาใจออกห่างนางได้เพื่อตระกูลตนเองและอนุภรรยา มีแต่คนข้างกายเหล่านี้ที่ต้องพึ่งพิงนางเพื่อความอยู่รอด เป็นตายร่วมกัน และรุ่งเรืองตกต่ำพร้อมกัน ขอเพียงเลือกใช้คนได้ดี พวกนางจะจงรักภักดีและรู้ใจมากที่สุดอย่างไม่มีใครเกิน

นางเชื่อว่าตนเองดีต่อพวกสาวใช้ไม่น้อย จึงนึกหาเหตุผลที่พวกนางหักหลังตนเองไม่ออกจริงๆ

ตกดึก หญิงสาวพลิกตัวกระสับกระส่าย ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ

สาวใช้ผลัดดึกคืออีถง นางเอาเสื้อคลุมตัวถือตะเกียงเข้ามา “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”

ใต้แสงตะเกียง แววตาของอีถงเปี่ยมล้นไปด้วยความห่วงใย

นางยังจำได้ว่าเมื่อหลายวันก่อน ตนเองเคยถามอีถงว่าเต็มใจติดตามนางไปหนานจิงหรือไม่

อีถงก้มหน้าอย่างขัดเขิน ’ข้าอยากอยู่ในหวาอินเจ้าค่ะ!’

ตอนนั้นนางเอ่ยถามสาวใช้ด้วยรอยยิ้ม ’คนผู้นั้นเป็นใครหรือ ก่อนข้าไปจะต้องเป็นธุระจัดการให้แน่นอน เจ้าจะได้ไม่ดีใจเก้อ’

อีถงยิ้มอายๆ ’คุณหนูไม่รู้จักหรอกเจ้าค่ะ เขาเป็นคนนอกจวน พ่อแม่ข้าตอบตกลงแล้ว เพียงรอเรียนให้นายหญิงห้าทราบเท่านั้น!’

หรือว่าจะเป็นอีถง? หักหลังนางเพราะบุรุษคนหนึ่ง

นางปัดความคิดนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

ไม่มีทางเป็นอีถงไปได้

อีถงทำงานรับใช้อยู่ในเรือนนางตั้งแต่เจ็ดขวบ ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน เป็นกึ่งสหายกึ่งนายบ่าว อีถงถึงเป็นคนที่นางไว้วางใจมากที่สุด กระทั่งกุญแจห้องเก็บของของนางยังมอบให้อีกฝ่ายเก็บรักษา ถ้านางไม่เชื่อใจอีถงแล้วยังจะเชื่อใจใครได้อีก

หรือว่าจะเป็นอวี่เวย? หักหลังนางเพราะเรื่องเงินทอง

ครอบครัวอวี่เวยมีบิดาเป็นผีพนันขี้เหล้า แม้แต่มารดาของนางยังถูกขายแลกเป็นเงินซื้อสุรา หลังจากอวี่เวยได้เลื่อนขึ้นเป็นสาวใช้ชั้นสองได้ค่าจ้างทุกเดือนเขาก็มาขอเงินบ่อยๆ มีครั้งหนึ่งอวี่เวยไม่ให้ยังเคยข่มขู่ว่าจะเอาน้องชายแท้ๆ ของอวี่เวยไปขาย

นางปัดความคิดนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

ไม่มีทางเป็นอวี่เวยไปได้

อวี่เวยจะไปหนานจิงพร้อมกับนาง

หากโชคดีอวี่เวยอาจได้เป็นเมียบ่าว และถึงขั้นยกฐานะขึ้นเป็นอนุภรรยา หรืออย่างแย่ที่สุดก็ได้เป็นหัวหน้าคนรับใช้

ต้องเป็นเงินมากเท่าไรถึงทำให้อวี่เวยล้มเลิกความตั้งใจเดิมที่จะไปหนานจิง?

หรือว่าจะเป็นเจ๋อหลิว? เจี่ยนเฉ่า?

พอความคิดนี้ผุดขึ้น นางก็สะบัดหัวแรงๆ

นี่นางเป็นอะไรไปแล้ว ระแวงสงสัยใครต่อใครไปทั่ว

ดังคำกล่าวว่าเห็นต้นหญ้าเป็นข้าศึก* เกรงแต่ว่ายังหาตัวหนอนบ่อนไส้ไม่พบ นางจะคิดมากจนสติฟั่นเฟือนไปเอง

ท่าทางผิดแผกไปของนางทำให้อีถงเป็นห่วงขึ้นมา “คุณหนู ให้ข้าเอา ‘ศาสตร์แห่งงานสวน’ มาให้ท่านอ่านสองสามหน้าดีไหมเจ้าคะ”

‘ศาสตร์แห่งงานสวน’ คือตำราว่าด้วยการจัดสวนเล่มหนึ่ง

นางจะออกเรือนไปที่เจียงหนาน จึงตั้งใจค้นหาตำราเล่มนี้มาจากห้องหนังสือของบิดาโดยเฉพาะ ด้วยกลัวว่าจะไม่เข้าใจการตกแต่งสวนของเจียงหนานจนกลายเป็นที่ขบขันของผู้คน

ทว่าใต้แสงตะเกียงสลัวๆ ในวันนี้ เรื่องที่ตนเองยังใฝ่ฝันถึงเมื่อวานกลับแปรเปลี่ยนเป็นความขมขื่นไปเสียแล้ว

“ไม่ต้องหรอก!” นางพลิกกายหันหลังให้อีถง “รีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปอารามปี้อวิ๋นแต่เช้าตรู่”

แต่ไรมาอีถงไม่เคยขัดคำสั่งผู้เป็นนาย นางขานรับเสียงนุ่มและคลี่ม่านลงอย่างเบาไม้เบามือ

 

ยามฟู่ถิงจวินลืมตาขึ้นอีกครา เห็นฟ้าสางรำไรก็ลุกขึ้นผลัดอาภรณ์ จากนั้นติดตามมารดาไปอารามปี้อวิ๋น

อารามปี้อวิ๋นอยู่ห่างจากตัวเมืองสิบห้าลี้ สร้างอยู่ตรงเชิงเขาชีสยากลางดงไม้เก่าแก่ร่มครึ้ม ห้อมล้อมด้วยทิวเขาเรียงรายลดหลั่นกัน ทัศนียภาพงดงามจับตา เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การพักผ่อนหลบร้อน กั่วฮุ่ยซือฟู่* ผู้เป็นเจ้าอารามย่างเข้าวัยห้าสิบกว่า ใบหน้าเมตตาใจดี อ่อนโยนเป็นกันเอง ครั้นได้ยินว่านางเป็นไข้แดดก็ยกน้ำดอกไม้หกชนิดที่ปรุงขึ้นเองมาให้ แล้วพอรู้ว่านางจะอยู่พำนักชั่วคราวก็ส่งแม่ชีน้อยสองคนมาช่วยปัดกวาดเช็ดถู อีกทั้งยังแวะมาดูเป็นระยะและสนทนาธรรมกับนาง ด้านลวี่เอ้อกับหานเยียนสาวใช้สองนางนั้นเล่า เมื่อได้รับเลือกจากบรรดาบ่าวไพร่ทั้งหมดให้รั้งอยู่ในอารามปี้อวิ๋นก็ภาคภูมิใจเหลือหลาย พากันปรนนิบัติรับใช้นางอย่างระมัดระวัง ด้วยหวั่นเกรงว่าจะขาดตกบกพร่องอะไรไปแม้สักนิด

วันเวลาเช่นนี้สมควรผ่านไปอย่างผ่อนคลายเป็นอิสระและรื่นรมย์ใจอย่างยิ่ง

ทว่านางมักคิดถึงเรื่องนั้นอยู่ไม่วาย ส่งผลให้ลุกนั่งไม่เป็นสุข ยามดึกข่มตานอนไม่ได้ มีบางครั้งที่งีบหลับไป ก็ล้วนเข้าสู่ภวังค์ฝันร้ายที่ตัวเองยืนเดียวดายอยู่กลางวงล้อมของผู้คนทั้งชายหญิงทั้งเด็กและคนชรา ถูกประณามด่าทอ ตำหนิติเตียนจนถึงขั้นถูกขว้างปาด้วยก้อนหิน

หญิงสาวทนผ่านวันเวลาเช่นนี้ไปได้แค่ห้าหกวันก็ซูบผอมลงไปผิดตา

ภรรยาของปี้ปอเห็นเข้าก็ร้อนใจ เพียรหาถ้อยคำมาพูดให้นางได้คิด

แรกเริ่มนางยังรับฟังด้วยความอดทนอดกลั้น ตอนหลังก็ชักจะหงุดหงิดขึ้นบ้าง “ถ้าป้าหรูซือมีเวลาว่างอย่างนี้ มิสู้กลับไปสืบถามข่าวคราวทางจวนให้ข้าดีกว่า”

คิดไม่ถึงว่าภรรยาของปี้ปอนิ่งคิดแล้วถึงกับเห็นดีเห็นงามด้วย “เช่นนั้นข้าแอบกลับไปดูเงียบๆ นะเจ้าคะ!”

