ทดลองอ่าน นวลหยกงาม 5 ครั้งที่ 5 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม 5 ครั้งที่ 5

ผู้มีอุปนิสัยเยี่ยงนี้ ไหนเลยจะถือมิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญ ต่อให้มีสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเกาหยาง ก็ไม่มีทางเป็นเหตุผลแท้จริงที่นางตามราวีตนเอง บุตรสาวของอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้ทรงเกียรติ ถึงกับใช้อุบายเล่นงานเด็กสาวซึ่งมาจากตระกูลสามัญชนคนหนึ่งอย่างนาง หากพูดว่าเป็นเพียงความขัดแย้งด้วยอารมณ์ชั่ววูบโดยปราศจากนัยอื่นแอบแฝง มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!

“พี่ใหญ่ หนก่อนพี่เคยพูดว่าขอแค่ข้าอยากรู้ เมื่อข้าถามพี่ก็จะบอก ถ้าอย่างนั้นพี่บอกข้ามาเดี๋ยวนี้เลยว่า จ่างซุนเสียนกลั่นแกล้งข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยเหตุใดกันแน่”

อี๋อวี้มองหลูจื้อตรงเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมมาก แสงสว่างทอลอดเข้ามาทางม่านหน้าต่างผ้าโปร่งตรงผนังรถม้าสองฝั่งส่องกระทบใบหน้าเขาจนเห็นรอยลำบากใจที่ผุดขึ้นวูบหนึ่งได้ชัดถนัดตา

“เรื่องนี้มิใช่ว่าพูดกับเจ้าไม่ได้ ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้อธิบาย เพราะถูกเปลือกนอกของนางตบตาเช่นกัน นางเข้าสู่สำนักศึกษาหลวงปีเดียวกับเจ้า แต่ไรมาได้ยินแต่ชื่อ น้อยครั้งจะได้พบหน้าค่าตา ตอนนี้ข้าก็เพิ่งได้เห็นนิสัยใจคอของนางแจ่มชัดขึ้น”

หลูจื้อนิ่งคิดชั่วครู่ สุดท้ายก็เริ่มอธิบายถึงความซับซ้อนยอกย้อนในเรื่องนี้ “เสี่ยวอวี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าในราชสำนักและเมืองหลวง ความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดคืออะไร”

อี๋อวี้กล่าวโดยไม่หยุดใคร่ครวญ “ย่อมต้องเป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มอำนาจสิเจ้าคะ ผู้มีโอกาสสืบบัลลังก์อย่างองค์รัชทายาท อู๋อ๋อง และเว่ยอ๋อง รวมถึงฝ่ายที่เป็นกลางต่างขับเคี่ยวกันทั้งในที่ลับที่แจ้ง”

นางอยู่ในเมืองฉางอัน อีกทั้งเป็นเพราะหลูจื้อกับหลี่ไท่ จึงนับได้ว่าถูกดึงเข้ามาถึงรอบนอกของวังวนการชิงอำนาจของฝ่ายต่างๆ แล้ว ความรู้ความเข้าใจที่ติดมาจากภพก่อนทำให้อิสตรีที่มิได้พัวพันกับราชสำนักเช่นนางสามารถมองได้ปรุโปร่งกว่าคนทั่วไปบ้าง

ไหนเลยจะคิดว่าหลูจื้อฟังคำตอบของนางแล้วกลับส่ายหน้าถอนใจ “จริงอยู่ว่าการต่อสู้ระหว่างกลุ่มอำนาจเริ่มต้นขึ้นแล้ว ทว่ายังไม่รุนแรงเป็นอันดับหนึ่ง ขณะนี้บนแผ่นดินนี้ ความขัดแย้งมากที่สุดยังคงเป็นสองคำนั้น…ชนชั้น!”

