X
    Categories: LOVEทดลองอ่านปภาวินท์

ทดลองอ่าน ปภาวินท์ บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 5 ครอบครัวพร้อมพิพัฒน์

ปภาวรินท์พบว่าการเข้าถึงตัวพ่อแท้ๆ ของตนเองนั้นเป็นภารกิจที่มีความยากระดับเอสทีเดียว ทั้งนี้เพราะพี่สาวต่างแม่ของเธอนั้นตั้งตัวเป็นประหนึ่งเจ้าแม่ ควบคุมทั้งที่บ้านและบริษัท…อย่างที่บ้านเอง ถึงพวกคนงานจะดีกับเธอตามสมควร แต่ก็ไม่มีใครกล้าหือกับรัญชนา ส่วนที่บริษัทยิ่งแย่เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้บริหาร ส่วนเธอนั้นถึงเป็นลูกอีกคนแต่ก็มีสถานะเป็นเพียงพนักงานแสนธรรมดา

หญิงสาวใช้เวลาสองสามวันเปลี่ยนแผนไปมาอีกหลายรอบกว่าจะสบโอกาสเหมาะ พอรู้ว่าประดิษฐ์ไปตรวจสุขภาพในตอนบ่ายและกลับบ้านไปพักผ่อนเลย ส่วนค่ำนี้มีงานอีเวนต์ใหญ่ซึ่งรัญชนาไม่มีทางพลาด ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจกลับบ้านตอนกลางสัปดาห์

“อ้าว ว่าไงยายหนู วันนี้กลับมาบ้านได้ยังไง” ประดิษฐ์ถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนที่เคาะประตูเข้าสู่ห้องนอนคือลูกสาวคนเล็ก

“มาหาป๊าแหละ วันนี้ไปตรวจสุขภาพมาผลเป็นยังไงบ้าง” ปภาวรินท์ยกมือไหว้พ่อแล้วก้าวเข้าไปกอดท่าน

“ก็เดิมๆ น่ะแหละ”

“เดิมๆ แบบที่เพื่อนหมอของพี่รัชบอกตอนเอาผลไปให้ดูน่ะเหรอ”

“เรานี่มันจริงๆ เลย” เจ้าสัวใหญ่ทำเสียงดุอย่างไม่จริงจังนัก

“ตกลงว่าโอเคจริงๆ ใช่ไหม” หญิงสาวไม่ราข้อ

เมื่อปีก่อนพ่อไปตรวจสุขภาพแล้วกลับมาบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่รัชนาทมีเพื่อนเป็นหมอหลายคนเลยหยิบผลตรวจไปให้เพื่อนดู ความจริงจึงปรากฏว่าที่แท้แล้วสุขภาพของประดิษฐ์อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเฝ้าระวังในหลายทาง ตั้งแต่นั้นเลยมีการเปลี่ยนแปลงในบ้านหลายอย่าง เช่นเรื่องอาหารการกิน และนั่นอาจเป็นเรื่องเดียวที่เธอกับรัญชนามีความเห็นพ้องไปในทางเดียวกันโดยไม่ต้องให้ใครช่วยไกล่เกลี่ย ประดิษฐ์ไม่สบอารมณ์นักแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อลูกๆ รวมหัวกัน

“จริงสิ ไม่เชื่อก็เอาผลตรวจไปดูเลยเอ้า” ประดิษฐ์ชี้มือชี้ไม้ไปยังซองเอกสารที่วางอยู่ตรงหัวเตียงอย่างรำคาญ

“เดี๋ยวพี่รัชต้องมาขอผลตรวจของป๊าไปให้เพื่อนหมอดูอีกแน่ๆ” ปภาวรินท์อมยิ้ม ก่อนจะโน้มตัวกอดพ่ออีกรอบ “ป๊าอย่าอารมณ์เสียสิ ปินแค่เป็นห่วงเฉยๆ ปินอยากให้ป๊าอยู่กับปินไปนานๆ ไง”

“รู้แล้วน่า” แม้สุ้มเสียงจะเจือไว้ด้วยแววเบื่อหน่าย ทว่าเขาก็วางแขนโอบไหล่ลูกสาวคนเล็ก “แล้วนี่กลับมาบ้านได้ไปบอกพวกในครัวหรือยังว่าจะกินอะไร”

