ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 131 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 131

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 131

ภายหลังนั่งลงในรถม้าอันกว้างขวางเป็นที่เรียบร้อย องค์ชายสามก็หน้านิ่งดุจฝาโลงเช่นเคย เขาหลับพักสายตาโดยไม่ไยดีผู้ใด เป็นองค์ชายสี่มองออกว่าในใจเฉิงเซ่าซางฉงน จึงชี้แจงอย่างตรงไปตรงมา “รถคันนี้ของจื่อเซิ่งแข็งแกร่งทนทานกว่ารถม้าทั่วไป ต่อให้อยู่ระหว่างเร่งเดินทัพ ชิ้นส่วนก็จะไม่หลุดแยกจากกัน เส้นทางที่รถม้าทั่วไปต้องใช้เวลาสามชั่วยาม รถคันนี้เพียงสองชั่วยามก็รุดถึงที่หมายแล้ว ปันโหวน้อยยังขวัญผวาไม่คลาย ให้พี่ชายเจ้ารั้งอยู่ดูแล ค่อยๆ เดินทางกลับไปเป็นใช้ได้”

เฉิงเซ่าซางขานรับคำหนึ่ง ทำใจให้กล้าก่อนสอบถาม “ไยองค์ชายทั้งสองทรงต้องรีบร้อนกลับเมืองหลวงเช่นนี้เล่า หม่อมฉันเห็นท่านอาจารย์ร่างกายอ่อนแอ ยังไม่เหมาะจะเร่งเดินทางนะเพคะ” คนที่ถูกพุ่งเป้าไม่ใช่พวกท่านสองคนเสียหน่อย!

องค์ชายสามพลันลืมตา สายตาปานสายฟ้าสาดมา เฉิงเซ่าซางถึงกับสะดุ้งโดยไม่รู้สาเหตุ หลิงปู้อี๋เห็นนางเป็นเช่นกระต่ายน้อยที่ได้รับความตื่นตระหนก แม้แต่ใบหูยังสั่นกระตุกสองที เขาก็ไม่แคล้วรู้สึกขบขัน ยื่นมือไปลูบปลอบนาง

เฉิงเซ่าซางเอ่ยปนยิ้มแห้งๆ “ความหมายของหม่อมฉันคือ…ในเมืองหลวงมีฝ่าบาทประทับอยู่ เรื่องใดกันจะไม่อาจสยบลง องค์ชายสามกับใต้เท้าหลิงไม่จำเป็นต้องร้อนอกร้อนใจเช่นนี้เลย”

องค์ชายสามเยาะหยัน “วันนี้ข้าจะสอนเจ้าเรื่องหนึ่ง แม้เจ้ามีชาติกำเนิดสามัญ แต่ถึงอย่างไรตัวก็อยู่ท่ามกลางเหล่าเชื้อพระวงศ์ในรั้ววัง จงอย่าห่วงแต่กระเง้ากระงอดพลอดรักกับจื่อเซิ่ง หูตาที่พึงมีจะต้องมีไว้ ข่าวที่พึงรับรู้ก็ควรจะรับรู้ในทันทีทันใด เจ้าเยี่ยงนี้ผู้คนในวังยังอุตส่าห์เยินยอว่าหลักแหลม เป็นเพราะฮองเฮาทรงเมตตาผ่อนปรนต่อเจ้าหรอก หาไม่ลองเจ้าตกอยู่ในกลุ่มสตรีที่มีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงอย่างแท้จริง ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะมีปัญญารอดชีวิตได้สักกี่วัน!”

เฉิงเซ่าซางสอบถามไปเพียงประโยคเดียว กลับถูกต่อว่าแสกหน้าอยู่เป็นนาน จากนั้นคำถามก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด เรียกว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จยังต้องเสียข้าวสารล่อโดยแท้

หลิงปู้อี๋เหลือบมององค์ชายสามปราดหนึ่งอย่างไม่พอใจ ก่อนหันมาตอบนางเสียงนุ่ม “เจ้ายังไม่รู้ เมื่อวานเทพเซียนเหยียนพลันมาเยือน ฝ่าบาททรงทั้งประหลาดพระทัยทั้งยินดียิ่ง จึงพาเขาไปสนทนาความหลังกันที่ตำหนักน้ำพุร้อนบนภูเขาถูเกา ด้วยเสด็จอย่างเรียบง่าย เรื่องนี้จึงไม่เป็นที่ล่วงรู้ของขุนนางชั้นนอก มีเพียงรัชทายาทกับเหล่าใต้เท้าในสำนักราชเลขาธิการที่ล่วงรู้”

เฉิงเซ่าซางคล้ายฉุกคิดอันใดได้ “สารไม่รู้ที่มาเหล่านั้น…กลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้”