เขาพูดเน้นเสียงหนักมากตรงคำว่า ‘ชนชั้น’ อี๋อวี้สะท้านใจวูบหนึ่ง นางหลุบตาครุ่นคิด ชนชั้นหมายถึงเทือกเถาเหล่ากอ ไม่ว่าเป็นผู้สูงศักดิ์มั่งคั่งหรือชาวบ้านต่ำต้อยยากจน อันว่าชาติกำเนิดนี้เป็นสิ่งสำคัญมากโดยแท้ ลำพังแค่ดูจากที่ใครๆ ปฏิบัติต่อพวกนางพี่น้องเมื่อแรกมาถึงเมืองฉางอันก็พอจะรู้ได้

หูนางรับฟังหลูจื้อกล่าวสืบไป

“นับแต่ยุคเฉาเว่ย  เป็นต้นมาในหมู่ผู้สูงศักดิ์ยึดถือเรื่องชนชั้นมากขึ้นเรื่อยๆ มีการแบ่งแยกขุนนางกับสามัญชนอย่างชัดเจน แนวคิดนี้แพร่หลายถึงขีดสุดในราชวงศ์จิ้นจนบัดนี้ ราชวงศ์เราก่อตั้งขึ้นใกล้จะยี่สิบปี มาตรว่าการแบ่งชนชั้นไม่เคร่งครัดเท่าราชวงศ์จิ้น แต่ยังฝังรากลึกมากอยู่ดี เส้นทางในการเป็นขุนนางของลูกหลานในตระกูลสูงศักดิ์ราบรื่นสมดังใจ ขณะที่บัณฑิตยากจนจะลืมตาอ้าปากมิใช่ง่ายดายดังคำพูด แต่ไม่กี่ปีมานี้ ฮ่องเต้พระองค์นี้ทรงให้ความสำคัญกับคุณธรรมความสามารถมากกว่าเทือกเถาเหล่ากอ มีผู้มาจากตระกูลสามัญชนได้รับตำแหน่งสำคัญในราชสำนักจำนวนไม่น้อย นี่เป็นเรื่องที่พวกตระกูลขุนนางซึ่งมั่งคั่งใหญ่โตไม่ปรารถนาจะได้เห็น

ความคิดเรื่องชนชั้นมีจุดเริ่มต้นจากการแต่งงาน ทุกวันนี้ตระกูลขุนนางเก่าแก่โดยมากอาศัยการผูกดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน มีคำกล่าวอยู่ว่าดึงผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่างมิใช่หรือ เมื่อนั้นเรื่องใดๆ ก็ตามต้องร่วมรุกร่วมถอย ข้างฝ่ายขุนนางจากตระกูลสามัญชนที่ไร้ทรัพย์สมบัติใดก็ใช้การแต่งงานผูกสัมพันธ์เป็นเครือญาติกันในทำนองเดียวกัน ท้ายที่สุดจะค่อยๆ ผนึกกำลังกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลกลุ่มใหม่ ซึ่งจะมาแบ่งผลประโยชน์ของชนชั้นสูง ตลอดจนสิทธิ์และเสียงในราชสำนัก…”

อี๋อวี้ยกมือหนึ่งขึ้นบอกให้เขาหยุดพูดก่อน “ข้าเข้าใจบ้างแล้ว แทนที่จะพูดว่าจ่างซุนเสียนเป็นปฏิปักษ์กับข้า มิสู้บอกว่านางเป็นปฏิปักษ์กับพี่ เป็นปฏิปักษ์กับบัณฑิตซึ่งมาจากครอบครัวสามัญชนที่มุ่งหมายเป็นขุนนางในสำนักศึกษาหลวงและเมืองฉางอันนี้”

หลายปีมานี้ นับวันบัณฑิตชาติตระกูลต่ำต้อยเข้ามาเป็นขุนนางมากขึ้นทุกที พวกผู้สูงศักดิ์นั้นไม่มีทางใช้การแต่งงานมาผูกใจคนเหล่านี้ไว้ทั้งหมด และต่อให้อยากทำก็สุดปัญญาจะทำได้ ด้วยคุณหนูตระกูลใหญ่ที่รอออกเรือนมีอยู่มากมายปานนั้นที่ไหนกัน

 