“ปินกินเหมือนกับป๊าแหละ จะได้สุขภาพดีๆ ด้วยกันไง” เธอส่งยิ้มไปออดอ้อนพ่อ

ปกติแล้วถึงจะกินข้าวร่วมโต๊ะกันแต่ก็มีอาหารที่ประดิษฐ์กินได้และกินไม่ได้ ซึ่งอาหารที่กินไม่ได้แต่ละอย่างก็ล้วนเป็นของที่ท่านชอบและอร่อย จนบางทีท่านก็พานหงุดหงิดไปเลย ครั้นจะให้กินอาหารเพื่อสุขภาพแบบพ่ออย่างเดียวพวกลูกๆ ก็ไม่ค่อยไหวกันอีก นี่เลยเป็นเหตุผลที่รัชนาทมักจะกินอาหารเย็นนอกบ้าน

“เรานี่มันอ้อนเก่ง” ประดิษฐ์ชี้หน้าลูกสาวในเชิงเอ็นดู “แต่ไปบอกพวกในครัวเถอะ สั่งไก่ทอดอะไรที่เราชอบ จะได้กินข้าวอร่อยๆ”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ” หญิงสาวยืนยันทั้งรอยยิ้ม

“เอ้า ตามใจ” ผู้เป็นพ่อทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วดึงให้ร่างเล็กนั่งลงด้วยกัน “ไหนๆ ยังพอมีเวลาก็นั่งคุยกับป๊าหน่อย เหมือนเราไม่ค่อยได้คุยกันสองคนเลยนะ”

“คงเพราะปินไปอยู่คอนโดฯ แล้วก็ไม่ได้ทำงานชั้นบนกับป๊าล่ะมั้ง”

“นั่นสิ…จริงๆ ก็ขึ้นมาทำงานข้างบนกับป๊าได้แล้วมั้งเรา ปินทำงานมาหลายปีแล้วนะ ป๊าไม่เข้าใจเราจริงๆ ให้ขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกก็ไม่เอา ตามจริงด้วยผลงานและอายุงานเราก็ขึ้นได้แล้ว ไม่ใช่ว่าขึ้นเพราะเป็นลูกป๊า”

“ปินชอบทำงานที่ถนัดเพียวๆ มากกว่าไง พอเป็นหัวหน้าก็ต้องเข้าประชุมนู่นนี่ ปินไม่ถนัดเลย” ปภาวรินท์ไม่แปลกใจที่พ่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะพออยู่กันตามลำพังทีไรท่านก็เปิดประเด็นนี้ขึ้นมาทุกที

“หัดบ้างสิ จริงอยู่ยังไงปินก็เป็นลูกป๊า มีงานทำไปตลอดชีวิตแน่ๆ แต่คนเราก็ต้องหาทางขยับขยายก้าวหน้าไม่ใช่หรือไง” ประดิษฐ์โคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ ลูกสาวคนเล็กของเขาเป็นเด็กดีน่ารัก เธอไม่เคยทำให้เขาผิดหวังหรือกังวล ยกเว้นแค่เรื่องงานเท่านั้น

“พูดถึงเรื่องนี้…โครงการรีโนเวตโรงแรมของป๊าไปถึงไหนแล้วคะ” หญิงสาวรีบพาบทสนทนาเข้าประเด็น เธอทราบอยู่แล้วว่าพ่อจะต้องพูดเรื่องงานขึ้นมา ดังนั้นมันก็ไม่ยากที่จะชวนท่านคุยเรื่องโครงการนี้

“อีกไม่กี่วันพวกสิงคโปร์จะบินมาคุยเรื่องรายละเอียดงานรีโนเวตกับสร้างศูนย์การค้า…ทำไม สนใจหรือไงเรา” ผู้เป็นพ่อเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะปกติแล้วเธอไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นในบริษัทนอกเหนือจากงานของตัวเองเลย

“มันเป็นเรื่องออกแบบ ใกล้กับงานของปินอยู่แล้วไง” ลูกสาวบอก พอพ่อพยักหน้ารับเป็นเชิงรับรองเหตุผลนี้เธอก็พูดต่อ “ความจริงเมื่อไม่กี่วันก่อนปินบังเอิญไปเจอรุ่นพี่สมัยเรียน เขาเป็นสถาปนิกที่ออกแบบโครงการสกายไลน์ของกลุ่มภักดิ์โภคิน พอได้คุยกันปินเลยคิดว่าการออกแบบตึกมันมีแง่มุมที่ลึกซึ้งกว่าที่คิด แล้วปินก็นึกถึงโครงการของป๊าขึ้นมา”