นางกลับกลายเป็นฝ่ายแตกตื่นเสียเอง “ถ้าเกิดถูกคนจับได้…”

“คุณหนูเก้าวางใจได้เจ้าค่ะ” ภรรยาของปี้ปอกล่าวยิ้มๆ “ข้าจะไม่เข้าไปในจวน แค่เปลี่ยนใส่ชุดชาวบ้านเดินๆ อยู่ในเมือง ดูว่ามีเสียงซุบซิบนินทาอะไรบ้างหรือไม่แล้วก็จะกลับมา”

นางกล่าวชมภรรยาของปี้ปอที่ทำอะไรรอบคอบ

ด้วยเหตุนี้ภรรยาของปี้ปอจึงแจ้งให้กั่วฮุ่ยซือฟู่ทราบ อ้างว่าจะกลับจวนไปรายงานอาการป่วยของนางต่อท่านแม่ จากนั้นออกจากอารามเข้าเมืองไปตั้งแต่ย่ำรุ่ง

พอถึงยามเย็น นางกลับมาพร้อมรอยยิ้มระบายเต็มหน้า “คุณหนูเก้า ในเมืองสงบเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ”

นางยังกระซิบพูดขึ้นอีกอย่างสะกดความยินดีปรีดาในใจไว้ไม่อยู่ “ข้ายังได้พบกับภรรยาของซิวจู๋โดยไม่ตั้งใจด้วยเจ้าค่ะ ข้าฝากนางส่งข่าวไปถึงนายหญิงห้า นายหญิงห้าพูดว่าอีกไม่กี่วันก็จะส่งคนมาเยี่ยมท่าน ถึงเวลานั้นค่อยเล่าให้พวกเราฟังอย่างละเอียดอีกที”

ภรรยาของซิวจู๋เป็นหัวหน้าคนรับใช้ที่ได้รับความไว้วางใจจากท่านแม่มากอีกคนหนึ่ง

นางยินดีจนออกนอกหน้า ในที่สุดก็นอนหลับอย่างเป็นสุขสักที

ไม่ถึงสองวัน ภรรยาของซิวจู๋ก็มาถึง

“ยาสมุนไพรพวกนี้ บางชนิดดับพิษร้อน บางชนิดช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี ส่วนวิธีใช้เขียนไว้บนนั้นหมดแล้วนะเจ้าคะ” นางแย้มยิ้มพลางยื่นห่อผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินส่งให้ลวี่เอ้อกับหานเยียนเอาออกไปเก็บ จากนั้นเล่าสั้นๆ แต่ได้ใจความ “สะใภ้ใหญ่ล้มป่วยเจ้าค่ะ คุณชายจั่วกังวลใจมาก พักอยู่ในจวนคอยถามไถ่เอาใจใส่เสมอๆ ส่วนเจ๋อหลิวสาวใช้ในเรือนท่านจู่ๆ ก็มีอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว ไปหาหมอมาหลายคนแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น พลอยทำให้อีถง อวี่เวย เจี่ยนเฉาเริ่มไม่สบายตามไปด้วย ดูทีว่าน่าจะเป็นโรคร้าย ฮูหยินผู้เฒ่าเลยให้ย้ายพวกนางไปอยู่ที่คฤหาสน์โรงนา แล้วยังเชิญนักพรตของอารามจิ่วเซียนกับพระจากวัดพัวอวิ๋นมาทำพิธี นอกจากนี้ในเรือนพำนักของคุณหนูก็โรยผงดินประสิวไว้ตามคำบอกของท่านหมอชื่อดังหม่าป๋อจวีอีกด้วย ตอนข้าเดินทางมา ฮูหยินผู้เฒ่ายังฝากคำพูดถึงท่านว่าให้พำนักอยู่ที่นี่สักพักอย่างสบายใจ รอให้กลิ่นดินประสิวจางหายแล้วค่อยกลับไปเจ้าค่ะ”

หญิงสาวตกใจระคนยินดี

ตกใจที่มารดาออกโรงด้วยตนเองแล้วยังสืบหาต้นสายปลายเหตุไม่พบ สาวใช้มือดีหลายคนในเรือนของนางยังถูกดึงเข้ามาพัวพัน กระนั้นก็ยินดีที่ลุงใหญ่ปรามจั่วจวิ้นเจี๋ยผู้นั้นไว้ได้ในที่สุด อีกทั้งท่านย่าออกหน้าเช่นกัน ซ้ำยังมีท่าทีปกป้องนางอีกด้วย…

“แล้วสืบได้กระจ่างชัดหรือยังว่าเป็นใครกันแน่” นางถามอย่างร้อนรน

“นายหญิงมิได้บอกอย่างละเอียด ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันเจ้าค่ะ”

ขณะที่ภรรยาของซิวจู๋กำลังพูดอยู่ หานเยียนก็เดินเข้ามา

“ข้าวของจัดเก็บเรียบร้อยหมดแล้ว ทางอารามก็ส่งอาหารมังสวิรัติมาให้แล้วเจ้าค่ะ”

สาวใช้ทั้งสองยังไม่รู้ว่านางมาที่อารามปี้อวิ๋นเพราะอะไร

ภรรยาของซิวจู๋หยุดสนทนาลงทันควัน

นางให้ภรรยาของปี้ปอออกไปกินข้าวเป็นเพื่อนภรรยาของซิวจู๋ ส่วนตนเองนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง แลมองต้นไผ่เงินด้านนอกอย่างเหม่อลอย

เมื่อภรรยาของปี้ปอส่งภรรยาของซิวจู๋กลับไปแล้วก็พูดปลอบนางเสียงเบาๆ “คุณหนู ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ายื่นมือเข้ามา พวกเราก็จะได้กลับไปในเร็ววันนี้แล้วเจ้าค่ะ!”

“ท่านไม่ต้องหลอกให้ข้าสบายใจหรอก” นางเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง “ข้าอยู่ข้างกายท่านแม่ หัดปกครองเรือนมาสามสี่ปี มีบางเรื่องที่ข้าพอจะกระจ่างแจ้งบางส่วน การที่ย้ายพวกสาวใช้ไปคฤหาสน์โรงนา หากมิใช่สืบไม่พบอะไรเลยได้แต่ใช้วิธีลงทัณฑ์ ก็คือช่วยกันปกปิดจนสืบสาวต่อไปไม่ได้ แต่ไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใดข้าก็ทุกข์ใจมาก…” นางมีน้ำตาซึมตรงหางตา

ภรรยาของปี้ปอไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

นานพักใหญ่ถึงกล่าวพึมพำขึ้น “รอภรรยาของซิวจู๋มาคราวหน้าก็ทราบแล้วเจ้าค่ะ!”

ทว่าสิ่งที่พวกนางคาดไม่ถึงคือภรรยาของซิวจู๋ไม่ได้มาอีกเลย

มิใช่เพียงแค่ภรรยาของซิวจู๋ที่ไม่มาที่นี่ ภรรยาของปี้ปอก็ถูกป้าเฉินส่งตัวกลับไป

“นายหญิงห้ามีเรื่องสำคัญต้องการให้ภรรยาของปี้ปอช่วยไปสะสาง ส่วนคุณหนูเก้าทางนี้จะขาดคนไม่ได้แม้สักวันเดียว” ป้าเฉินที่ปกติพินอบพิเทาต่อหน้านางเป็นนิจ ยอบกายคำนับด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง มีหญิงคนงานร่างใหญ่ท้วมหนาเจ็ดแปดคนตามมาด้านหลัง “ฮูหยินผู้เฒ่าจึงให้ข้ามาดูแลรับใช้ท่านชั่วคราวเจ้าค่ะ!”