ดูจากความก้าวหน้าในตอนนี้ของหลูจื้อ ภายภาคหน้าเขาต้องสร้างผลงานความชอบที่ยิ่งใหญ่ได้แน่ การสอบเข้ารับราชการใกล้มาถึงอยู่รอมร่อ หากปล่อยให้เขาได้เป็นขุนนางสำเร็จ มันไม่ต่างอันใดกับยาขนานเอกที่บำรุงขวัญกำลังใจให้แก่บัณฑิตยากจนทั่วหล้า และเป็นแรงกระตุ้นให้สามัญชนมีความคิดเข้ารับราชการมากยิ่งขึ้น

ดวงตาของหลูจื้อเผยแววชมเชยผู้เป็นน้องสาว “ถูกต้อง จะพูดแบบนี้ก็ได้”

อี๋อวี้ได้รับคำยืนยันของเขา นางนิ่งคิดอีกทีแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้จะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี “นี่มันช่าง…ช่าง…จริงๆ เลย ทั้งที่พวกเราพี่น้องเป็นลูกขุนนางแท้ๆ แต่ยามนี้กลับเป็นดังคำกล่าวว่าไม้ใหญ่ต้านลม ต้องตกเป็นเป้าโจมตีเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างให้เหล่าบัณฑิตยากจนดู ถ้าวันใดแสดงตัวเป็นหลานของท่านตา ไม่รู้จริงๆ ว่าคนที่รังแกข้าเหยียดหยามข้าในวันนี้จะรู้สึกเช่นใด”

หลูจื้อโคลงศีรษะขันๆ จากนั้นสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นขึงขังฉับพลัน ก่อนจะกล่าวขึ้น “ระหว่างตระกูลสูงศักดิ์จะฟาดฟันกันในที่ลับ ขุนนางเก่าก็หมายกำราบขุนนางใหม่ คนที่มีแววรุ่งเหล่านั้นมักดับก่อนได้ฉายรัศมี ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นนี้เอื้อประโยชน์ให้พวกชนชั้นสูง แต่ไม่เป็นผลดีต่ออาณาประชาราษฎร์ ดังนั้นพวกข้า…”

เขาหยุดพูดเท่านี้ แววตาฉายรอยสับสนวูบหนึ่งก่อนเอ่ย “เรื่องนี้ว่ากันถึงตรงนี้ก่อนเถอะ เจ้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจ่างซุนเสียนต้องเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า วันหลังพวกเราคอยป้องกันระวังนางไว้เท่านั้นเป็นพอ”

แม้นเขาไม่กล่าวจนจบ อี๋อวี้ก็ไม่ใจร้อนซักไซ้ นางหันเหหัวข้อสนทนาอย่างเข้าอกเข้าใจมาก “จริงสิ การประชันศาสตร์ห้าสำนักครั้งนี้ พี่ใหญ่ยังมีเรื่องที่ไม่ได้บอกข้าอย่างแจ่มแจ้งกระมัง”

“หือ?”

อี๋อวี้เบะปากแล้วเอ่ยเตือน “ป้ายไม้สลักนั่นมีประโยชน์ใดกันแน่เจ้าคะ คงมิใช่แค่ทำให้ผู้อื่นประเมินเราสูงขึ้นหลายส่วนกับมีหน้ามีตามากขึ้นกระมัง”

ได้ยินนางเอ่ยถึงป้ายไม้สลัก ใบหน้าของหลูจื้อพลันปรากฏรอยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ซ้ำแฝงด้วยลับลมคมในอยู่สักหน่อย

“ป้ายนี้มีประโยชน์มากจริงๆ แต่ไม่อาจบอกคนนอกได้”

เขายิ่งอมพะนำ อี๋อวี้ยิ่งอยากรู้ นางเตะขาเขาเบาๆ ทีหนึ่ง แสร้งพูดอย่างดุดัน “ข้ายังนับเป็นคนนอกของพี่รึ พูด!”

หลูจื้อเอานิ้วชี้จิ้มปลายคาง พลางกล่าวอย่างกำกวม “ลือกันว่า…แน่นอนว่าเรื่องนี้ข้าก็ไม่ใคร่แน่ใจนัก มีเสียงลือว่าคนที่ชิงป้ายได้สามป้ายจากการประชันศาสตร์ห้าสำนักของสำนักศึกษาหลวง ในการสอบเข้ารับราชการ สามารถผ่านเข้าสู่การสอบหน้าพระที่นั่งได้ทันที”

“หา?!”