“อืม ความจริงเรื่องนี้ก็ทำป๊าปวดหัวอยู่เหมือนกัน เพราะบริษัทของเรายังใหม่กับเรื่องอสังหาริมทรัพย์มาก”

“ถ้าป๊าคิดว่าปินช่วยอะไรได้ก็บอกนะ ถึงปินไม่ค่อยเก่งอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องทำนองการออกแบบอะไรต่างๆ ปินอาจพอช่วยได้”

ประดิษฐ์มองหน้าลูกสาว ลำพังเรื่องการออกแบบอะไรนั่นท่านไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่โครงการนี้เป็นงานอสังหาริมทรัพย์และเป็นการร่วมทุนกับต่างชาติ การให้ปภาวรินท์เข้ามามีส่วนร่วมอาจเป็นโอกาสดีที่จะให้เธอเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อจะได้เติบโตก้าวหน้าต่อไป อย่างไรอีกคนที่ดูแลโครงการนี้อยู่ก็คือรัชนาท สองพี่น้องช่วยกันทำงานก็ถือเป็นเรื่องดี

“เดี๋ยวป๊าจะลองถามรัชดู งานใหญ่แบบนี้มาช่วยกันก็น่าจะดี”

ปภาวรินท์ฉีกยิ้มรับ เพราะลองถ้าประดิษฐ์พูดแบบนี้ก็เท่ากับเธอจะต้องได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับโครงการที่หมายตาอยู่แน่นอน

 

ลูกสาวคนเล็กของเจ้าสัวประดิษฐ์ก้าวเข้าไปในร้านกาแฟแบรนด์ดัง ภายในร้านมีลูกค้าพอสมควร ชุดโต๊ะและโซฟาตั้งกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นกาแฟ เธอยังไม่ทันสอดส่ายสายตามองหา เสียงคุ้นหูก็ลอยมา

“อ้าว น้องปิน”

ปภาวรินท์หันไปเจออาชวินซึ่งเพิ่งถือกาแฟสองแก้วเลี้ยวออกมาจากหน้าเคาน์เตอร์พอดี เธอเลยส่งยิ้มให้

“พี่วิน สวัสดีค่ะ ขอโทษทีนะคะที่มาช้าไปนิด”

“แค่สิบนาทีเองครับ เพื่อนพี่ก็เพิ่งมาเหมือนกัน…เอ้อ น้องปินดื่มอะไรครับ”

“ปินจัดการเองค่ะ” เธอรีบบอก “โต๊ะอยู่ตรงไหนคะ เดี๋ยวปินตามไป”

“ชุดโซฟาด้านในครับ ตรงที่มีผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้านั่งอยู่น่ะ” อาชวินพยักพเยิดไปทางชุดโซฟาลึกเข้าไปด้านในร้าน

“โอเคค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มให้เขาก่อนจะก้าวไปต่อแถวสั่งกาแฟ

ปภาวรินท์เพิ่งสั่งเครื่องดื่มตอนที่จับได้ว่ามีคนก้าวมายืนใกล้ๆ พอหันไปก็พบว่าเป็นอาชวินอีกรอบ

“พี่จะมาช่วยเอาของไปไว้ที่โต๊ะให้ก่อนครับ”

“โอ๊ะ ขอบคุณมากค่ะ” เธอทำตาโตก่อนจะยื่นถุงผ้าในมือส่งให้อีกฝ่ายโดยดี

สถาปนิกหนุ่มยิ้มรับแล้วหมุนกายผละไป หญิงสาวมองตาม ได้แต่รำพึงอยู่ในใจ…ทำไมถึงเป็นคนดีมีน้ำใจแบบนี้เนี่ย

ปภาวรินท์รอเครื่องดื่มอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินไปยังชุดโซฟาที่สองหนุ่มสถาปนิกจับจองอยู่ ทั้งสองกำลังเอียงหน้าคุยอะไรบางอย่างต่อกัน สำหรับเธอแล้วมันเป็นภาพที่น่ามองมากทีเดียว