หลิงปู้อี๋พยักหน้ารับ

เฉิงเซ่าซางยิ้มเจื่อน “เช่นนั้นตอนนี้ขุนนางราชสำนักก็ต้องรู้กันหมดแล้วว่าฝ่าบาททรงไม่อยู่ในเมืองหลวง”

หลิงปู้อี๋ถอนใจพลางลูบศีรษะนาง

ในใจเฉิงเซ่าซางเป็นกังวล “ฮองเฮาทรงต้องกลัดกลุ้มอีกแล้ว ไม่ง่ายเลยที่พักนี้จะสบายพระทัยขึ้นบ้าง” นางเว้นช่วงเล็กน้อย ลอบมององค์ชายสามแวบหนึ่งค่อยพูดเสริมเสียงเบาๆ “ข้าลาหยุดสามสี่วันแล้ว ย่อมไม่รู้เรื่องราวในวัง…”

องค์ชายสามแทรกเข้ามาด้วยเสียงอันเย็นชา “ข้าก็อยู่ในจวนนอกวัง ไฉนรู้ทั้งหมดเล่า!”

หลิงปู้อี๋โต้กลับ “นางอายุน้อยไร้เดียงสา หูตาย่อมไม่กว้างไกลเช่นองค์ชาย”

เฉิงเซ่าซางยอมแพ้โดยสิ้นเชิง จึงฉุดดึงมือหลิงปู้อี๋ ใจคิดว่าฝ่ายตนหุบปากจะเป็นการดีกว่า เอาเถิด นางขอยอมรับ นางกลัวองค์ชายสามจริงๆ โดยเฉพาะสีหน้าท่าทางยามที่เขาอบรมนาง ช่างเหมือนท่านลุงฮ่องเต้ไม่มีผิดเพี้ยน

ตั้งแต่เมื่อครู่ที่องค์ชายสามแจกแจงความผิดของเฉิงเซ่าซาง องค์ชายสี่ก็แอบกลั้นเสียงหัวเราะไว้ กระทั่งตอนนี้กลับลอบสะท้อนใจขึ้นมา

เขาคิด…แม่นางน้อยสกุลเฉิงผู้นี้แม้อารมณ์ร้าย จิตใจกลับไม่เลว ตัวคนก็ผ่าเผย ในหมู่พี่น้องของข้า นอกจากพี่หญิงรองที่วางตัวอยู่นอกเรื่องราวอย่างแท้จริง องค์ชายองค์หญิงที่เหลือมีผู้ใดบ้างไม่ลอบสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของเสด็จพ่อ แม้แต่พวกองค์ชายน้อยที่ยังเล่าเรียนจดจำตัวอักษรอยู่เหล่านั้นก็ใช่ว่าจะรับรองได้

นับแต่กลางดึกถอนค่ายออกเดินทาง เฉิงเซ่าซางก็พักพิงในอ้อมอกของหลิงปู้อี๋งีบหลับมาโดยตลอด จวบจนสีท้องฟ้าสว่างรำไร คนทั้งหมดค่อยเห็นกำแพงอันสูงตระหง่านของเมืองหลวง หลิงปู้อี๋ใช้ใบหน้าของตนเองกับขององค์ชายสามเป็นใบเบิกทางเปิดประตูเมือง จากนั้นมุ่งตรงสู่กำแพงวัง กระทั่งมาถึงย่านจูเชวี่ย องค์ชายทั้งสองจึงลงจากรถ ขี่ม้าปลีกตัวจากไป ไม่รู้เช่นกันว่าจะมุ่งไปที่ใดกันแน่

เฉิงเซ่าซางขยี้ดวงตาคู่โตของตนพลางถามเสียงอู้อี้ “พวกเขาไม่เข้าวังหรือ แล้วเมื่อคืนเร่งรีบเยี่ยงนั้นเพื่ออันใดกัน”

หลิงปู้อี๋ตอบ “จะเข้าวังไปทำอันใดเล่า ไปชมดูอาการลำบากใจของรัชทายาทหรือ…ความจริงเรื่องนี้เป็นดาบสองคม พวกเขาเองก็มีข้อกริ่งเกรงอย่างยิ่ง”

เฉิงเซ่าซางลดมือลง เอ่ยอย่างงัวเงีย “เพราะกลัวผู้อื่นจะหาว่าพวกเขามีเป้าประสงค์กระมัง”

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-1

บทที่ 27-1 หวงปอรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานาน แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกไป๋ตันหย่งที่ยืนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของฮ่องเต้มาตั้งแต...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 125

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า หลายวันก่อนตอนรอเขากลับมา ซูเสวี่ยจื้อเคยมโนภาพหลายครั้งมากว่าคนทั้งคู่จะพบหน้ากันแบบไหน แต่เธอค...

community.jamsai.com