อี๋อวี้อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง อย่าลืมว่าการสอบหน้าพระที่นั่งเป็นช่วงชี้ขาดท้ายสุดของการสอบขุนนาง ทุกปีมีผู้โดดเด่นในศาสตร์ทุกแขนงจากทั่วทั้งสำนักศึกษาหลวงสิบคนที่สามารถผ่านเข้าสู่การสอบหน้าที่พระนั่งทันทีและให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยเลือก แล้วไม่ต้องตรองดูก็รู้ได้ว่าคนพวกนี้ต้องมีสัมพันธ์โยงใยกับผู้มีอำนาจทุกกลุ่ม ส่วนคนธรรมดาต่อให้มีคุณธรรมความสามารถก็ยากจะขอแบ่งสันปันส่วนแม้สักเศษเสี้ยว

หลังจากหายตกตะลึง อี๋อวี้ก็หมดความสนใจ “อ้อ เช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์สำหรับข้า สำนักศึกษาก็ช่างตระหนี่เหลือเกิน ป้ายนั่นเป็นแค่แผ่นไม้ทาสีทองเคลือบไว้ด้านนอกชั้นหนึ่งเอง หากทำจากทองทั้งชิ้นยังมีราคาค่างวดอยู่บ้าง”

หลูจื้อยังทำหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มดุจเก่าพลางเอ่ยต่อ “การสอบเข้ารับราชการเป็นของบุรุษ แต่สำหรับสตรีที่ได้ป้ายไม้สลักนั่น…ลือกันว่าสตรีคนใดก็ตามที่ชิงป้ายได้สามป้ายจากการประชันศาสตร์ห้าสำนัก หลังสอบสิ้นสุดการเล่าเรียน ไม่ว่าได้ผลระดับไหน จะได้เป็นนางข้าหลวงอย่างแน่นอน”

หัวใจของอี๋อวี้เต้นตึกตัก สองตาเบิกกว้าง เอ่ยพูดตะกุกตะกัก “นะ…นะ…นางข้าหลวงอย่างแน่นอน?”

 

หลูจื้อคล้ายพึงใจกับสีหน้าตะลึงพรึงเพริดของน้องสาวเป็นอันมาก เขาเลื่อนนิ้วชี้ที่วางไว้ใต้คางออก ผงกศีรษะน้อยๆ

ในหัวของอี๋อวี้สับสนงุนงงไปทันควัน นางยังไม่ลืมว่าแรงผลักดันและเป้าหมายแรกที่เข้าสู่สำนักศึกษาหลวงคืออะไร มิใช่เพื่อตำแหน่ง ‘นางข้าหลวง’ นี่หรอกหรือ

แผ่นดินต้าถังนี้มีกฎบัญญัติข้อหนึ่งตราไว้ว่าผู้เป็นนางข้าหลวง ไม่ว่าขั้นยศใด ไม่ว่าอยู่ในตำแหน่งหรือไม่ ล้วนมีสิทธิ์ทัดทานการมีสามภรรยาสี่อนุได้!

นางข้าหลวงในที่นี้มิได้หมายถึงนางข้าหลวงที่เคยเป็นนางกำนัลในวังมาก่อนพวกนั้น หากแต่เป็นคนที่เล่าเรียนมาจากสำนักศึกษาหลวงอย่างเต็มภาคภูมิ ทุกปีผู้ที่มีผลสอบปลายปีและสอบจบการเล่าเรียนดีเด่นของสำนักศึกษาหลวงจะมีโอกาสได้รับการเสนอชื่อจากอาจารย์ใหญ่กับหัวหน้าสำนักทั้งห้าต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ให้ออกพระราชบัญชาแต่งตั้งเป็นนางข้าหลวง และเพื่อให้ต่างจากคนที่เคยเป็นนางกำนัล ยังมีคำเรียกอีกอย่างว่า ‘ขุนนางหญิง’