“เชิญนั่งเลยครับน้องปิน” อาชวินขยับนั่งตัวตรงเมื่อเห็นสาวร่างเล็กเดินมา และเมื่อเธอนั่งเรียบร้อยแล้วเขาก็ผายมือแนะนำ “ก่อนอื่นพี่ขอแนะนำหุ้นส่วนหน่อย…นี่วีครับ”

“สวัสดีค่ะ สมัยเรียนปินเคยเจอพี่วีด้วยล่ะ ขอเรียกแบบนี้นะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้ทั้งรอยยิ้มสดใส พอเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วก็อธิบายต่อ “ตอนนั้นปินซุ่มซ่ามเปิดแฟ้มงานทิ้งไว้ พอลมพัดมางานปลิวกระจาย พี่วีเดินผ่านมาพอดีก็เลยช่วยปินไล่เก็บงานอยู่ตั้งนาน มีแผ่นนึงต้องกึ่งๆ ปีนไปเก็บบนต้นไม้ด้วย”

วีรากรเลิกคิ้ว ก่อนจะพยักหน้ารับ “พอพูดว่าปีนต้นไม้พี่ก็จำได้รางๆ…บังเอิญจริงๆ นะ”

ปภาวรินท์ยิ้มให้อีกฝ่ายจนตาหยี เรื่องนี้เธอไม่เคยเล่าให้ใครฟังแม้แต่ปริยากร…ตอนนั้นเธอไม่กล้าเข้าไปทำความรู้จักกับอาชวินก็จริง แต่ด้วยความที่คอยเฝ้ามองทำให้คุ้นหน้าคุ้นตาเพื่อนสนิทของเขาอย่างวีรากรไปด้วย และเมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์นั้นเธอก็ไม่แปลกใจที่พบว่าอาชวินเป็นผู้ชายใจดีมีน้ำใจ เป็นเพื่อนสนิทกันได้ยาวนานขนาดนี้ย่อมต้องมีนิสัยคล้ายคลึงกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนั่นแหละ

รอยยิ้มของหญิงสาวสดใสสว่างไสวเสียจนวีรากรซึ่งปกติมีบุคลิกค่อนข้างเคร่งขรึมยังอดยิ้มตอบไม่ได้ และอาชวินก็สังเกตเห็นมัน

“น้องปินนี่ความจำดีมากเลยนะ ขนาดผ่านมาเป็นสิบปีแล้วยังจำหน้าวีได้”

“พี่วีถือเป็นผู้มีพระคุณของปินเลยนะคะ ถ้าวันนั้นไม่ได้พี่วีนี่ปินแย่แน่ๆ อีกอย่างพี่วีก็ถือเป็นคนดังคนนึงของคณะสถาปัตยฯ ด้วย” ปภาวรินท์ยิ้มเขินๆ ก่อนจะหันไปเปิดถุงผ้าเพื่อหยิบแฟ้มออกมา “เราเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ จะได้ไม่เสียเวลาพวกพี่ๆ”

พูดตามจริง เมื่อสัปดาห์ก่อนตอนที่หญิงสาวพยายามหาทางเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรีโนเวตโรงแรมหรือที่ตอนนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘เดอะไพรด์’ เธอก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นได้มาเป็นคนบรีฟรายละเอียดการประกวดออกแบบให้สองหนุ่มสถาปนิกแห่ง Archwin ฟังเองแบบนี้

หลังจากประดิษฐ์ไปคุยกับรัชนาท พี่ชายก็มาสัมภาษณ์เธอ พอเห็นว่าเธอมีความรู้เรื่องการประกวดออกแบบแถมมีบริษัทสถาปนิกที่น่าสนใจอยากเสนอสองสามแห่ง เขาเลยดึงเธอเข้าไปร่วมประชุมกับนักลงทุนที่บินมาจากสิงคโปร์ทันที ซึ่งก็ต้องขอบคุณปริยากรด้วยที่ให้ข้อมูลเสริมมา ไม่อย่างนั้นเธอคงรู้จักแค่ Archwin ซึ่งมันอาจทำให้ดูเหมือนมีฉันทาคติได้ถ้าคนอื่นๆ ทราบว่าเธอรู้จักกับเจ้าของบริษัทเป็นการส่วนตัว