ป้าเฉินเป็นมือหนึ่งข้างกายป้าสะใภ้ใหญ่ เทียบได้กับภรรยาปี้ปอของท่านแม่ และป้าหลีของท่านย่า

หญิงสาวรู้สึกไม่ชอบมาพากล

นางมาที่อารามปี้อวิ๋นมิใช่เรื่องเชิดหน้าชูตาอะไร ยิ่งมีคนรู้น้อยก็ยิ่งดี ไฉนถึงส่งคนมามากมายอย่างนี้ ต่อให้ท่านแม่มีเรื่องที่ต้องให้ภรรยาของปี้ปอกลับไป ก็ขอให้ท่านย่าส่งป้าหลีมาได้ เพราะอะไรต้องให้เรือนนายท่านใหญ่ยื่นมือก้าวก่ายเรื่องในเรือนนายท่านห้าด้วยการส่งป้าเฉินมา แล้วแต่ละคนที่ติดตามป้าเฉินมาล้วนแข็งแรงบึกบึน ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่หญิงคนงานธรรมดาสามัญ และมิใช่พวกที่เข้าออกเรือนหลังบ่อยๆ

ในจวนเกิดเรื่องร้ายขึ้น!

อีกทั้งสถานการณ์ยังไม่เป็นผลดีต่อนางและท่านแม่

หญิงสาวรับรู้ได้ถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์อย่างว่องไว นางเหยียดแผ่นหลังตรง เชิดคางขึ้นเล็กน้อย ปรายตามองป้าเฉินเยี่ยงผู้อยู่เหนือกว่าโดยหวังว่าจะสามารถข่มบารมีอีกฝ่ายได้ “ข้าอยู่ทางนี้มีทั้งแม่ชีของอาราม และสาวใช้อีกสองคน คงไม่ต้องรบกวนป้าเฉิน”

“คุณหนูเก้า เช่นนี้ไม่ใคร่จะดีนะ!” แม้ว่าป้าเฉินทำสีหน้ายิ้มแย้ม แต่หาได้เคารพนบนอบตามประสาข้ารับใช้สักนิดไม่ “หากฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องคงจะตำหนิที่ข้าทำงานไม่ดี” กล่าวจบนางส่งสายตาไปให้หญิงคนงานหน้ายาวเหมือนม้าด้านข้าง

หญิงรับใช้สองคนยึดตัวภรรยาของปี้ปอไว้ทันที

สีหน้าของหญิงสาวแปรเปลี่ยนไปถนัดตา

“คุณหนูเก้า!” ภรรยาของปี้ปอขยิบตาให้นางเป็นเชิงบอกว่าอย่าบันดาลโทสะ ป้าเฉินมีกำลังคนมากกว่า สู้ไปก็มีแต่เสียเปรียบ “ในเมื่อนายหญิงห้ามีงาน อย่างนั้นข้าก็จะกลับไปก่อน” นางยังกล่าวขึ้นอีกอย่างกำกวม “นับวันดูแล้ว นายท่านห้าน่าจะได้รับสารของนายหญิงห้าแล้ว คุณหนูใจเย็นรออีกสักพักนะเจ้าคะ”

ป้าเฉินไม่เอ่ยอะไร เพียงถอยหลังไปหลายก้าว

หญิงสาวมองดูภรรยาของปี้ปอถูกหญิงคนงานสองคนกุมตัวออกจากอารามปี้อวิ๋นไปต่อหน้าต่อตา

พอครุ่นคิดถึงเรื่องพวกนี้ ฟู่ถิงจวินปวดขมับตุบๆ ไม่หยุด

นับแต่ภรรยาของปี้ปอจากไป นางก็ถูกกักบริเวณอยู่ในอาราม แม้เดินไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ แต่ก็ออกไปข้างนอกไม่ได้ นางสามารถอ่านตำราเขียนหนังสือได้ แต่จะต้องผ่านมือป้าเฉิน นางสามารถคุยเรื่องสัพเพเหระกับกั่วฮุ่ยซือฟู่ได้ แต่ต้องมีหญิงคนงานสองคนอยู่ด้วย ราวกับนางกะพริบตาทีเดียวก็จะติดปีกบินหนีไปได้

หลังจากภรรยาของปี้ปอกลับไปแล้วก็ไม่มีข่าวคราวใดจากทางจวนอีก ยังมีสารฉบับหนึ่งที่กว่านางจะไหว้วานกั่วฮุ่ยซือฟู่ส่งให้มารดาได้มิใช่ง่ายๆ ก็ถูกป้าเฉินริบเก็บไว้เช่นกัน

“คุณหนูเก้า พวกข้าปฏิบัติตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าเช่นกันนะเจ้าคะ” ป้าเฉินเห็นสายตาเย็นชาของนางแฝงรอยเหยียดหยันอยู่หลายส่วน “คุณหนูเก้าโปรดอย่าทำให้พวกข้าลำบากใจเลย”

นางอับอายจนพานโกรธ ปิดประตูใส่หน้าป้าเฉินดังโครมใหญ่

ฟู่ถิงจวินเอนกายลงบนเตียงโดยไม่ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ เมื่อคิดคำนึงว่าในจวนเกิดเรื่องวุ่นวายไปถึงขั้นไหนแล้วก็ไม่รู้ นางซุกหน้ากับหมอนแล้วเริ่มต้นร่ำไห้อย่างกลั้นไม่อยู่

นอกจากเวียนหัวคัดจมูก นางยังรู้สึกสับสนงุนงง

ท่านย่าวางมือมานานแล้ว และให้ป้าสะใภ้ใหญ่เป็นคนปกครองเรือนหลัง ป้าเฉินเป็นมือหนึ่งข้างกายป้าสะใภ้ใหญ่ ช่วยเก็บรักษากุญแจหีบเงินกองกลาง ยังไม่ต้องเอ่ยถึงบ่าวไพร่บริวารในจวนที่เคารพนบนอบนางมาก กระทั่งท่านแม่และป้าสะใภ้อาสะใภ้ทั้งหลายยังต้องให้เกียรตินางสามส่วน ถึงกระนั้นนางก็ไม่เคยบกพร่องในหน้าที่ สุภาพนอบน้อมต่อผู้อื่น แม้แต่ท่านย่ายังชื่นชมนางอย่างยิ่ง

ป้าเฉินหาใช่พวกที่ยกยอผู้สูงศักดิ์แล้วเหยียบย่ำคนต่ำต้อย ต่อให้นางเป็นแพะรับบาปก็ไม่มีทางที่ป้าเฉินจะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเพราะเหตุนี้

พอความคิดนี้ผุดวาบในหัว นางลุกพรวดขึ้นนั่ง

แล้วถ้านางมิใช่แพะรับบาปเล่า

ป้าเฉินเป็นคนสนิทของป้าสะใภ้ใหญ่ ส่วนป้าสะใภ้ใหญ่ก็ได้รับความไว้วางใจจากท่านย่ามากที่สุด ถ้าจะพูดว่าป้าสะใภ้ใหญ่เชื่อฟังท่านย่าทุกเรื่อง เช่นนั้นป้าเฉินก็ต้องเชื่อฟังป้าสะใภ้ใหญ่ทุกเรื่องเช่นกัน

หรือว่าจั่วจวิ้นเจี๋ยใช้อุบายอะไรทำให้คนในจวนเชื่อคำพูดของเขา?

หนังตาของหญิงสาวกระตุกไม่หยุด นางนั่งไม่ติดอีกต่อไป จึงไปหาป้าเฉิน

“…ก่อนเจ้ามาที่นี่ ท่านย่าพูดอะไรบ้าง” นางยืนตัวตรงอยู่กลางห้องพลางจ้องตาป้าเฉินเขม็ง

ป้าเฉินประสานสายตากับนางนิ่งๆ โดยไม่หลบหลีก “ฮูหยินผู้เฒ่าพูดว่าอากาศร้อนอบอ้าว คุณหนูเก้าเพิ่งจะเป็นไข้แดด ถ้ากลับไปก็ต้องนั่งรถม้าตรากตรำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเกิดจับไข้ขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร มิสู้พักอยู่ในอารามต่ออีกสักพัก รอให้อากาศเย็นสบายขึ้นแล้วค่อยกลับไปจะดีกว่า เพียงแต่อารามแห่งนี้เปลี่ยวไกลเกินไป พวกคนงานชายกับผู้คุ้มกันจะพำนักอยู่ที่นี่นานๆ ก็ไม่เป็นการดี เลยได้แต่ให้ข้าพาหญิงคนงานเรี่ยวแรงดีๆ สักสองสามคนมาดูแลรับใช้คุณหนูเก้าเจ้าค่ะ”

ถ้อยคำพรรค์นี้เอาไว้โกหกเด็กสาวไม่ประสีประสายังพอทำเนา!