ช่วงเวลาที่อี๋อวี้อยู่ในสำนักศึกษาที่ผ่านมา นางพอจะรู้เรื่องราวภายในบ้าง ลูกศิษย์หญิงในสำนักศึกษาหลวงเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่ทุกปีเสนอชื่อเป็นนางข้าหลวงได้เพียงห้าคน แล้วในห้าคนนี้ มีเพียงสองคนเป็นอย่างมากที่จะได้รับพระราชโองการ บางครั้งไม่เป็นที่สนพระทัย ก็ไม่มีรับสั่งแต่งตั้งใครสักคน

ขณะนี้หลูจื้อบอกนางว่าได้ป้ายไม้สลักสามป้ายก็จะถูกแต่งตั้งเป็นขุนนางหญิงได้ทันที

“พี่…พี่ใหญ่ พี่ไม่ได้ล้อเล่นอยู่กระมัง”

หลูจื้อไอเบาๆ ทีหนึ่ง “มิได้ล้อเล่น แต่นี่เป็นแค่เสียงลือ เป็นเสียงลือ”

ยิ่งเขาพูดย้ำคำว่า ‘เสียงลือ’ อี๋อวี้ยิ่งมั่นใจว่ามีเรื่องพรรค์นี้อยู่จริง! นางอ้าปากโอดครวญเบาๆ คำหนึ่งทันใด

หลูจื้อไม่เข้าใจว่านางหมายความว่าอะไร “นี่เจ้าเป็นอะไรไป”

อี๋อวี้ยกมือหนึ่งกุมหน้าผาก มือหนึ่งโบกไปมากับเขาอย่างหมดแรง “ข้าไม่เป็นไร…”

นางนึกเสียใจทีหลังขึ้นมากะทันหันเท่านั้นเองที่ยกป้ายหนึ่งในกำมือไปให้คนอื่น ด้วยคุณธรรมอันสูงส่งตอนประชันศาสตร์เมื่อเช้าเสียอย่างนั้น

“เรื่องสำคัญขนาดนี้ ทำไมพี่ไม่บอกข้าแต่ต้น” อี๋อวี้ยกเท้าเตะขาเขาอีกทีอย่างอดใจไม่อยู่

หลูจื้อตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ “ข้าก็บอกแล้วว่านี่เป็นแค่เสียงลือ เรื่องที่ไม่แน่ไม่นอน จะบอกเจ้าไปไย”

อี๋อวี้ไม่เชื่อคำโป้ปดของเขาหรอก หากเป็นเรื่องที่ไร้ความแน่นอนจริง แล้วเขาพร่ำพูดจูงใจนางซ้ำๆ ให้ชิงป้ายมามากๆ เพื่ออะไรกัน

จริงสิ! นางจำได้ว่าตอนรับป้ายบนเรือนเหมย ดูเหมือนอาจารย์ใหญ่เคยพูดกับนางทำนองว่าให้เก็บป้ายนี้ให้ดีๆ วันหน้าต้องมีประโยชน์แน่

อี๋อวี้ขัดเคืองใจอยู่พักหนึ่งแล้วสลัดความรู้สึกเสียใจทิ้งไปทันที นางคิดคำนึงว่าถ้ารู้แต่แรกว่ามันสลักสำคัญปานนั้น นางยังคงยึดมั่นกับการเลือกไม่ทุจริตหรือเปล่า คำตอบคือใช่แน่นอน นางจะไม่ทุจริตตามเดิม แล้วยังมีอะไรน่าเสียใจทีหลังด้วยเล่า

เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วหลี่ไท่แพร่งพรายหัวข้อเพื่อให้นางครองป้าย ตกลงว่าเป็นเพราะ…

“พี่ใหญ่ ข้ามีคำถาม สิทธิ์ทัดทานการมีสามภรรยาสี่อนุของขุนนางหญิง จะใช้กับใครก็ได้ใช่ไหมเจ้าคะ”

 

 

ติดตามฉบับเต็มต่อในเล่ม

 

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com