ในห้องประชุมมีการตกลงรายละเอียดสำคัญหลายอย่าง รวมถึงเลือกบริษัทสถาปนิกที่จะเชิญมาร่วมประกวดออกแบบ ซึ่งในจำนวนนั้นมีสองชื่อที่ปภาวรินท์เสนอไป รัชนาทเลือกอนุชาซึ่งเป็นพนักงานที่เคยมีแบ็กกราวนด์ทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์มาช่วยงานนี้ และมอบหมายให้เขาเป็นคนติดต่อประสานงานกับบริษัทสถาปนิก เธออาสามาช่วยด้วย หลังจากไปนั่งฟังวิธีบรีฟงานกับบริษัทสถาปนิกหนึ่งมาแล้ว ปภาวรินท์ก็ได้รับอนุญาตให้ฉายเดี่ยวมาบรีฟงานให้กับบริษัทสถาปนิกสองแห่งที่เธอเสนอชื่อไป โดยก่อนจะมาที่นี่เธอเพิ่งไปบรีฟงานให้อีกบริษัทมา

พูดตามตรง หญิงสาวต้องการเก็บประสบการณ์ให้มากที่สุดเพื่อจะได้รู้ว่าควรบอกอะไรกับอาชวินบ้าง…เธอก็ไม่ได้อยากเป็นคนลำเอียงหรอกนะ แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา

“นี่แฟ้มค่ะ พวกพี่ๆ ดูกันก่อน เดี๋ยวปินจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง”

อาชวินรับแฟ้มไปเปิดดู วีรากรยื่นหน้าไปอ่านด้วย ขณะที่ปภาวรินท์ก็มองภาพเจริญหูเจริญตาเพลิน…อาชวินนั้นหล่อเหลาเข้าสเป็กเธออยู่แล้ว ส่วนวีรากรนั้นหน้าตาเป็นสไตล์ที่ปกติไม่ค่อยเข้าตาเธอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาหล่อเหลาและมีเสน่ห์เอาเรื่องทีเดียว

หญิงสาวรอจนกระทั่งอาชวินหันมาจึงค่อยเปิดปากอธิบายโจทย์ของการออกแบบครั้งนี้เสริมเพิ่มจากรายละเอียดในแฟ้ม ซึ่งมันก็เกือบจะเป็นการคุยระหว่างเธอกับเขาตามลำพัง เนื่องจากวีรากรแทบไม่ได้ปริปากเลย แต่ส่วนหนึ่งอาจเพราะเขาวางใจอยู่แล้วว่าเพื่อนสนิทจะไถ่ถามรายละเอียดปลีกย่อยจนครบถ้วนเอง

“ครึ่งเดือน” อาชวินหันไปยิ้มกับเพื่อนและส่งแฟ้มให้อีกฝ่าย

“ครึ่งเดือน” วีรากรพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้เดดไลน์ของการประกวดออกแบบครั้งนี้

“ปกติพวกพี่ทำงานกันเร็วแบบนี้เสมอเหรอคะ” คำถามของปภาวรินท์ดึงให้สองหนุ่มหันมามองโดยพร้อมเพรียง เธอเลยยิ้มแห้งๆ “คือปินว่างานใช้ไอเดียแบบนี้มันยากมากเลยนะ ไหนจะรายละเอียดนู่นนี่ เวลานิดเดียวเอง ปินถามพี่คนที่เขาโทรไปคุยเรื่องการประกวดแบบกับพี่วิน เขาบอกว่าเดดไลน์แบบนี้เป็นเรื่องปกติ”

“เดดไลน์แบบนี้เป็นเรื่องปกติจริงๆ ครับ” อาชวินหัวเราะเบาๆ พร้อมกับเหลือบไปมองเพื่อน “สั้นกว่านี้ก็มี สั้นที่สุดเท่าที่พวกเราเคยทำนี่กี่วันนะ…สามวัน?”