ฟู่ถิงจวินไม่มีแก่ใจโยกโย้อ้อมค้อมกับป้าเฉิน นางพูดเปิดอกอย่างตรงไปตรงมา “ป้าเฉิน จั่วจวิ้นเจี๋ยผู้นั้นพูดอะไรบางอย่างใช่หรือไม่…”

เสียงพูดของนางเพิ่งลอดออกจากปาก ป้าเฉินก็เอ็ดเสียงเบา “คุณหนูเก้า แมลงวันไม่ตอมไข่ที่ไร้รอยร้าว* หากท่านประพฤติตนอยู่ในร่องในรอย จั่วจวิ้นเจี๋ยจะพูดอะไรก็เปล่าประโยชน์ ในจวนมีคุณหนูสิบกว่าคน แต่คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าชมชอบมากที่สุดก็คือท่าน หากท่านไม่คำนึงถึงชื่อเสียงของสกุลฟู่ก็เห็นแก่ฮูหยินผู้เฒ่าที่ผมหงอกขาวทั้งศีรษะ มีอายุเกินครึ่งร้อย เป็นไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกทีแล้ว ท่านต้องสำรวมตนบ้างจึงจะถูก!” นางพูดด้วยขอบตาที่แดงเรื่อขึ้นเรื่อยๆ “ท่านกลับไปเถอะ เก็บตัวอยู่ในห้องอย่างสงบยังรักษาเกียรติของคุณหนูไว้ได้ ถ้ายังพูดจาส่งเดชเช่นนี้อีก ถึงข้าต้องได้ชื่อว่าเป็นคนไร้สัมมาคารวะก็จะขอสั่งสอนท่านแทนฮูหยินผู้เฒ่ากับนายหญิงใหญ่”

คิดไม่ถึงว่านางเป็นแบบนี้ในสายตาป้าเฉิน

ผู้อาวุโสในจวนก็คิดเฉกเดียวกันใช่หรือไม่

โลหิตแล่นขึ้นใบหน้าพาให้หัวสมองของนางอื้ออึงไป “ป้าเฉิน ข้าเป็นคนอย่างไรเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ ไฉนเจ้าถึงเชื่อคำคนนอกได้…”

ป้าเฉินกลับตรงไปเปิดประตู ทำท่าไม่เต็มใจพูดกับนางให้มากความ “คุณหนูเก้า อากาศร้อน ท่านกลับไปพักในห้องก่อนเถอะ!”

พวกหญิงคนงานยืนออดูอยู่ด้วยความสนใจใต้ชายคา คิดไม่ถึงว่าประตูจะเปิดออกกะทันหัน ครั้นจะเดินแยกย้ายกันไปทันทีก็ใช่ที่ ก็พากันหดหัวก้มหน้ามองไปทางอื่นเป็นทิวแถว แสร้งทำเป็นยืนคุยเล่นกันอยู่

นางไม่อยากกลับไปแบบนี้ ทั้งไม่อยากโต้เถียงกับป้าเฉินต่อหน้าหญิงคนงานพวกนั้น จึงกัดริมฝีปากยืนอยู่ที่เดิม

“คุณหนูเก้า!” ป้าเฉินหันหลังให้ “บ่าวไพร่อย่างพวกข้า จะไปถึงที่ใดต้องก้มหน้าเจียมตนถูกคนดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่เมื่อผู้อื่นได้ยินว่าพวกข้าเป็นคนของสกุลฟู่ สายตาที่มองมาล้วนต่างไปจากเดิม คำพูดคำจาก็สุภาพขึ้นไม่น้อย ถึงท่านไม่แยแส แต่พวกข้ากลับถือสิ่งนี้สำคัญเท่าชีวิต…หวังแต่ว่าสกุลฟู่จะเจริญรุ่งเรือง นายท่านทั้งหลายได้เป็นจิ้นซื่อ เป็นขุนนางใหญ่ ส่วนนายหญิงทั้งหลายได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นสตรีชั้นสูง พวกข้าออกไปข้างนอกก็สามารถเดินยืดอกได้…”

“กระทั่งเจ้ายังหวังให้สกุลฟู่ก้าวหน้า นับประสาอะไรกับข้าเล่า” นางตัดบทป้าเฉินด้วยสุ้มเสียงที่เบาลง จากนั้นเอ่ยแย้งอย่างร้อนรน “ในเมื่อป้าเฉินมีความคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งสมควรช่วยเหลือข้า”

“คุณหนูเก้า!” น้ำเสียงของป้าเฉินฟังดูเหนื่อยหน่ายอยู่บ้าง “ฮูหยินผู้เฒ่าแต่งเข้ามาในสกุลฟู่ตอนอายุสิบห้า จากหลานสะใภ้อดทนจนได้เป็นฮูหยินผู้เฒ่า ส่วนนายหญิงใหญ่ปกครองเรือนตั้งแต่อายุยี่สิบเจ็ด เริ่มจากคิดบัญชีด้วยลูกคิดจนแค่ฟังก็รู้ว่าเป็นจำนวนเท่าไหร่ ไม่รู้ต้องผ่านอุปสรรคมามากมายปานใด…ท่านวางใจได้ ขอแค่มีความหวังแม้เพียงนิด นายหญิงทั้งสองต้องไม่ให้ท่านถูกปรักปรำแน่ ท่านก็อย่าทำให้นายหญิงทั้งสองต้องวุ่นวายใจเพิ่มขึ้นอีกเลย”

นางเน้นเสียงหนักขึ้นตรงคำว่า ’ปรักปรำ‘ ดูมีนัยอื่นแฝงอยู่อย่างเห็นได้ชัด

สุดท้ายยังคงไม่เชื่อถือนางอยู่นั่นเอง

จู่ๆ นางก็รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง

ใช่สิ คนหนึ่งคือนายหญิงใหญ่ คนหนึ่งคือนาง สำหรับป้าเฉินแล้วคำพูดของใครน่าเชื่อถือ ไม่ต้องตรองดูก็รู้ได้

ขืนพูดต่อไปรังแต่จะฉีกหน้าตัวเองเท่านั้น

นางลากฝีเท้าหนักอึ้งกลับห้องไป

หานเยียนกับลวี่เอ้อเดินเคียงคู่กันเข้ามา

“คุณหนูเก้า พวกข้าเห็นหลายวันนี้ท่านนอนหลับไม่สนิท อยากจะขอถั่วเขียวจากซือฟู่ในอารามทำขนมเปี๊ยะไส้ถั่วกวนให้ท่านสักหน่อย ใครจะรู้ว่าป้าฝานผู้ติดตามของป้าเฉินกลับขวางไว้ไม่ให้พวกเราออกไปเจ้าค่ะ!” ทั้งคู่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ลวี่เอ้อก้มหน้าลง ส่วนหานเยียนพูดพลางพินิจดูสีหน้าของนางอย่างระมัดระวัง “ป้าฝานนั่นยังบอกพวกเราว่าวันหลังอย่าทำอะไรไม่ยั้งคิด ให้อยู่ในหอจิ้งเยวี่ยอย่างสงบ ห้ามออกไปเพ่นพ่าน ถ้าต้องการอะไรให้บอกกับนางโดยตรง นางจะไปบอกกับป้าเฉินเอง พอป้าเฉินอนุญาตแล้ว ถึงต้องขึ้นเขาลงห้วยก็จะจัดการให้พวกเราอย่างเรียบร้อย แต่หากป้าเฉินไม่อนุญาตก็อย่าหาว่านางไม่ทำตามคำสั่ง…”

เกิดเรื่องขึ้นติดๆ กัน แต่ไม่มีผู้ใดใส่ใจความคิดของสาวใช้ตัวเล็กๆ สองนางนี้ ในที่สุดพวกนางก็รับรู้ได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้จนมาถามหาเหตุผลแล้ว

น่าเสียดาย นางถูกกักอยู่ในอารามไม่สามารถขยับตัวไปไหน กระทั่งเขียนสารกลับบ้านยังส่งออกไปไม่ได้ ทว่าจั่วจวิ้นเจี๋ยกลับพำนักอยู่ในสกุลฟู่ อยากพูดอะไรก็ได้

หญิงสาวแลมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของพวกนางแล้วจิตใจเลื่อนลอยไปชั่วขณะ

หานเยียนกับลวี่เอ้อมองนางด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ราวกับว่านางจะต้องให้คำตอบที่ไขข้อกังขาของทั้งคู่ได้เป็นแน่

สาวใช้สองนางเจอเรื่องที่ฉงนสงสัยยังมีความกล้ามาถามไถ่ ขณะที่นางมีท่านแม่อบรมเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่มานานสิบกว่าปี หรือว่าพอเกิดเรื่องจวนตัวขึ้นนางยังสู้ไม่ได้แม้แต่สาวใช้ตัวเล็กๆ

นางนั่งรอความตายอยู่อย่างนี้ไม่ได้ จะปล่อยให้จั่วจวิ้นเจี๋ยพลิกขาวเป็นดำ พูดจาส่งเดชไปทั่วได้อย่างไร

มีบางอย่างปั่นป่วนอยู่ภายในใจหญิงสาว

นางยืดอกขึ้น

ในเมื่อทางกั่วฮุ่ยซือฟู่ถูกป้าเฉินปิดตายไป ส่วนป้าเฉินนั้นคงหวังพึ่งพาอะไรไม่ได้ นางจำต้องคิดหาหนทางเอาเองแล้ว

นางนิ่งตรึกตรอง จากนั้นเล่าที่มาที่ไปของเรื่องนี้ให้หานเยียนกับลวี่เอ้อฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

ทั้งสองตกใจจนหน้าถอดสี

“ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ก็ตาม เมื่อท่านแม่ให้พวกเจ้ามารับใช้ข้า ก็แสดงว่าเชื่อใจพวกเจ้า” นางมองคนทั้งสองด้วยสายตาจริงใจ “ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะช่วยข้าได้ พอได้พบกับท่านแม่ ก็ย่อมจะแจ่มแจ้งเป็นธรรมดาว่าใครถูกใครผิด”

สายตาท่านแม่มองคนไม่ผิดจริงๆ ทั้งคู่คุกเข่าลงตรงหน้านางโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ “คุณหนูเก้า พวกข้าเชื่อฟังท่านเจ้าค่ะ”

จิตใจที่ขุ่นมัวมาหลายวันปลอดโปร่งขึ้นบ้างในที่สุด

“ข้าอยากให้พวกเจ้าลอบออกไปส่งข่าวถึงท่านแม่”

ทั้งสองล้วนทำสีหน้าตกตะลึง ลวี่เอ้อยังถามอย่างหวาดกลัว “ขะ…ข้าไม่รู้จักทางเจ้าค่ะ”

หานเยียนใจกล้ากว่าบ้าง “มีปากกับตัวไม่กลัวหลงทาง ข้าไปเองเจ้าค่ะ”

นางหันไปส่งยิ้มให้กำลังใจหานเยียน แต่ครั้นนึกถึงสภาพจนตรอกในตอนนี้ก็พาให้สีหน้านางเครียดขรึมลงอีก “ข้าต้องกลับไปแก้ต่างให้ตัวเอง” เมื่อได้พูดสิ่งที่เก็บงำอยู่ในใจออกจากปาก ใบหน้านางก็เผยแววเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวให้เห็นรางๆ “ตอนนี้สถานการณ์ในจวนเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ข้ากลัวว่าบุ่มบ่ามกลับไปเองจะกลายเป็นอวดฉลาดจนเสียเรื่อง เจ้าบอกให้ท่านแม่ทราบถึงความตั้งใจของข้า ดูว่าท่านแม่จะว่าอย่างไร ถึงเวลานั้นข้าก็จะรู้ว่าควรทำอย่างไร”

หานเยียนผงกหัวหงึกหงัก

นางกระซิบกระซาบบางอย่างที่ริมหูสาวใช้ทั้งสอง

หลังจากนั้นหานเยียนกับลวี่เอ้อก็เริ่มสร้างความวุ่นวาย

ถ้ามิใช่จู่ๆ หายตัวไปจนทำให้หญิงคนงานพวกนั้นต้องตามหาตัวให้ควั่ก ก็เก็บตัวอยู่ในห้องนานสองนานไม่ออกมา ปล่อยให้พวกนางตบประตูอย่างไรก็ไม่เปิด

ทุกครั้งในเวลานี้ ฟู่ถิงจวินจะออกมาดุสั่งสอนพวกหญิงคนงานยกหนึ่ง

หลายวันเข้า ทุกคนเอือมระอาที่ต้องวิ่งวุ่นไปมา พากันโอดครวญไม่หยุด “ถึงอย่างไรคุณหนูเก้าก็เป็นคุณหนู พวกเราทำเช่นนี้กับนางก็โทษมิได้ที่นางจะอึดอัดคับใจ ข้าว่านะ ขอเพียงพวกคุณหนูไม่ออกจากอารามก็พอแล้ว”

ป้าเฉินเป็นคนรอบคอบ มาตรว่าในใจจะเห็นพ้องด้วยก็ยังคงเอ่ยว่า “พวกเจ้าคอยไปดูทุกๆ หนึ่งชั่วยามว่าคุณหนูเก้าทำอะไรบ้างก็แล้วกัน สำหรับสาวใช้สองคนนั้น หางานให้พวกนางทำเสียบ้างก็ไม่มีเวลาเถลไถลไปไหนแล้ว”

หลังจากฟู่ถิงจวินรู้เรื่องก็ลอบยินดี

เพียงแต่ยังหาวิธีดีๆ ที่จะออกไปไม่ได้เลย อารามปี้อวิ๋นมีทั้งเรือกสวนไร่นาและบ่อน้ำ ทำให้อยู่ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร นอกจากทุกสิบวันจะมีแม่ชีสองคนแบกตะกร้าไม้ไผ่ลงเขาไปซื้อของใช้ประจำวันจำพวกน้ำมันกับเกลือแล้ว ยามปกติอารามปี้อวิ๋นจะปิดประตูสนิท ไม่ต้อนรับคนเข้ามาไหว้พระ ถ้าคิดจะแอบอยู่ในรถม้าที่ลงเขาไปซื้อของเพื่อแฝงตัวปะปนออกไปคงไม่สำเร็จ ภายในอารามยังมีแม่ชีร่างใหญ่กำยำเจ็ดแปดคน มีหน้าที่ลาดตระเวนยามดึกโดยเฉพาะ อีกทั้งเลี้ยงสุนัขไว้อีกสิบกว่าตัว พอตกเย็นก็จะปล่อยออกมา ฉะนั้นจะคลำทางออกไปตอนมืดก็คงไม่เป็นผลเช่นกัน

แต่แล้วนางก็พบโดยไม่ตั้งใจว่าลานกว้างด้านหลังมีต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่งที่ยื่นออกไปนอกกำแพง ก็คิดแต่ว่าเห็นแสงรำไรในความมืดแล้ว

นางเรียกหานเยียนกับลวี่เอ้อมาหารือ “หานเยียนชวนป้าพวกนั้นคุยเรื่องสัพเพเหระโดยไม่ต้องสนใจอะไร ถ่วงเวลาพวกนางเอาไว้อย่าให้เรียกใช้พวกเจ้า ส่วนลวี่เอ้ออยู่โยงในห้องจะได้พร้อมช่วยเหลือข้าทุกเมื่อ ข้าจะอาศัยจังหวะตอนเที่ยงไปสำรวจเส้นทางลานด้านหลัง แล้วจะกลับมาในหนึ่งชั่วยามแน่นอน”

“ข้าไปเองดีกว่าเจ้าค่ะ” หานเยียนเอ่ย “ตอนนี้พวกป้าฝานไม่ค่อยเรียกหาพวกข้าเท่าไหร่แล้ว”

“ยังไม่รู้ว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่” นางส่ายหน้า “ถ้าเกิดถูกป้าเฉินจับได้ นางก็ทำได้แค่ว่ากล่าวข้าสองสามคำ หากเปลี่ยนเป็นพวกเจ้าเกรงว่าจะถูกโบย ให้ข้าไปดีแล้ว”

ด้วยเหตุนี้เอง นางถึงไปที่ลานด้านหลังตอนเที่ยง แล้วยังเกือบถูกบีบคอตายด้วย…

 

“น่าชังนัก!” ฟู่ถิงจวินกำมือเป็นหมัดแล้วทุบขอบอ่างน้ำทีหนึ่งอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จะเป็นการระบายความไม่พอใจที่มีต่อจั่วจวิ้นเจี๋ย หรือว่าบุรุษแปลกหน้าที่เกือบบีบคอนางตายผู้นั้นก็สุดจะรู้ได้

“คุณหนูเก้า!” หานเยียนกับลวี่เอ้อมองนางอย่างตะลึงลาน

“ไม่มีอะไร!” นางสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง พยายามสงบจิตใจลงเต็มที่ “ช่วยเช็ดผมข้าให้แห้งเถอะ ข้าอยากขึ้นเตียงนอนสักครู่หนึ่ง!”

เสียงของป้าเฉินดังมาจากนอกประตู “คุณหนูเก้าตื่นแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”

หานเยียนกับลวี่เอ้อมองฟู่ถิงจวินอย่างแตกตื่นอยู่บ้าง

เสียงของคุณหนูแหบแห้ง ซ้ำร้ายยังมีรอยแดงรอบลำคอ ทันทีที่ส่งเสียงพูดหรือให้พบหน้าก็จะส่อพิรุธ ถ้าป้าเฉินถามขึ้นมา พวกนางควรทำเช่นใดดี

ฟู่ถิงจวินปวดเศียรเวียนเกล้าเช่นกัน แต่นางนึกขึ้นได้อย่างรวดเร็วว่าในหีบสัมภาระของตนเองมีเสื้อผ้าฝ้ายโปร่งคอตั้งทอลายทแยงสีฟ้านวลตัวหนึ่ง จึงกระซิบสั่งหานเยียน “หยิบออกมาช่วยเปลี่ยนใส่ให้ข้า” นางเอ่ยขึ้นอีก “ประเดี๋ยวข้าแสร้งชักสีหน้าใส่ป้าเฉินโดยไม่ปริปากพูดอะไรก็สิ้นเรื่อง นางจะบังคับข้าได้หรือไร ถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็พลิกแพลงไปตามสถานการณ์แล้วกัน”

ทั้งคู่ถอนหายใจพร้อมกัน จากนั้นรีบเร่งไปหาเสื้อผ้าฝ้ายโปร่งตัวนั้น พอหมุนตัวไปเห็นชุดกระโปรงผ้าเนื้อหยาบที่ถอดเปลี่ยนออกมาก็ยัดใส่เข้าไปตู้ลิ้นชักด้านข้างอย่างลุกลี้ลุกลนแล้วถึงได้ไปเปิดประตู

หน้าต่างปิดแน่น ทำให้ภายในห้องร้อนอบอ้าว เตียงสี่เสาสีดำสนิทแขวนม่านผ้าฝ้ายสีฟ้านวลเนื้อหนา ตรงกลางห้องมีอ่างอาบน้ำทำจากไม้สนสูงเท่าตัวคนวางตั้งอยู่ มีน้ำสาดกระเซ็นอยู่ตามพื้นอิฐสีเทารอบๆ เป็นคราบน้ำวงเล็กวงใหญ่

ภายในห้องไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ป้าเฉินยอบกายคำนับด้วยสีหน้าเฉยเมย “อากาศร้อนปานนี้ ไฉนคุณหนูเก้าไม่ออกไปรับลมในโถงกลาง ดีชั่วที่นั่นยังพอมีลมโกรกนะเจ้าคะ!”

ฟู่ถิงจวินนั่งอยู่ข้างเตียงให้ลวี่เอ้อเช็ดผม พอได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมองป้าเฉินปราดหนึ่ง ก่อนจะกระชากผ้าในมือสาวใช้มาลงมือเช็ดผมเอง

ลวี่เอ้อมองป้าเฉินอย่างเก้อกระดากจนวางมือวางไม้ไม่ใคร่จะถูก

บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

ยังดีที่หานเยียนยกน้ำชามาให้ “ป้าเฉินเชิญดื่มน้ำชาเจ้าค่ะ”

ป้าเฉินรับน้ำชามาพลางกล่าวขอบคุณ นางถามฟู่ถิงจวินว่านอนหลับสบายหรือไม่ หลายวันนี้อากาศร้อน จะให้เอายาเม็ดดับพิษร้อนมาให้หรือไม่

หญิงสาวไม่พูดไม่จาสักคำ

หานเยียนส่งยิ้มให้อยู่ด้านข้าง

ป้าเฉินแค่นึกว่าฟู่ถิงจวินกำลังโกรธเคืองตนอยู่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจ ดื่มน้ำชาได้ครึ่งถ้วยแล้วอำลากลับไป

สีหน้าของทั้งสามคนล้วนผ่อนคลายลง

ฟู่ถิงจวินรีบพูด “ไปเปิดหน้าต่างเร็วเข้า ร้อนจะตายอยู่แล้ว!”

ลวี่เอ้อขานตอบแล้วเดินไป

ทว่าไม่มีลมพัดสักนิด อากาศร้อนอ้าวจนทำให้เหงื่อไหลไคลย้อยดุจเดิม

หานเยียนหาพัดมาด้ามหนึ่งแล้วนั่งบนม้านั่งตรงหัวเตียงโบกลมให้นาง

ขณะที่ทั้งสองกำลังจะสนทนากันก็มีเสียงโหวกเหวกดังลอยมาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นระลอก

ในอารามไม่อนุญาตให้ทำเสียงดังเอะอะ ยิ่งกว่านั้นอารามปี้อวิ๋นยังเป็นศาลเจ้าประจำตระกูล ไม่ได้เปิดต้อนรับคนนอกเข้ามาไหว้พระ

ตอนแรกฟู่ถิงจวินทำหน้าประหลาดใจ แต่แล้วคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้านางแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย พร้อมกับเงี่ยหูตั้งใจฟัง

หานเยียนสังเกตเห็นอย่างชัดเจน นางยื่นพัดส่งให้ลวี่เอ้อแล้วลุกขึ้นพูด “คุณหนูเก้า ข้าออกไปดูนะเจ้าคะ!”

ฟู่ถิงจวินลังเลชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้า

หานเยียนสาวเท้าลิ่วๆ ออกจากห้องไป

เวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูป* นางหลั่งเหงื่อโซมหน้าเดินย้อนกลับมา “คุณหนูเก้า มีคนขโมยของกินในเรือนครัวไปหมดเลยเจ้าค่ะ แล้วมิใช่แค่นั้น แม้กระทั่งไหใส่ข้าวสารก็ยกเอาไปด้วย”

ฟู่ถิงจวินไม่กล่าววาจาใด ด้านลวี่เอ้อเอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว “เช่นนี้ก็ออกจะประหลาดเสียแล้ว อารามปี้อวิ๋นกินอาหารแค่มื้อเช้ากับมื้อเที่ยง หากบอกว่ามีแม่ชีน้อยหิวท้องกิ่วจนทนไม่ไหวแล้วไปขโมยของกินก็พอจะฟังขึ้น ไฉนแม้แต่ไหใส่ข้าวสารก็ยกเอาไปด้วย หรือว่ายังจะก่อไฟหุงหาอาหารกันอีก”

“นั่นน่ะสิ!” หานเยียนเห็นว่าเรื่องนี้ชอบกลเกินไปเหมือนกัน นางกล่าว “กั่วจื้อซือฟู่บอกว่า ภายในอารามมีกฎข้อห้ามเคร่งครัด แต่ไรมาไม่เคยเกิดเรื่องพรรค์นี้มาก่อน เดิมทีอาหารพวกนั้นเก็บไว้ให้พวกเรา แต่ตอนนี้ถูกขโมยไปแล้ว เกรงว่าอาหารเย็นคงต้องล่าช้าไปบ้าง”

“ไหนพูดว่าไหข้าวสารโดนยกเอาไปด้วยมิใช่หรือ แล้วยังจะมีข้าวให้หุงได้อีกหรือ”

“นั่นเป็นแค่ส่วนที่วางไว้ใช้ในเรือนครัวเท่านั้น ยังมียุ้งข้าวอยู่อีกเจ้าค่ะ!”

ฟู่ถิงจวินเห็นทั้งคู่ยิ่งพูดยิ่งออกนอกเรื่องไปทุกที จึงกระแอมไอเบาๆ แล้วถาม “พบเบาะแสอะไรบ้างหรือเปล่า”

“ไม่มีเจ้าค่ะ!” หานเยียนส่ายหน้าพลางพูด “แต่กั่วจื้อซือฟู่บอกว่าจะต้องมีคนจงใจก่อกวนเป็นแน่”

หญิงสาวนิ่งงันไป “เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้”

“กั่วจื้อซือฟู่บอกว่าถ้าเป็นแม่ชีน้อยขโมยของกิน คงหายไปแค่หมั่นโถวสักลูกหรือแป้งย่างสักชิ้น มีอย่างที่ไหนขโมยของในเรือนครัวจนหมดเกลี้ยง เอาไปก็กินไม่หมด ยังมีไหข้าวสารหนักตั้งห้าหกสิบชั่งที่ต้องใช้คนแบกสองสามคน ไฉนหายไปไม่เหลือร่องรอยอย่างนี้” นางยังพูดปลอบฟู่ถิงจวินให้สบายใจ “กั่วจื้อซือฟู่บอกว่าทั่วทั้งอารามปี้อวิ๋นมีกันอยู่ยี่สิบสามสิบคนนี้เท่านั้น อาณาบริเวณก็ไม่ใหญ่ไม่เล็กแค่เจ็ดแปดหมู่ ถ้าค้นหาทุกซอกทุกมุม ใช้เวลาสี่ห้าวันก็หาตัวขโมยได้แล้ว เว้นเสียว่านางจะกินไหข้าวสารไปด้วย!”

สิ้นเสียงนางไม่ทันไร เสียงของป้าเฉินก็ดังขึ้นนอกประตู “คุณหนูเก้า บ่าวมีเรื่องรายงานเจ้าค่ะ!”

ฟู่ถิงจวินส่งสายตาไปทางหานเยียน หานเยียนเข้าใจความหมายจึงเดินไปเปิดประตู

“คุณหนูเก้า!” ป้าเฉินยอบกายคารวะนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “กั่วฮุ่ยซือฟู่สงสัยว่ามีคนแปลกหน้าบุกเข้ามาในอาราม เลยขอให้พวกเราระวังตัว หลายวันนี้อย่าได้ออกไปไหน นางจะให้คนจูงสุนัขสองสามตัวมาเฝ้าประตูให้ ประเดี๋ยวคุณหนูเก้าเห็นแล้วไม่ต้องตื่นตระหนกนะเจ้าค่ะ”

ฟู่ถิงจวินทำตาโต สีหน้าตะลึงลานเต็มที่

หานเยียนมองนางแวบหนึ่ง รู้ว่านางอ้าปากพูดไม่ได้ “ป้าเฉิน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เจ้าคะ”

ป้าเฉินแลดูกลัดกลุ้มว้าวุ่นใจ ก็มิได้ใส่ใจว่าหานเยียนสอดปากขึ้นแบบนี้เป็นการผิดธรรมเนียมอย่างมาก นางเอ่ยตอบว่า “ชิ่งหยางกับก่งชางเกิดภัยแล้งรุนแรง มีชาวบ้านประสบภัยหลั่งไหลเข้ามาในซางโจวกับถงโถวกลุ่มใหญ่ อีกทั้งยังเคยพบเจออยู่แถวนอกเมืองหวาอินของเราด้วย คนพวกนั้นเห็นอาหารก็แย่งชิง พวกเราระวังตัวไว้จะดีกว่า”

นางยังคิดจะกล่าวอะไรต่อ ป้าฝานก็เดินพรวดๆ เข้ามา พอยอบกายคารวะฟู่ถิงจวินอย่างขอไปทีแล้วพูดด้วยสีหน้าร้อนรน “ป้าเฉิน กั่วฮุ่ยซือฟู่เชิญท่านไปคุยด้วยเจ้าค่ะ”

“อื้อ” ป้าเฉินส่งเสียงตอบคำหนึ่ง และกล่าวสำทับฟู่ถิงจวินสองสามคำเช่นว่า “คุณหนูเก้าอยู่ว่างๆ ก็อ่านหนังสืออยู่ในห้องเถิด” อะไรทำนองนี้ แล้วก็ออกไปกับป้าฝานอย่างรีบร้อน

ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบเชียบ

หานเยียนมองลำคอของฟู่ถิงจวินด้วยท่าทางอึกๆ อักๆ

ลวี่เอ้อกลับบ่นพึมพำ “คุณหนูเก้า พวกเราคงไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีคนเร่ร่อน ที่นี่อยู่ห่างจากชิ่งหยางกับก่งชางตั้งหลายร้อยลี้เชียวนะ?”

หานเยียนทั้งละเอียดรอบคอบและเฉลียวฉลาด เห็นทีว่าคงรู้คำตอบอยู่ในใจแต่แรก มิสู้กล่าวให้กระจ่างแจ้งตามตรงอย่างจริงใจจะดีกว่า วันหน้ายังมีเรื่องต้องไหว้วานนางอีกมาก

ฟู่ถิงจวินลอบถอนใจ เอ่ยสั่งลวี่เอ้อ “เจ้าตามไปดูสักหน่อย มีเรื่องอะไรรีบกลับมารายงานข้าสักคำ”

“เจ้าค่ะ” ลวี่เอ้อขานตอบแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปหาป้าเฉิน

ฟู่ถิงจวินชี้ที่ม้านั่งข้างเตียง “นั่งลง”

หานเยียนนั่งหมิ่นๆ บนม้านั่งอย่างกระวนกระวายใจบ้าง

ฟู่ถิงจวินเล่าเรื่องทั้งหมดให้หานเยียนฟังว่านางพบบุรุษแปลกหน้าที่ลานด้านหลัง และถูกเขาบังคับให้พาไปที่เรือนครัวอย่างไร จากนั้นยังเกือบถูกเขาบีบคอตาย

หานเยียนยิ่งฟังยิ่งทำหน้าหวาดผวา สีหน้าเผือดขาวลงเรื่อยๆ พอฟู่ถิงจวินเล่าจบ นางก็ลุกขึ้นยืนทันที “เช่นนั้นพวกเรารีบไปบอกกั่วฮุ่ยซือฟู่เถอะเจ้าคะ”

“ไม่ได้!” หญิงสาวคัดค้านทันควัน “ถ้ากั่วฮุ่ยซือฟู่ถามขึ้นมา พวกเราจะอธิบายเรื่องที่ไปเรือนด้านหลังอย่างไรเล่า”

หานเยียนนิ่งขึงอยู่กับที่

“ตอนนี้ข้ามีปัญหารุมเร้ารอบตัวจนเลี่ยงหลบแทบไม่ทัน” เสียงแหบแห้งของผู้เป็นนายละม้ายเสียงซอเก่าๆ ที่เจือไว้ด้วยความเศร้าโศก “ถ้าป้าเฉินรู้ว่าข้าเคยถูกบุรุษจับตัวไว้ ยังไม่รู้ว่านางจะคิดเช่นไร แล้วเรื่องจะบานปลายไปถึงไหน!”

มีหรือที่หานเยียนจะไม่รู้ ในใจนางหวาดกลัวเหลือหลาย นางเอ่ยเสียงอุบอิบ “ถ้าคนผู้นั้นเป็นคนเร่ร่อนจริงๆ จะทำฉันใดเจ้าคะ แล้วเขาจะมาอีกหรือไม่ ในอารามมีแต่สตรี หากเขาคิดร้ายขึ้นมาจะทำประการใดดี”

ถ้าเกิดคนผู้นั้นเป็นคนเร่ร่อนจริงๆ อารามปี้อวิ๋นตั้งอยู่ในที่เปลี่ยวร้างห่างไกล ไม่มีคนงานชายเฝ้ายาม ทั้งยังมียุ้งฉางเป็นเนื้ออันโอชะที่ทำให้คนจับจ้องตาเป็นมันชิ้นหนึ่งจริงๆ

“คงไม่กระมัง!” ฟู่ถิงจวินพูดด้วยน้ำเสียงลังเลอย่างไม่ใคร่มั่นใจเท่าไหร่นัก “ถ้าเป็นคนเร่ร่อน ไฉนมีเขาคนเดียว อย่างมากก็เป็นคนร้ายที่หนีหัวซุกหัวซุนมาถึงที่นี่ คนพรรค์นี้กลัวถูกทางการจับตัวไป ปกติจะไม่หยุดพักอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป”

หานเยียนตรึกตรองแล้วเห็นว่ามีเหตุผล นางกล่าวเสียงอ้อมๆ แอ้มๆ “เช่นนั้นพวกเรายังต้องไปที่ลานด้านหลังสำรวจเส้นทางอีกไหมเจ้าคะ” ในถ้อยคำมีนัยถอดใจกลางคัน

สมดังคำกล่าวว่าเรือนรั่วยังเจอฝนพรำทั้งคืน* โดยแท้

ฟู่ถิงจวินรู้สึกว่าตนเองเริ่มปวดศีรษะขึ้นมาอีกแล้ว

ลวี่เอ้อวิ่งเข้ามา พูดอย่างดีอกดีกใจ “คุณหนูเก้าๆ ป้าเฉินส่งคนกลับเข้าเมืองไปแจ้งข่าวแล้ว บอกว่าอารามปี้อวิ๋นไม่ปลอดภัย จะส่งคนงานชายกับผู้คุ้มกันมาได้หรือไม่”

คนงานชายกับผู้คุ้มกันจะนอนค้างอ้างแรมในอารามได้อย่างไรกัน ป้าเฉินจะถามว่ากลับจวนได้หรือไม่ต่างหากเล่า!

ฟู่ถิงจวินกับหานเยียนมองหน้ากันไปมา ต่างแสดงสีหน้าตื่นเต้นยินดี

นี่เป็นเคราะห์ดีในเคราะห์ร้ายจริงๆ

ฟู่ถิงจวินพลอยรู้สึกว่าความเจ็บปวดตรงลำคอกลายเป็นสิ่งที่ทานทนได้ง่ายดาย

ทั้งสามเฝ้ารอด้วยความเบิกบานใจ

 

ทางจวนสกุลฟู่มีคำตอบมาอย่างฉับไว “ผู้ตรวจการมณฑลส่านซีส่งลั่วผิงหยาง ผู้ช่วยเจ้าเมืองส่านซีไปบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยในชิ่งหยางกับก่งชางแล้ว หวาอินห่างจากเมืองซีอานไม่ถึงสองร้อยลี้ จะมีคนเร่ร่อนได้อย่างไร พวกเจ้าพักอยู่ที่นั่นให้สบาย รอเมื่ออากาศเย็นลงแล้วก็จะรับพวกเจ้ากลับจวนแน่นอน”

ฟู่ถิงจวินมองหานเยียนอย่างงงงัน นานพักใหญ่กว่าจะรวบรวมสติคืนมาได้ นางเพียงรู้สึกเย็นวาบคล้ายมีงูเลื้อยขึ้นมาตามสันหลัง หนาวยะเยือกจนตัวสั่นสะท้านไม่หยุด

นางโบกมืออย่างอ่อนระโหยโรยแรง เป็นเชิงบอกให้หานเยียนกับลวี่เอ้ออย่ากวนใจ จากนั้นก็นั่งอยู่ตามลำพังตั้งแต่เช้ายันเย็น

กลางดึก นางเอ่ยถามหานเยียน “เจ้ายังเต็มใจกลับไปส่งสารให้ข้าหรือไม่”

หานเยียนนิ่งเงียบไปเกือบหนึ่งถ้วยชา** ถึงกล่าวเสียงเบา “ขะ…ข้าเชื่อฟังคุณหนูเจ้าค่ะ”

แต่ในใจยังคงไม่เต็มใจอยู่ดี

นั่นสิ ใครจะเต็มใจไปเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตเล่า!

ทว่านางมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิต

ยิ่งประวิงเวลาออกไป ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อนาง

ถ้าปล่อยให้จั่วจวิ้นเจี๋ยสมดังใจหมาย ถึงนางตายก็ตายตาไม่หลับ!

วันรุ่งขึ้น นางเตรียมตัวไปสำรวจเส้นทางที่เรือนด้านหลังเป็นคำรบที่สอง

กั่วฮุ่ยซือฟู่ให้คนจูงหมาเหลืองตัวเขื่องหลายตัวเดินยามวนเวียนไปมาอยู่ในอารามโดยไม่หยุดสักชั่วขณะ เป็นเหตุให้นางไม่มีโอกาสจะก้าวออกจากประตูลานเรือน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงลานด้านหลัง

ทุกมื้อนางจะเหลือซาลาเปาไส้ผักสองสามลูกไว้เลี้ยงสุนัข หมายใจว่าจะทำความคุ้นเคยกับพวกมันก่อน

ป้าเฉินเห็นแล้วขมวดคิ้วอยู่ด้านข้างหลายครั้ง มีครั้งหนึ่งอดกล่าวขึ้นไม่ได้ “คุณหนูเก้า ข้างนอกบางคนไม่มีแม้แต่น้ำจะดื่มนะเจ้าคะ!”

ฟู่ถิงจวินจ้องหน้านางครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนกายเข้าห้องไป

ไม่ถึงชั่วครู่ หานเยียนออกมาพูดเสียงดังกับแม่ชีน้อยที่มาส่งอาหาร “คุณหนูของพวกข้าบอกว่าพวกเจ้าทำซาลาเปาไส้ผักอร่อย ให้เอามาอีกสามสิบลูก”

แม่ชีน้อยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงหันไปมองป้าเฉิน

ป้าเฉินเคืองน้อยๆ แต่ยังคงกล่าวว่า “เจ้าทำตามที่คุณหนูเก้าสั่งก็พอ”

ตอนอาหารเย็น ซาลาเปาไส้ผักสามสิบลูกถูกนำมาส่งให้จริงๆ

หานเยียนเห็นซาลาเปาครึ่งชามอ่างแล้วตะลึงไป

ฟู่ถิงจวินคลี่ยิ้ม รอยยิ้มใต้แสงตะเกียงสีเหลืองสลัวๆ ฝืดเฝื่อนสุดจะเปรียบ “ตักน้ำในบ่อมารองใต้ชาม พรุ่งนี้เอาไปให้พวกแม่ชีน้อยที่กวาดพื้นกิน”

หานเยียนออกไปตักน้ำเข้ามา จากนั้นจุดธูปอ้ายเฉ่า* แล้วปูเตียงอย่างเงียบๆ ตลอดเวลา

ฟู่ถิงจวินตาจ้องมองแสงจันทร์สีเงินยวงที่ส่องลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่กรุด้วยกระดาษเกาลี่

เป็นวันที่สิบห้าอีกแล้ว นางมาอยู่ที่นี่นานหกสิบสองวันเต็มๆ ออกไปไหนไม่ได้

แล้วท่านแม่เล่า? เพราะอะไรไม่เขียนสารถึงนางเลย หรือจะถูกกักตัวเช่นกัน

พอคำถามนี้ผุดขึ้น นางสั่นศีรษะทันที

จะเป็นไปได้อย่างไร ท่านแม่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงอันเหริน** ขั้นหก นอกจากท่านย่าแล้วก็เป็นท่านแม่ที่ได้รับการเคารพนับถือมากที่สุด ใครจะกล้าดีกักตัวท่าน?

ดวงจันทร์แจ่มกระจ่างอับแสงไปชั่ววูบแล้วกลับมาส่องสว่างดังเดิมละม้ายแสงเทียนต้องลม

ฟู่ถิงจวินพลิกกายคราหนึ่ง

ทันใดนั้น ลำคอก็ถูกคนตรึงไว้ “อย่าส่งเสียง!”

เสียงนั้นราบเรียบเนิบนาบไม่แฝงอารมณ์ใดๆ ถึงนางจะอยู่ในความฝันก็ไม่มีทางจำผิด

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com