“สามวัน” วีรากรช่วยยืนยัน “ขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่โอนเนอร์ต้องการด้วยครับ ถ้าไม่ละเอียดมากก็เดดไลน์สั้นๆ รายละเอียดเยอะก็ครึ่งเดือนหรือเดือนนึง”

“เคยมีงานที่เดดไลน์สั้นมาก แล้วสุดท้ายพวกเราชนะประกวดเพราะออกแบบไปได้น้ำได้เนื้อเห็นภาพกว่าคนอื่นด้วย บางทีเรื่องความสวยงามของงานก็เป็นเรื่องรอง” อาชวินเล่าทั้งรอยยิ้มขัน “เอาเป็นว่าอย่างน้อยพี่รับปากกับน้องปินได้ว่าจะมีซองจาก Archwin ไปถึงบริษัทของน้องปินทันเดดไลน์แน่นอน”

“ปินแค่มาช่วยงานนิดหน่อย ไม่ได้มีส่วนในการตัดสิน แต่ยังไงจะรอดูงานของพี่ๆ นะคะ” หญิงสาวส่งยิ้มให้สถาปนิกทั้งสอง…บริษัทสถาปนิกที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมประกวดแบบครั้งนี้ล้วนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ โดยที่แต่ละแห่งมีความถนัดโดดเด่นแตกต่างกันไป ซึ่งถ้าดูจากผลงานที่ผ่านมาเธอจึงค่อนข้างเชื่อว่า Archwin มีลุ้นพอสมควรทีเดียว

ปภาวรินท์กลับบริษัทด้วยอารมณ์รื่นเริง ถึงแม้จะเป็นการนัดคุยงานแต่ก็ถือว่าได้เจออาชวิน แถมวันนี้ยังมีวีรากรซึ่งเธอนับว่าเป็นผู้มีพระคุณอีกคนด้วย…อย่างไรก็ตามพอวางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะทำงาน ยังไม่ทันจะหันไปถามเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับงานของเธอที่ต้องยกให้เพื่อนทำแทน อีกฝ่ายก็หมุนเก้าอี้มาพูด

“ปิน คุณรัญโทรลงมาสั่งไว้ว่าถ้าเธอกลับมาถึงเมื่อไหร่ให้ขึ้นไปหา”

“พี่รัญเหรอ” สาวร่างเล็กกะพริบตาปริบๆ พอเพื่อนพยักหน้ายืนยันเธอจึงได้แต่พึมพำขอบคุณ ครั้นมองนาฬิกาแล้วเห็นว่าเหลือเวลาไม่มากก่อนจะเลิกงาน เธอเลยไถ่ถามเรื่องงานจากเพื่อนตามความตั้งใจ จากนั้นก็หิ้วกระเป๋าสะพายไปขึ้นลิฟต์

น่าจะเรื่องโครงการเดอะไพรด์ ปภาวรินท์คาดเดาอย่างอ่อนใจ

พี่สาวต่างแม่เพิ่งรู้เรื่องที่เธอเข้าไปมีส่วนร่วมกับโครงการนี้หลังจากเธอเข้าประชุมไปแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะรัชนาทเรียกตัวเธอไปช่วยกะทันหัน และหลังจากนั้นเธอก็หัวหมุนกับการช่วยอนุชาเตรียมตัวบรีฟงานประกวดออกแบบ บวกกับตัวรัญชนาเองก็ติดงานที่ต้องออกนอกสถานที่อยู่เนืองๆ ผลคืออีกฝ่ายไม่สบโอกาสได้เจอเธอสักที ส่วนที่รัญชนาไม่พอใจน่าจะเป็นเพราะโครงการนี้เป็นโครงการใหญ่ พี่สาวไม่ชอบให้เธอมีส่วนร่วมกับงานอะไรก็ตามที่ถือว่าสำคัญในบริษัทมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

เลขานุการของรัญชนากดอินเตอร์คอมแจ้งเจ้านายทันทีที่เห็นหน้าปภาวรินท์ และก็มีเสียงตอบกลับมาบอกให้เธอเข้าไปได้เลย…ตอนที่เธอเปิดประตูเข้าไปพี่สาวกำลังนั่งกอดอก เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาที่ทอดมองตรงมาแข็งกร้าว และสุ้มเสียงที่ถูกส่งออกมาก็กระด้างพอกัน

“ไปคุยกับบริษัทสถาปนิกมาครบแล้วใช่ไหม เป็นยังไงบ้างล่ะ”

“เรียบร้อยดีค่ะ ปินรับผิดชอบเองแค่สองบริษัท นอกนั้นอยู่กับคุณอนุชา” สาวร่างเล็กตอบอย่างระมัดระวัง

“ฉันรู้นะว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไร” รัญชนาพูดเสียงเย็น “อยู่ดีๆ ก็ไปอ้อนป๊าขอมาช่วยงานโครงการใหญ่ขนาดนี้ หวังจะสร้างผลงานเอาหน้าล่ะสิ”

“ปินเปล่า” ปภาวรินท์ปฏิเสธทันที “ปินแค่คิดว่าพอจะช่วยได้เลยอยากช่วย อีกอย่างปินก็แค่ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ในโครงการเท่านั้นเอง”

“เงียบไปเลย” คนเป็นพี่สาวแหว “อย่างเธอน่ะแค่อ้าปากฉันก็เห็นลิ้นไก่แล้ว คิดว่าฉันโง่นักหรือไง อย่านึกนะว่าฉันไม่รู้ว่าการที่เธอเริ่มจากอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็เพื่อไม่ให้ใครผิดสังเกต!”

“ปินเปล่า…พี่รัญจะไม่เชื่อก็ได้ แต่ปินยืนยันว่าไม่ได้วางแผนอะไรทั้งนั้น ปินแค่คิดว่าอะไรพอช่วยได้ก็จะช่วย เดี๋ยวปินก็กลับไปทำงานของตัวเองแล้ว” ลูกสาวคนเล็กของบ้านได้แต่พยายามสะกดกลั้นเสียงถอนหายใจของตัวเองไว้

“เธอจะพูดอะไรก็ได้ แต่ขอให้รู้ไว้เลยว่าฉันไม่มีทางปล่อยให้เธอได้ตามที่หวังแน่!”

เสียงเคาะประตูดังขึ้นในจังหวะที่รัญชนากำลังจะพูดจบพอดี แล้วเสียงของรัชนาทก็ลอยมา

“พี่เอง”

ประตูเปิดเข้ามาเกือบทันทีโดยไม่รอฟังเสียงอนุญาต คนเป็นพี่ชายก้าวเข้ามาแล้วหันมองน้องสาวทั้งสองคนสลับกันไปมา

“รัญเรียกปินมาคุยอะไรน่ะ”

“ก็เรื่องโครงการเดอะไพรด์ไง” รัญชนาตอบหน้าตึง “แล้วพี่รัชล่ะมีอะไร”

“พี่เห็นปินเข้ามาหารัญเลยแวะมาดู พี่ก็จะถามปินเรื่องที่ไปคุยกับบริษัทสถาปนิกเหมือนกัน…แล้วนี่รัญคุยกับปินเสร็จหรือยัง พี่จะได้พาปินไปรายงานให้ป๊าฟัง”

“คุยเสร็จแล้ว”

ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าน้องสาวคนโตตอบอย่างเสียไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ใส่ใจแล้วโอบไหล่รั้งน้องสาวคนเล็กเดินออกจากห้อง

“โอเค งั้นเราไปกันปิน”

ปภาวรินท์เกือบจะระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ก็ยั้งตัวเองเอาไว้ได้ทัน ทว่าพี่ชายก็รู้ทันอยู่ดี

“วันนี้โดนเรื่องอะไรล่ะ ใช่เรื่องเดอะไพรด์ไหม” พอน้องสาวพยักหน้ารับเขาก็ลูบศีรษะเธอเบาๆ “อย่าไปใส่ใจเลย พี่ดีใจนะที่ได้ปินมาช่วยงาน”

หญิงสาวหันไปยิ้มให้พี่ชายซึ่งดีกับเธอมาตั้งแต่วันแรกที่เธอก้าวเข้าสู่รั้วบ้านพร้อมพิพัฒน์ อย่างไรก็ตาม…

“เย็นนี้เราว่างไหม ไปกินข้าวกับพี่ได้หรือเปล่า พี่นัดไอ้วุธไว้พอดี”

ปภาวรินท์ชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นก็ต้องพยายามสะกดกลั้นเสียงถอนหายใจของตัวเองไว้อีกคำรบ…อะไรรัชนาทก็ดีไปหมดทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องนี้ หนำซ้ำเธอจะปฏิเสธเขาบ่อยๆ ก็ไม่ถนัดเนื่องจากเขาดีกับเธอ

ลำบากใจชะมัด…

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน เมษายน 64)

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: