ทดลองอ่านนิยาย ตราบแผ่นดิน… สิ้นกาลเวลา เล่ม 1 บทที่ 11 – บทที่ 12 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

LOVE

ทดลองอ่านนิยาย ตราบแผ่นดิน… สิ้นกาลเวลา เล่ม 1 บทที่ 11 – บทที่ 12

บทที่ 11 ทางที่เลือก

 

“ท่านเจ้าคุณคะ อิฉันว่าจะส่งแม่ไพลินกลับเข้าวังเสียที” ตกค่ำคุณหญิงพลอยศรีก็เริ่มเกริ่นกับสามีที่เสร็จจากการไหว้พระ

“ถามลูกแล้วหรือยังเล่า” ท่านเจ้าคุณเอ่ยเสียงเรียบ ไม่สนับสนุนแข็งขันเช่นเดิม ทำให้คุณหญิงยิ่งร้อนใจ

“เราเป็นพ่อเป็นแม่ สั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำสิเจ้าคะ อิฉันจะเอากลับไปฝากหม่อมพวงแขก่อน อยู่ใกล้ผู้ใหญ่จะได้ช่วยกล่อมเกลา”

“ที่ท้วงเพราะเห็นว่าลูกมันคงไม่ขัด แต่กลัวว่าถ้าลูกไปทำอะไรผิดพลั้งในวังจะเสียมาถึงเราด้วย คุณหญิงไปตามพ่อดวงมาก่อน พักนี้พี่น้องเขาคุยกันเยอะ” ท่านไม่ได้บอกไปมากกว่านั้นเพราะถึงอย่างไรคุณหญิงผู้เป็นภรรยาย่อมไม่อาจรับได้

“คุณพี่! ทำไมต้องไปตามพ่อดวง ในเมื่ออิฉันตัดสินใจแล้ว” การกำหนดเส้นทางของลูกโดยเฉพาะลูกสาวนั้นเป็นสิทธิ์ขาดของคุณหญิง ลูกสาวเองถ้าเกิดเรื่องอะไรก็จะเข้ามาหาแม่ คุณหญิงจึงถือตนเป็นคนสำคัญของแม่หญิงไพลินมาตลอด

“ไปตามมาก่อนเถอะนะ” ท่านเจ้าคุณยังคงยืนกรานเช่นเดิมซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติวิสัย โดยปกติแล้วท่านไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการดูแลลูกและคนในบ้าน เนื่องเพราะท่านเป็นคนอารมณ์ดีเช่นเดียวกับหลวงเสนา เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้เป็นภรรยาก็เห็นจะขัดไม่ได้

สักพักหลวงเสนาถึงเข้ามาในห้องพ่อแม่ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นเขาไม่ค่อยได้เข้ามานัก ยกเว้นมีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกันเป็นส่วนตัว ชายหนุ่มไม่เห็นเงาของน้องสาวจึงทราบโดยทันทีว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

“แม่จะให้แม่ไพลินเข้าวังในเร็ววันนี้”

เมื่อมารดาบอกถึงความประสงค์ ชายหนุ่มจึงเรียนท่านตามตรง “กระผมไม่อยากให้แม่ไพลินเข้าวังขอรับ”

“พ่อดวง…ทำไมถึงคิดอย่างนั้น ถ้าน้องไม่ได้เข้าวัง ใครเขาจะดูถูกเอาได้” คุณหญิงพลอยศรีเสียงสูง

“แต่ถ้าขืนส่งเข้าวัง คุณแม่อาจจะต้องขายหน้ามากกว่านี้ หรือแม่ไพลินอาจเจอเภทภัยนะขอรับ เราต่างรู้กันดีว่าตอนนี้ไพลินไม่ปกติ กลับกลายเป็นคนบ้าๆ บอๆ อย่างนั้น” เขาเสเป็นเรื่องความไม่สบายของน้องสาวเสีย ถึงแม้ว่าบางครั้งเจ้าหล่อนดูจะมีเหตุมีผลที่ล้ำหน้าและดูจะรู้มากไปสักหน่อย บางสิ่งก็ดูเหลือเชื่อ หากหาได้เกินที่จะเป็นจริง

“ขืนอยู่แม่ว่าชะรอยจะหาทางไปเรียนดาบบ้านขุนพิชิตศาสตรา” ท่านร้องอย่างขัดใจ “หรือไม่ก็หยิบดาบไปฟาดฟันต้นกล้วยให้บ่าวมันหัวร่อขบขัน”

“คุณแม่ขอรับ กระผมก็ไปบ้านท่านอาจารย์ เป็นศิษย์ของท่าน หลายคนเป็นนักดาบฝีมือดี การศึกที่ผ่านมาศิษย์ของท่านขึ้นชื่อว่ามีฝีมือที่สุด เหลือรอดกลับมาเป็นกำลังมากที่สุด ตอนนี้กระผมก็เห็นแม่หญิงตั้งหลายคนไปฝึกดาบที่นั่น ถ้าไพลินไม่ได้เข้าวังจริงๆ ไปฝึกดาบบ้างคงไม่เสียหายกระไร”

“โธ่! พ่อดวง เรื่องอะไรไปสนับสนุนน้องแบบนั้น แม่ไพลินเป็นคนอยู่แต่ในบ้านในวัง งานหนักไม่เคยทำ การฝึกดาบนั้นหนักหนาสาหัสเอาการ มันไม่งามหรอก”

“ในเมื่อเจ้าตัวเขามาฝักใฝ่ทางนี้เสียแล้ว จะให้ทำอย่างไรเล่าขอรับ”เขาบอกยิ้มๆ มารดาของเขาติดขัดอยู่ไม่กี่เรื่อง หลังจากโกรธาคราวก่อน ทั้งท่านและแม่หญิงไพลินต่างรอมชอมกันดีอยู่ แม่น้องสาวเองคงรู้ตัวถึงได้สงบเสงี่ยมเอาอกเอาใจท่าน

“แต่แม่เห็น…เท่าที่ดูก็เห็นว่ากำลังพยายามตั้งอกตั้งใจเตรียมตัวเข้าวังอยู่ วันก่อนให้ลูกสาวคุณพระภูบาลมาคุยกัน มาสอนอะไรไม่รู้ หมอบๆ คลานๆ ท่าเข้าเฝ้า ดูตั้งใจจะกลับเข้าวังแล้ว”

คราวนี้หลวงเสนาถึงกับหัวเราะในลำคอ อยู่ๆ ไปชายหนุ่มพอรู้ทางแม่น้องสาวว่าจะทำให้ดีก็พอทำเป็น แต่ออกจะเห็นใจอยู่ครามครันที่ต้องมาฝืน

“เห็นจะจริงขอรับ ไพลินน่ะอยากให้คุณแม่สบายใจ เลยตั้งใจจะเข้าวังอย่างที่คุณแม่กำหนดอยู่แล้ว คงน่าดูล่ะขอรับ โดยเฉพาะท่าหมอบเฝ้ากระโดกกระเดกอย่างนั้น” ชายหนุ่มสามารถบอกได้ราวกับเห็นด้วยตา

“ดูทีรึ ไปว่าน้องอย่างนั้น” คุณหญิงทั้งขำทั้งฉิว นึกภาพตามก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เห็นอยู่ว่าคนที่มาสอนนั้นลอบถอนหายใจส่ายหน้าเป็นพักๆ ท่าทางอาจจะเรียบร้อยก็จริงแต่หาได้นุ่มนวลงดงามตามธรรมชาติไม่

ในสายตาของคนที่เคยคุ้นกับชาววังนั้นย่อมถือว่าผิดเพี้ยนไป

จะว่าไปตอนนี้ไม่ค่อยมีใครเป็นพวกเดียวกับท่านเลย

“คุณหญิง…คิดดูถ้วนถี่ดีแล้วรึ ฉันว่ามันจะไปไม่รอดนะ เกิดไปถวายงานเสด็จท่านแล้วไปพูดไปทำอะไรผิดพลาดเข้า เกิดทรงกริ้วขึ้นมาจะทำอย่างไร” คราวนี้ท่านเจ้าคุณซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยกล่าวสำทับ

“แต่ท่านโปรดแม่ไพลินนักนี่เจ้าคะ”

“แค่ ‘เคย’ เท่านั้นนะ ตอนนี้แม่ไพลินไม่เหมือนเดิมแล้ว เราเองก็รู้ดี” ท่านเจ้าคุณชี้แจงอย่างนุ่มนวล

เรื่องนี้คุณหญิงได้ตระหนักมาพักหนึ่งแล้ว ลูกสาวคนเล็กในยามนี้ใช้คำพูดแปลกๆ และมักไม่ใคร่เก็บปากเก็บคำเท่าใด กิริยายามเผลอตัวก็ไม่ค่อยนุ่มนวลงดงามดังเช่นแต่ก่อน

“กระผมขอเรียนคุณแม่ตามตรงนะขอรับ กระผมมีน้องอยู่คนเดียว ตอนเด็กๆ นั้นน่าเอ็นดูเป็นที่สุด ทั้งแสนซนทั้งช่างเจรจา จำได้ว่ากระผมติดน้องมาก ไม่ค่อยยอมไปไหน…ไม่รู้ว่าทำไม พอโตขึ้นมาถึงเข้ากันไม่ค่อยได้ ดูจะคิดต่างทำต่างไปในทางตรงข้ามเสียทุกสิ่ง”

ชายหนุ่มระลึกถึงความหลังแล้วสะดุ้งในใจ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

บางทีน้องตัวเล็กคนนั้นอาจจะ…กลับมาอีกครั้งก็เป็นได้!

“จนเมื่อแม่หญิงไพลินป่วยช่วงนั้น หลังจากหายดีแม้จะดูแปลกพิลึกพิลั่นอยู่บ้าง แต่กระผมกลับพึงใจเหมือนกับได้น้องสาวตัวน้อยกลับคืนมาเสียอย่างนั้น ดีกว่าเป็นแบบที่เห็นที่นอนไม่รู้สติ เป็นสิ่งที่กระผมทรมานใจเป็นที่สุด คุณแม่ก็ทราบ ผมยอมทุกอย่างเพื่อให้น้องฟื้นกลับมา ถ้าแม่หญิงไพลินไม่ได้เข้าวังแล้วหาคนที่ดีมาเป็นคู่ด้วยไม่ได้ กระผมก็ไม่เห็นเดือดร้อน ตัวกระผมก็น่าจะเลี้ยงน้องคนเดียวให้มีความสุขได้จนแก่เฒ่า” คราวนี้น้ำเสียงของเขาหนักแน่น

“แม่ก็ไม่ได้บังคับแล้ว” คุณหญิงเสียงอ่อย กับลูกชายคนโต ถ้าเขาจริงจัง พูดจายาวๆ ขึ้นมา คนเป็นพ่อเป็นแม่บางครั้งก็ต้องฟัง

“กระผมเห็นว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ แม่ไพลินคงเกรงคุณแม่จะเสียใจน่ะสิขอรับ อันไหนคุณแม่ไม่ชอบก็พยายามอยู่ เห็นนั่งหัดงานอยู่เงียบเชียบไม่ออกไปไหน มือไม้เป็นรูปรุไปหมด ลงคนมันกลับกลายเป็นไม่ถนัด ไม่มีใจรัก จะทรมานไปเปล่าๆ ถ้าไม่ได้เข้าวังก็ใช่ว่าจะเลิกร้อยมาลัยให้คุณแม่เสียที่ไหน คุณแม่เองก็ขึ้นชื่อว่าเป็นข้าหลวงมือหนึ่ง แม่ไพลินเรียนวิชาในวังได้ไม่ขาดตอนแน่”

คุณหญิงถอนใจ ไม่คิดว่าตอนนี้ท่านจะหัวเดียวกระเทียมลีบ ทั้งสามีและลูกชายล้วนพยายามเกลี้ยกล่อมให้ท่านเปลี่ยนใจ

“คุณหญิงไม่ลองเปิดใจให้กว้างดูทีรึ ไหนๆ แม่ไพลินก็คงเข้าไปในวังไม่ได้แล้ว ทั้งคนทั้งงานจำไม่ได้สิ้น เมื่อเป็นอย่างนี้พระองค์ท่านก็คงไม่ให้ถวายงานไว้ใกล้ตัวอย่างแต่ก่อน ปะเหมาะเคราะห์ร้ายไปทำให้สมเด็จกริ้ว นอกจากจะอับอายแล้วยังจะเป็นโทษถึงเราได้นะ” ท่านเจ้าคุณเกลี้ยกล่อมเมื่อเห็นภรรยาเริ่มลังเล

จริงอยู่ ทั้งๆ ที่เห็นลูกพยายามแล้ว คุณหญิงย่อมรู้สึกใจอ่อนเป็นทุนเดิม แต่ยังตัดใจไม่ลง ไม่อยากยอมแพ้ตามวิสัย “เรื่องนั้นถึงอย่างไรก็คงต้องพูดคุยกัน และสุดท้ายอิฉันจะต้องพาแม่ไพลินไปเฝ้าให้ดูตัวสักครั้งล่ะเจ้าค่ะ”

หลวงเสนาสรศักดิ์ไม่ได้เซ้าซี้ เห็นว่ามารดาอ่อนลงมากแล้ว หากก็ต้องให้ท่านเป็นผู้ตัดสินใจ ไหนๆ แม่ไพลินก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกที่ท่านอุ้มชูมามากกว่าเขาซึ่งเป็นพี่ ดังนั้นจึงย่อมเป็นอำนาจของท่าน

คงทำใจลำบากอยู่ไม่น้อย เพราะแม่หญิงไพลินนั้นเป็นหน้าเป็นตาให้ท่านเสมอมา แต่จะทำอย่างไรได้ ขืนไปเคี่ยวเข็ญเจ้าหล่อนยามนี้เห็นทีจะลำบาก

 

“ไพลิน แม่ว่าเจ้าน่าจะเข้าวังได้แล้วนะ”

จู่ๆ คุณหญิงก็เอ่ยขึ้นมา ท่านเจ้าคุณวางมือจากการกินหมาก และหลวงเสนาก็ขยับหันมา

หญิงสาวนิ่ง ก้มหน้า ซ่อนความรู้สึกสิ้นหวัง ตอนนี้ไม่ได้เกรงกลัวการเข้าวังใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะมีประโยชน์อะไรในเมื่ออยู่ข้างนอกยังได้ทำได้รู้อะไรมากกว่า

จำได้ว่าตอนที่บิดามารดาหย่าร้างกันใหม่ๆ ทั้งสองมีแผนที่จะส่งหล่อนไปอยู่โรงเรียนประจำ แต่ท้ายสุดณิรชาก็เลือกที่จะอยู่บ้านของตายายบ้าง ปู่ย่าบ้าง และเมื่อทุกท่านไม่อยู่แล้ว หญิงสาวก็เลือกใช้ชีวิตอิสระเพียงคนเดียวตลอดมา ไม่มีใครจับหญิงสาวใส่กรงให้อยู่ที่ใดที่หนึ่งโดยไม่ได้รับการยินยอมพร้อมใจของเจ้าตัวได้

“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ”

“สุดแล้วแต่คุณแม่เถอะเจ้าค่ะ” หญิงสาวเสียงอ่อย คราวนี้คงต้องยอมรับชะตากรรม แม่หญิงไพลินจะต้องเข้าวังหลวงในไม่ช้านี้แล้ว จะไปอยู่ได้อย่างไร หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เพราะถ้าเป็นณิรชาตัวจริงก็คงไม่รอช้าที่จะหลบไปอยู่ที่ไหนๆ ที่ใครก็บังคับไม่ได้

แต่ที่นี่…ไม่เหมือนกัน สายใยผูกพันนั้นมีอยู่หนาแน่นจนมิอาจหักออกไปโดยไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นได้

“เจ้าก็หายดีแล้ว มาอยู่กับบ้านจะไม่ได้อะไร ต้องไปอยู่กับหม่อมพวงแขในวังให้ท่านอบรมอีกสักครั้ง ไปอยู่ในที่เดิมๆ เผื่อจะฟื้นเร็ว”

หญิงสาวยังคงเงียบอยู่ วูบหนึ่งรู้สึกท้อแท้ แต่จะหนีปัญหาแกล้งทำเป็นป่วยอีกก็จะกลายเป็นคนที่ใช้ไม่ได้

“เจ้าไม่อยากเข้าไปอยู่ในวังไปอยู่กับเพื่อนๆ หรอกหรือ ที่นั่นมีแต่ของสวยๆ งามๆ มีปี่พาทย์มโหรีขับกล่อม อยู่สบายๆ ไม่ต้องลำบาก”

คราวนี้หล่อนแลตาสบกับหลวงเสนาสรศักดิ์และท่านเจ้าคุณ ทราบว่าทั้งสองคนต่างช่วยเหลือพูดให้แล้ว ที่เหลือตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้น

“ถ้าคุณแม่ประสงค์ให้ลูกเข้าวังลูกก็จะเข้าเจ้าค่ะ แต่…ถ้าถามใจลูกจริงๆ ลูกไม่อยากเข้าไปเลย” หญิงสาวพยายามเรียนท่านอย่างนุ่มนวลที่สุด

“ทำไมล่ะ แต่ไหนแต่ไรเจ้าชอบอยู่ในวัง เย็บปักถักร้อย อยู่ที่นั่นใครๆ ก็ชมว่าเจ้าเก่งนักหนา เจ้าไม่อยากเป็นคนโปรดอีกแล้วหรือ”

หล่อนมองหน้ามารดา ก่อนจะรวบรวมความกล้าอีกนิด “เจ้าค่ะคุณแม่ ตอนนี้ลูกไม่อยากเป็นคนโปรดอีกต่อไปแล้ว ลูกสอบถามจากแม่ประยูรเพื่อนที่อยู่ข้างใน มีอะไรหลายอย่างในวังที่ไม่ต้องนิสัยอีกต่อไป ลูกไม่อยากเข้าไปเสพสุขในวังในช่วงเวลาเช่นนี้ ถ้าอยู่ข้างนอกลูกยังอาจจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้มากกว่า ที่สำคัญลูกอยาก…มีเวลาปรนนิบัติคุณพ่อคุณแม่ให้มากๆ”

ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา เขาว่าคนในวังเล่นมโหรีกลบเสียงปืนเสียงระเบิดทุกวัน พอพม่าเข้ามาจริงๆ ก็ถูกกวาดต้อนไปเสียมากเพราะหนีกันไม่ทัน หล่อนไม่อยากมีสภาพเป็นหนูวิ่งพล่าน รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ทำอะไรไม่ได้เลย

“พ่อกับแม่ยังแข็งแรงดีอยู่ เจ้าจะห่วงอะไร”

“เวลาเจ้าค่ะ…เวลา…มันสั้นลงไปทุกที”

คุณหญิงพลอยศรีนิ่วหน้า ณิรชาจึงได้แต่ถอนใจ รีบเปลี่ยนเรื่อง

“อีกอย่าง ในวังมีกฎเกณฑ์มากมาย ซึ่งลูกอาจจะไม่สามารถกระทำตามได้หมด เรื่องโดนกริ้วโดนลงพระอาญานั้นลูกไม่ได้กลัวตายแม้แต่น้อย แต่เกรงว่าจะกระทบถึงคุณพ่อคุณแม่และพี่ดวง คุณงามความดีของตระกูลที่สั่งสมมาจะถูกทำลายเพราะลูกไปเสียสิ้น”

“เจ้าไม่คิดเข้าวังเพราะที่จริงเจ้าอยากจะไปฝึกดาบกับแม่จันทร์ของขุนพิชิตศาสตราเช่นนั้นรึ” ผู้เป็นมารดาดักทางเอาไว้

“ลูกยอมรับว่าคิดเช่นนั้นจริงเจ้าค่ะ ลูกคงรักที่จะเรียนรู้ทางด้านนี้ไปเสียแล้ว แต่นั่นก็สุดแต่คุณพ่อคุณแม่จะกรุณา” ณิรชาไม่ปฏิเสธ ดูท่ามารดาไม่ได้โมโหเหมือนเมื่อคราวก่อน ในเมื่อหล่อนเองยังไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่เข้าวังสักคำ

“ในเมื่อคุณแม่กำหนดให้เข้าวัง ลูกก็จะทำตามความประสงค์ แต่ที่เรียนคุณแม่นั้นเพียงเพื่ออยากบอกว่าลูกคิดอะไร อยากทำอะไร แต่ทราบอยู่แล้วว่าท้ายสุดชีวิตของลูกเป็นของคุณพ่อคุณแม่ สุดแล้วแต่พ่อแม่กำหนดเจ้าค่ะ”

“คุณหญิง…” ท่านเจ้าคุณคิดว่าน่าจะเข้ามาร่วมวงได้แล้ว

“ลูกยอมถึงขั้นนี้แล้ว มันอาจจะดูแปลกไปก็จริง แต่ยังมีลูกสาวคนอื่นๆ ที่เขาไม่ได้เข้าวัง ก็ไม่เห็นใครจะเดือดร้อน แม่ไพลินก็ไม่ได้คิดจะทำการอะไรเสียหาย บางทีอาจจะเป็นประโยชน์ในกาลข้างหน้า”

หลวงเสนาเองก็ทิ้งจังหวะให้มารดาตัดสินใจ

“กระผมว่าให้ไพลินไปลองฝึกดูก็ได้นี่ขอรับ ไหนๆ ใครๆ เขาก็ว่าลูกสาวบ้านนี้ฟื้นไข้แล้วมาประหลาดอยู่แล้วก็ปล่อยไปเถอะขอรับ การฝึกดาบนั้นหนักหนานัก เผลอๆ จะร้องไห้ขอกลับเข้าวังแทบไม่ทัน”

“พี่ดวง!” หญิงสาวหันขวับหาพี่ชาย แต่ทำอะไรไม่ได้มากเพราะต้องสงบเสงี่ยมเอาไว้ก่อน วิธีการพูดของชายหนุ่มดูแปร่งๆ ราวกับไปจำใครมา คงไม่ใกล้ไม่ไกลหรอก ‘ขุนอรรถ’ พ่อคู่หูคนโปรดนั่นแน่

“การฝึกดาบเป็นเรื่องของผู้ชาย แม่จันทร์เขาเป็นลูกนักดาบ จำเป็นต้องมีฝีมือด้านนี้อยู่แล้ว เจ้าจะไปเอาอย่างเขาได้อย่างไร” คุณหญิงนึกภาพลูกสาวออกไปยืนจังก้า ยกแข้งยกขาไม่ออก

“ลูกเห็นว่าวิชาดาบเป็นวิชาที่ทำให้เราเอาตัวรอดได้ในเวลาคับขัน ยามศึกสงครามไม่ว่าหญิงหรือชายต้องถึงคราวต่อสู้ ลูกอยากมีวิชาเอาไว้เผื่อจะช่วยเหลือบ้านเมือง”

“จะเอาสงครามมาจากไหน! บ้านเมืองสงบสุขแล้ว”

“แค่ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้นเจ้าค่ะ”

ผู้เป็นมารดาเริ่มเห็นแววเลอะเลือนของลูกสาว ถ้าเกิดไปกราบทูลเช่นนี้กับท่านในวัง เห็นทีต้องถูกกริ้ว เพราะพระองค์ท่านไม่ปรารถนาจะได้ยินเรื่องเช่นนี้แม้แต่น้อย

“มันไม่แน่นอนหรอกคุณหญิง” คราวนี้ท่านเจ้าคุณรับรองเอง “ไม่แน่ว่าลูกของเราอาจจะได้ใช้จริงๆ”

“คุณพี่พูดอะไรเจ้าคะ”

ท่านเจ้าคุณไม่ตอบ ลูกชายไม่พูด หนำซ้ำลูกสาวยังเงียบ ดูคล้ายว่าอาจจะเป็นจริง

คุณหญิงจึงตระหนกนัก ถ้าเกิดขึ้นมาจริงๆ ท่านคงอยู่ไม่ได้ด้วยความหวาดกลัว

ถ้าเป็นตอนแรกๆ ท่านคงจะไม่รับฟังใดๆ ทั้งนั้น แต่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ท่านรู้สึกว่าชีวิตของท่านเปลี่ยนไปมากมาย คนรอบข้างก็เปลี่ยน ลูกสาวที่ตั้งหวังไว้ให้เป็นหน้าตาก็ไม่เป็นดั่งใจ

คนที่เคยเป็นใหญ่และกำหนดชะตาชีวิตคนในครอบครัวรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหลือกำลัง

แต่ทว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงหาได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมด เรื่องดีๆ ก็มีมามากมาย พี่น้องรักกัน พ่อแม่ลูกหันมาคุยกัน ท่านไม่ทราบหรอกว่าสิ่งนี้เรียกว่าการยอมรับฟังความเห็นของคนอื่น ซึ่งท่านและแม่หญิงไพลินไม่เคยกระทำ จากเสียงลงคะแนนสองต่อสอง ตาลปัตรมาเป็นสามต่อหนึ่ง

“คุณพี่ว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ”

“สุดแต่คุณหญิงเถอะ” ท่านเจ้าคุณให้เกียรติยกให้เป็นการตัดสินใจของภรรยา ท่านไม่อยากหักหาญน้ำใจของคุณหญิงนัก เพราะอย่างไรสิ่งที่เกิดขึ้นก็สืบเนื่องมาจากความเมตตาและปรารถนาดีต่อบุตรธิดาทั้งสิ้น

คุณหญิงทอดตามองลูกสาวคนเล็กนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ความเอ็นดูสงสารนั้นมีอยู่เต็มเปี่ยม คงบังคับไม่ได้แล้วกระมัง

“ถ้าอย่างนั้น พ่อดวงก็รับผิดชอบดูแลน้องให้ดีก็แล้วกัน เจ้าเป็นคนตัวตั้งตัวตีออกหน้าดีนัก”

“ขอรับ” ชายหนุ่มรับคำอย่างยินดี

“คุณแม่! นี่หมายความว่า…” ณิรชาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง คิดให้ตายก็ไม่ทราบถึงเหตุผลของคุณหญิง

“ถึงอย่างไร เจ้าก็จำต้องเข้าวังกับแม่สักครั้ง ไปทูลลาพระองค์ท่าน แค่นี้เจ้าคงเก็บปากเก็บกิริยาไม่ไปทำอะไรให้ท่านกริ้วได้กระมัง”คุณหญิงบอกค้อนๆ ที่จริงท่านค่อนข้างใจอ่อนมาเรื่อยๆ ตลอดเวลานั่นแหละ พอลูกเชื่อฟัง คนเป็นพ่อแม่ย่อมต้องให้รางวัลบ้าง

“เจ้าค่ะคุณแม่…ลูกจะพยายามให้เรียบร้อยที่สุด” หน้าตาของหญิงสาวคงบานเป็นจานเชิง โล่งอกอย่างบอกไม่ถูก

ท่านเจ้าคุณกระแอม “ไพลิน ถ้าไม่ไหวก็ต้องยอมกลับเข้าวัง จำอะไรไม่ได้ จำใครไม่ได้ ก็ต้องไปฝึกใหม่”

“เจ้าค่ะ คุณพ่อ”

“ทั้งพ่อทั้งลูก ไม่ได้ดั่งใจเลย” ผู้เป็นมารดาบ่นลอยๆ

หลวงเสนาพยักหน้าให้ณิรชาคลานเข้าไปกราบและกอดมารดา แขนอุ่นๆ นั้นเมตตาหล่อนเหลือเกิน

“คุณแม่ขา ลูกรักคุณแม่ที่สุดเจ้าค่ะ”

“ให้มันจริงเถอะ…ดูสิ” มารดาของหล่อนถอนหายใจ รั้งมือของหล่อนไปบีบ

“ไปฝึกดาบ มือไม้เจ้าคงหยาบกร้าน ไหนจะยกแข้งยกขาน่าเกลียด โอ๊ย! นึกพิเรนทร์อะไรอย่างนี้ นี่แม่จะทำอย่างไรกับเจ้าดี” ท่านพูดไปเรื่อย แต่หญิงสาวก็กอดท่านแน่นเสียแล้ว จะมีใครมีความสุขอย่างนี้เป็นไม่มีแล้ว พ่อแม่ที่มีเมตตาเข้าใจลูกยิ่งกว่าโลกดิจิตอลเสียอีก

 

หลังจากที่คุณหญิงพลอยศรีตัดใจไม่เคี่ยวเข็ญให้แม่หญิงไพลินเข้าวังตามประสงค์แล้ว ณิรชาก็รู้สึกเต็มตื้นอยู่ในอก สิ่งใดที่สามารถทำเพื่อสนองเมตตาได้ หญิงสาวก็พยายามทำอย่างเต็มที่ หมั่นฝึกฝนการงานฝีมือ ไม่ได้ละขาดจากงานที่แม่หญิงคนเก่าเคยทำได้

หล่อนเข้าใจดีว่าท่านอาจจะยังมีความคลางแคลงใจในตัวลูกสาวอยู่บ้าง แต่คนที่รับประกันหล่อนนั้นคือหลวงตาน้อยผู้ซึ่งใครๆ ก็เชื่อว่าท่านมีญาณพิเศษบางอย่าง

เมื่อเห็นว่าแม่ไพลินคนเก่านั้นได้เปลี่ยนแปลงไป ท่านจึงพยายามทำใจและปล่อยๆ ไม่มาเคี่ยวเข็ญให้ทำอะไรอีก จะว่าไปท่านเป็นมารดาที่มีเมตตานัก ทั้งอนุญาตให้ไปเรียนวิชาดาบ และพาเข้าไปลาราชการงานในวังหลวง

ในวังหลวง แม้จะได้เห็นเฉพาะอาณาเขตที่เดินไป แต่นั่นก็ทำให้หล่อนตื่นตาตื่นใจไม่น้อย โครงสร้างคล้ายกับที่เห็นในพิพิธภัณฑ์ แต่นั่นเป็นเพียงชุดจำลอง ไม่อาจเทียบเคียงกับความวิจิตรงดงามที่เห็นด้วยตาตนเองแน่นอน ยิ่งความละเอียดอ่อนของลวดลายต่างๆ นั้น ต่อให้คนในยุคต่อมาจินตนาการอย่างไรก็คงนึกไม่ออก

เมื่อทุกอย่างราบรื่นแบบนี้แล้ว ณิรชาเองก็ต้องเจียมตนอยู่เงียบๆ บ้าง อะไรที่ทำให้ท่านพอใจได้ก็พยายามทำ งานบ้านงานเรือนส่วนไหนที่ทำได้ก็จะแบ่งเบาไม่ให้เป็นภาระ จะมีที่กังวลอีกเรื่องน่าจะเป็นสุขภาพทำให้ท่านอ่อนแรงไปมาก ณิรชาไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ แต่คนโบราณมักเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บบางอย่างที่วินิจฉัยและรักษาไม่ได้

“คุณแม่เอนหลัง บอกบ่าวข้างล่างให้เบาๆ หน่อยนะ” หญิงสาวลงจากเรือนมาสั่งอ่อน หลังจากที่ปรนนิบัติให้ท่านพักผ่อนเอาแรง ก่อนจะเดินตรวจตราบริเวณบ้าน

แม่หญิงไพลินในยามนี้ไม่น่ากลัวเช่นแต่ก่อน ที่เห็นแล้วจะต้องพากันหลบวูบวาบเพราะกลัวโดนเอ็ดก็มีน้อยลง สุขลักษณะของบ้านนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ณิรชาเอามาปรับปรุง ที่สำคัญที่นี่น่าจะเป็นบ้านหนึ่งในกรุงศรีอยุธยาที่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ส้วม’ จริงๆ จังๆ เพราะหญิงสาวให้คนปั้นดินเป็นรูปคอห่านเหมือนส้วมซึม

กรุงเทพฯ ที่หญิงสาวเติบโตมาก็เห็นที่อยู่อาศัยเป็นสัดส่วน เคยอ่านหนังสือว่าส้วมของประเทศไทยเริ่มต้นตามป่ากล้วย ดงต่างๆ จนมาถึงคนจีนที่มาทำเรื่องปุ๋ยปลูกผัก

ตอนนี้หญิงสาวรู้สึกเห็นใจพวกนักพัฒนาทั้งหลาย เพราะถึงแม้จะมีห้องน้ำห้องส้วมให้อธิบายคุณประโยชน์จนปากฉีก คนในบ้านยังไม่ค่อยอยากใช้ อ้างว่าน่าเกลียด เป็นที่สะสมมูล แม่อ่อนนั่นตัวตั้งตัวตีว่าไม่สะดวกบ้างล่ะ ไม่ชิน อึดอัดที่จะต้องทำทุกข์หนักทุกข์เบาในที่แคบๆ

คนที่โอนอ่อนผ่อนตามน่าจะเป็นหลวงเสนาสรศักดิ์ แม้จะแปลกใจในความคิดของน้องสาวบ้างก็ตาม เขาหัวเราะเมื่อได้ลองของใหม่ คนชั้นสูงของอยุธยาจะมีส้วมเป็นห้องหับมิดชิดอยู่บ้างเนื่องจากวัฒนธรรมจากในวังหลวง แต่ส้วมใหม่ของบ้านนี้กลับเป็น ‘เหมือนของพวกฝรั่งมังฆ้อง’ ถึงไม่ได้ไปเห็นแต่จำได้ว่าอยุธยาช่วงนี้มีพวกจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส ฮอลันดาและโปรตุเกสอยู่เป็นหมู่บ้านต่างๆ ท่านเจ้าคุณบิดามีโอกาสได้พบปะกับพวกฝรั่งเป็นบางครั้ง จึงไม่แปลกที่หลวงเสนาผู้เป็นบุตรชายจะมีโอกาสได้รู้ได้เห็นอะไรที่แปลกตาอยู่บ้าง

เรื่องแบบนี้อธิบายมากไม่ได้ ช่วงตอนปลายของอยุธยา เหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้บ้านเมืองอ่อนแอคือโรคห่า หรืออหิวาต์นั่นเอง ต้องป้องกันเอาไว้ก่อนเกิดเรื่อง แต่เรื่อง ‘ส้วม’ นี้ท่านเจ้าคุณกำชับไว้ไม่ให้โจ่งแจ้งนัก เพราะจะกลายเป็นทำอะไรเทียบเคียงกับในรั้วในวังที่แม่หญิงไพลินเคยอยู่มาก่อน หรือบางคนอาจจะพานคิดไปถึงเรื่องคบหากับคนต่างชาติเพื่อการใหญ่ ณิรชาเข้าใจและพยายามระมัดระวังไม่ให้เอิกเกริก ตอนนี้เพิ่มการเอาใจใส่กับการใช้น้ำสะอาดไปก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน

 

“เอ… วันนี้เจ้าร้อยมาลัยพระเสียเยอะเชียว จะเอาไปทำอะไรรึ งามเสียด้วยสินะ”

คุณหญิงพลอยศรีหยิบมาลัยดอกไม้ขึ้นมาดู ถึงจะเป็นแบบง่ายๆ แต่ก็ดูงามขึ้นตามฝีมือฝึกหัด

หญิงสาวถือโอกาสยิ้มประจบ มั่นใจตั้งแต่แรกว่าจะได้รับคำชม เพราะนั่งหลังขดหลังแข็งตั้งหลายชั่วโมง ถึงจะเป็นแค่มาลัยสองชายแบบง่ายๆ ก็เถอะ

“ลูกดีใจที่คุณแม่ว่างามเจ้าค่ะ ลูกว่าจะขออนุญาตคุณแม่ออกไปไหว้พระ คุณแม่ไม่ใคร่สบาย ลูกอยากไปขอพรพระให้คุณแม่”

“จริงหรือเจ้า แหม…ฟังแล้วปลื้มใจจริงๆ” มืออูมนุ่มโอบร่างของหล่อนไปกอด เดิมณิรชาเคยตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง แต่พอนานไปค่อยเริ่มชินและรู้สึกอบอุ่น

“เอาเถอะ ตามใจเจ้า แต่อย่าตากแดดมาก เดี๋ยวจะพานเป็นไข้ ไม่สบายไปอีก”

“เจ้าค่ะ”

เมื่อได้รับอนุญาต ขบวนเรือของแม่หญิงไม่ต่ำกว่าสามลำจึงเริ่มขึ้นในตอนเช้า ดูเอิกเกริกจนหลวงเสนายังมายืนดูแล้วหัวเราะ “วันนี้แม่หญิงไพลินจะออกไปเที่ยวคงต้องแห่แหนกันสักหน่อย อย่างนี้น่าจะมีคนโห่นำนะ”

ณิรชาไม่สนที่ถูกล้อเลียน ได้แต่ทำท่าสงบเสงี่ยมเอาไว้ เพราะวันนี้นุ่งห่มสไบย่อมต้องเรียบร้อยให้ต้องใจมารดา เรื่องคนติดตาม ยกเว้นถ้าวันไหนแต่งตัวเป็นชายจะมีคนตามไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นวันที่ไปซ้อมดาบกับแม่หญิงจันทร์ ตอนนี้คนรู้จักเริ่มชินกับการเป็นผู้ชายของหล่อนอยู่เหมือนกัน แต่จะเอาไปคาดเดาอย่างไรนั้นก็สุดที่จะรู้ได้

“พี่อ่อน รีบเข้าเถอะ วันนี้ฉันกะว่าจะไปกราบพระสักเก้าวัด” อ่อนทำหน้างง ตอนที่ณิรชาบอกให้เตรียมของถวายพระ

“พระเก้าวัด มีที่ไหนเจ้าคะ เลขคี่ ไม่ดีเจ้าค่ะ”

“อ้าว…” หญิงสาวอึ้งไปนิดหน่อย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายุคสมัยไม่เหมือนกัน เท่าที่พอจะเดาได้ เลข 9 ในช่วงเวลาของตัวเอง มีที่มาจากคำพ้องเสียงว่าก้าวหน้า และรัชสมัยรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่ง

อ่อนคงคิดว่าหล่อนพิลึก ค่านิยมของคนแต่ละยุคสมัยไม่เหมือนกันจริงๆ ที่จริงหล่อนก็ไม่ได้เชื่อเรื่องเลข 9 นี้มากนักหรอก ยังเคยหัวเราะเมื่อพรรณพิลาศเล่าถึงเรื่องการไหว้พระเก้าวัดที่กำลังนิยมกัน แต่มาถึงที่นี่แล้ว…ในเมื่อสิ่งไหนพอทำได้ก็อยากทำเพื่อให้คุณหญิงผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นมารดาบ้างก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร

“แล้วต้อง…เท่าไหร่ล่ะ”

“สี่หรือสิบเจ้าค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นเราจะไปสักสิบวัดเลยนะพี่อ่อนนะ” ไม่ยากหรอก เพราะวัดแต่ละวัดในกรุงศรีอยุธยาช่วงเวลานี้แทบจะอยู่ติดกันกำแพงต่อกำแพง

พี่เลี้ยงมีสีหน้าพอใจรับคำ แล้วรีบออกไปสั่งบ่าวคนอื่น

 

วัดที่ได้เข้าไปกราบล้วนใหญ่โต สมัยอยุธยามีการทำวิหารแบบก่ออิฐถือปูนแล้ว บางวัดนั้นดูวิจิตรตั้งแต่บานประตูที่สลักรูปเทวดานั่นเลยทีเดียว บางวัดก็แกะสลักหน้าบันงดงาม พระพุทธรูปของแต่ละวัดล้วนมีลักษณะเฉพาะที่สามารถระบุยุคสมัยแรกสร้าง

‘โชคร้าย’ ในช่วงสองร้อยกว่าปีข้างหน้า บางวัดสูญสลาย และบางวัดถูกทำลายไปเพราะความไม่รู้ของผู้คน

เมื่อตอนเป็นนักเรียนมัธยม โรงเรียนจัดทัศนศึกษาที่อยุธยาแล้วให้ทำรายงานส่งอาจารย์ จำได้ว่าหัวข้อที่เลือกทำคือการเรียงลำดับยุคสมัยของวัดแต่ละวัดในอยุธยา ซึ่งมีความหลากหลายและแตกต่าง หญิงสาวจึงพอจดจำเรื่องพวกนี้ได้อยู่บ้าง

นี่อาจรวมไปถึงนิสัยที่ชอบชื่นชมในศิลปะของชาติต่างๆ ไม่ว่าจะไปเมืองไหน ประเทศไหน สถานที่ที่หล่อนสนใจคือโบราณสถานและพิพิธภัณฑ์ อันเป็นที่บ่งบอกรากเหง้าของเมืองนั้นๆ ไม่อย่างนั้นณิรชาคงไม่ติดตามพวกนักโบราณคดีไปตามเมืองโบราณที่มีชื่อเสียงต่างๆ จนบางครั้งต้องตกอยู่ในสงครามกลางเมือง เดือดร้อนคนที่อยู่เมืองไทยไปตามๆ กัน

การล่องเรือทำบุญคราวนี้ทำให้ได้เห็นภาพเต็มๆ ของจิ๊กซอว์เหล่านั้น ต้องยอมรับจริงๆ ว่าศิลปะทางศาสนาของกรุงศรีอยุธยานั้นหลายหลาก บางวัดว่ากันว่าสร้างมานานกว่าสี่ร้อยปีด้วยซ้ำ แต่ละวัดได้บูรณะข้ามผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน สมกับเป็นเมืองทองในอาณาเขตนี้

ดังนั้นจึงเป็น ‘โชคดี’ ของประเทศไทยในอีกสองร้อยกว่าปีข้างหน้าเช่นกัน…ที่ยังพอเหลือสิ่งเหล่านี้ให้อนุชนรุ่นหลังอย่างพวกหล่อนให้มีโอกาสได้เห็นและศึกษาต่อไป

โดยเฉพาะวัดพระเมรุนั้นมีศิลปะที่ณิรชาชื่นชมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรจนอดที่จะบอกกับแม่อ่อนไม่ได้

“นี่แน่ะพี่อ่อน หน้าบันรูปพระนารายณ์ทรงครุฑของวัดนี้งามนัก และจะคงอยู่ไปอีกเป็นร้อยปีแม้ว่าเราจะสูญเสียวัดนับพันนับหมื่นในกาลข้างหน้า” หล่อนชี้ให้อ่อนดูหน้าบันที่ประดับอยู่ส่วนหน้าของอุโบสถใหญ่ เห็นไม้สักแกะสลักเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑเหยียบเศียรนาคและมีรูปราหูสองข้างติดกับเศียรนาคงดงามและชัดเจน

“แม่หญิงหมายถึงอะไรเจ้าคะ” พี่เลี้ยงคนสนิทคงประหลาดใจไม่น้อย เท่าที่ทราบ แต่ไหนแต่ไรแม่หญิงไพลินสนใจแต่เรื่องของสวยงาม เรื่องจะเข้าวัดมาชมโบสถ์ชมวิหารนั้นไม่มีในวิสัย

“ฉันพูดถึงสิ่งที่จะดำรงอยู่ในกาลข้างหน้า” ณิรชาไม่คาดหวังว่าอ่อนจะเข้าใจ เจ้าหล่อนเป็นคนฉลาด สักพักคงจะซึมซาบเอาเองว่าสิ่งที่พูดถึงนั้นสามารถดำรงต่อไปได้ในรูปแบบใด

หญิงสาวกราบพระพุทธรูปทรงเครื่องที่มีพระพักตร์อันงดงาม ลักษณะยังคงเดิมเหมือนที่เคยเห็นเกือบทุกอย่าง “วัดนี้… มีของดีนะเจ้าคะ เมื่อตอนพม่ามาคราวก่อน พระเจ้าอยู่หัวของพม่าก็โดนปืนใหญ่ของเราที่นี่”

ณิรชาหันขวับ เริ่มสงสัยขึ้นมาทันที

“โดนปืนใหญ่ของเรา! เอ…ไม่ใช่พระองค์ทำปืนแตกเองหรอกหรือ” ประวัติศาสตร์ที่ท่องจำกันมาคือพระเจ้าอลองพญาทรงจุดปืนใหญ่เอง ปืนจึงแตกต้องพระองค์บาดเจ็บสาหัสจนสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา แล้วเรื่องราวจะผิดเพี้ยนไปได้อย่างไร

“โอ๊ย! คนเขาก็ว่ากันทั้งสองอย่างแหละเจ้าค่ะ บ่าวกับพวกชาวบ้านเชื่ออย่างนี้กัน ขุนหลวงหาวัดท่านมีพระบารมีกว่า ท่านลาบวชออกมาช่วยรบ พอสั่งยิงปืนใหญ่ พระพุทธรูปท่านก็บันดาลให้ลูกกระสุนตกลงกลางพระเจ้าอยู่หัวของข้าศึกพอดี พม่าเลยต้องรีบยกทัพกลับไป ไม่อย่างนั้น…”

อ่อนลดเสียงลงเป็นกระซิบกระซาบ ไม่ได้ใช้คำราชาศัพท์เต็มรูปแบบ “…พระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันคงไม่กินแหนงแคลงใจเรื่องพระบารมีจนคนเขาลือกันทั่ว ขนาดน้องเข้าเฝ้ายังเอาดาบวางไว้ข้างๆ พระที่นั่งเลย”

ที่ทำให้ประหลาดใจคือ ‘ข้อมูล’ เอาล่ะสิ ใครว่าประวัติศาสตร์ถูกบิดเบือนโดยผู้ชนะเพียงอย่างเดียว แม้กระทั่งผู้จดจารพงศาวดารเองก็ยังอาจมีความโน้มเอียงไปตามความเชื่อของตัวเองเสียด้วยซ้ำ นี่ยังไม่รวมกับที่พงศาวดารพม่าบันทึกเอาไว้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงว่าพระองค์ทรงพระประชวรอีกนะ

คนที่เชื่อเรื่องศิลปะมากกว่าเรื่องอภินิหารอย่างหล่อนได้แต่ยิ้มขัน

ไม่ว่าอย่างไรในอดีต… วัดนี้เคยถูกใช้เป็นที่เซ็นสัญญาสงบศึก

สงครามที่ผ่านมาเป็นที่ตั้งกองทัพข้าศึก

และสงครามในกาลข้างหน้าที่ใกล้จะมาถึง วัดนี้ยังคงเป็นป้อมปราการของข้าศึกเช่นเดิม

หญิงสาวทอดตามองไปยังฝั่งตรงกันข้ามที่มีแม่น้ำลพบุรีขวางกั้นอยู่ ยอดปราสาทราชมณเฑียรหุ้มทองเหลืองอร่ามเป็นประกายระยับยามต้องแสงแดด ช่างงดงามเกินบรรยาย

อีกไม่นานแล้วสินะ…ปืนใหญ่ของผู้รุกรานจะตั้งอยู่แถวนี้ แล้วระดมยิงไปที่นั่น ยอดปราสาทจะหักโค่น เปลวไฟจะแผดเผา ป่ารกชัฏจะเข้ามาแทนที่ สูญสิ้นสิ่งล้ำค่า

กาลเวลา…จะหลงเหลือไว้เพียงซากวัฒนธรรมให้คนรุ่นหลังไว้ต่อยอดเท่านั้น

…น่าเสียดาย…

 

บทที่ 12 แม่ค้าขนมหวาน

 

ขบวนเรือของแม่หญิงไพลินตามกันไปตามวัดต่างๆ นอกจากการทำบุญแล้ว ณิรชายังมีโอกาสได้ชื่นชมกับศิลปะต่างๆ

ในช่วงเวลานี้มีวัดมากมายนัก น่าจะห้าร้อยหรือหกร้อยแห่งกระมัง อ่อนว่าท่านเจ้าพระยาส่วนใหญ่มักสร้างวัดไว้เป็นกุศล แต่คนในอนาคตบอกว่าพวกท่านสร้างวัดไว้เพื่อลูกหลานจะได้มีที่เล่น

ว่าไปก็คงจะจริงเพราะมีเด็กจุกเด็กแกละวิ่งอยู่ให้เห็นเต็มไปหมด ไม่ต้องดูอื่นไกล ขนาดท่านเจ้าคุณพ่อของแม่หญิงไพลินยังมีวัดที่หลวงตาน้อยจำอยู่เป็นวัดประจำตระกูล หลวงเสนาสรศักดิ์เองก็ร่ำเรียนเบื้องต้นกับหลวงตานั่นเอง สำหรับณิรชาเห็นว่านี่เป็นกุศโลบายของคนโบราณมากกว่า ให้เด็กเล่นในวัด เรียนในวัด ใกล้ชิดพระสงฆ์เพื่อกล่อมเกลาและสั่งสอน พระก็คือพระรักษาศีล วัดจึงถือว่าเป็นศูนย์รวมของวิถีชีวิตในยุคนี้อย่างแท้จริง

ก่อนจะเข้าไปยังวิหารแห่งสุดท้ายเพื่อกราบพระและชื่นชมความงามทางศิลปะ จู่ๆ แม่อ่อนผู้เป็นคนนำก็ชะงักเท้า ทำเอาณิรชาต้องพลอยชะลอฝีเท้าตาม

“อะไรหรือพี่อ่อน” หญิงสาวไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติตรงหน้า

“เปล๊า! เจ้าค่ะ ไม่มีอะไร”

‘ไม่มีอะไร’ ของพี่เลี้ยงปรากฏมาพร้อมกับหน้าตาไม่ค่อยเสบย

ณิรชานิ่วหน้ามองไปยังทางเข้า เมื่อไม่เห็นมีอะไรน่าผิดสังเกตจึงก้าวเข้าไปด้านในซึ่งมีคนเข้าไปไหว้อยู่แล้วเป็นกลุ่มหญิงสาวสองสามคนในเครื่องแต่งกายชาวบ้านธรรมดา

“ดีจริงนะพี่อ่อน คนไม่เยอะ” หล่อนพึมพำด้วยความยินดี

อ่อนสิกลับมีสีหน้าลังเลแล้วมองเข้าไปยังบริเวณหน้าพระประธาน “แม่หญิงจะเข้าไปกราบตอนนี้จริงๆ หรือเจ้าคะ”

“อ้าว! จริงน่ะสิ เร็วเข้า…” หญิงสาวคลานเข่าเอาดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปข้างใน ตาจับจ้องอยู่กับผู้ที่มาอยู่ก่อนเพื่อจะได้ทำตามไม่ดูแตกหมู่ เมื่อคนที่มาอยู่ก่อนขยับ หล่อนถึงเข้าไปใกล้ พอเห็นกันถนัด ณิรชาก็ส่งยิ้มให้ด้วยไมตรีจิต ไม่ได้คิดอะไร ในขณะที่อีกฝ่ายชะงักอึ้ง ก่อนจะก้มหน้าถอยออกไปโดยเร็ว

เมื่อเสร็จจากการอธิษฐานขอพรพระให้คุณหญิง ณิรชาถึงได้ออกมาด้วยสีหน้าแช่มชื่น “เฮ้อ!…สบายใจดีจัง”

อ่อนสิกลับมองหน้าหญิงสาวราวกับไม่เคยเห็นกันมาก่อน

“อะไรหรือจ๊ะ” ยามอารมณ์ดี น้ำเสียงอ่อนหวานจะมีอยู่เสมอ

“บ่าวเชื่อแล้วว่าแม่หญิงจำใครไม่ได้จริงๆ” พี่เลี้ยงคนสนิทพึมพำ

“อะไรๆ พี่อ่อน…มีอะไรปิดฉันอีกล่ะสิ ท่าทางอย่างนี้ฉันรู้ทางพี่นะ” คราวนี้ร่างของผู้สูงวัยกว่าถูกเขย่าจนตัวคลอนหัวคลอน

“ยอมแล้วเจ้าคะ ยอมแล้ว แหม…ทำเป็นเด็กไปได้” อ่อนค้อนวงใหญ่ก่อนที่จะเฉลยความนัย

“เมื่อตะกี้แม่หญิงยิ้มให้ผู้ใด รู้จักไหมเจ้าคะ” อย่างน้อยคนถามนั้นทราบอยู่แก่ใจว่านายหญิงหาได้จดจำผู้คนที่เคยรู้จักได้ไม่ จำต้องคอยทวนให้อยู่ตลอด

คำตอบคือการสั่นหน้า ซึ่งพี่เลี้ยงชักชินเสียแล้วกับกิริยาแบบนี้

“นั่นน่ะแม่นวล แม่ค้าของหวานตลาดบางกะจะ”

“สวยดีนี่ แล้วอย่างไรเล่า” หญิงสาวมองหาคนที่เห็นเมื่อครู่ รูปร่างสมส่วน กิริยาไม่ขัดตา แต่คงเดินออกไปจากกำแพงวัดเสียแล้ว “เป็นใครล่ะ ฉันรู้จักด้วยหรือ บอกฉันมาเถอะ อ้ำอึ้งอย่างนี้ฉันไม่ชอบใจ” ที่ไม่ชอบใจเพราะลองพี่เลี้ยงมีท่าทีอย่างนี้ แสดงว่าแม่หญิงไพลินต้องมีคดีความอะไรซ่อนอยู่

“แหม…แม่หญิงเคยเกลียดแม่นวลเหลือเกินนี่เจ้าคะ”

“ทำไมฉันต้องเกลียดเขาด้วย นี่ฉันว่าฉันชอบเขานะ ถูกชะตา ไม่อย่างนั้นฉันจะยิ้มให้เขาหรือ” หล่อนขมวดคิ้ว แม่นวลคนนั้นไม่ได้ห่มสไบเนื้อดี หรือมีเครื่องประดับราคาแพงเช่นลูกขุนนางคนอื่นๆ แต่ไม่เห็นจะมีอะไรที่ไม่ต้องตา

อันที่จริง ตอนแรกที่เห็ ยังอดชมในใจไม่ได้ว่าเจ้าหล่อนดูนิ่ง เย็น กิริยาเรียบร้อย ดูสบายตาดี เมื่อประมวลผลต่างๆ แล้วมีสิ่งเดียวที่คิดขึ้นได้

“แฟนของพี่ดวงหรือ!” ณิรชาตาโต รีบขยายความเมื่ออ่อนดูจะไม่เข้าใจภาษาที่ใช้

“แฟน…แปลว่า คนที่…” หญิงสาวพยายามหาคำที่เหมาะสม คำว่าแฟนในยุคนี้ยังไม่มีแน่นอน

“เขาชอบๆ กันหรือ” หล่อนถามย้ำ เอานิ้วชี้มาคู่ๆ กันให้ได้ความหมาย “ไม่สิ พวกเขาต้องเป็นคนรักๆ กันใช่ไหม”

อ่อนถอนหายใจ ไม่ปฏิเสธ “ก็…คุณท่านทั้งสองกับแม่หญิงกีดกันนัก แม่นวลเป็นเพียงแม่ค้าชาวบ้านธรรมดานี่เอง ไม่ใช่ลูกขุนนางที่ใด ขืนรักกันไปคงหาความสุขไม่ได้”

“อ้อ…” หญิงสาวลากเสียงยาว เรื่องนี้เป็นที่เข้าใจง่าย ขนบธรรมเนียมเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์เป็นเรื่องที่ปลูกฝังกันมานาน แล้วยังฝังรากลึกไปชั่วลูกชั่วหลาน

“แม่หญิงรังเกียจมากเลยนะเจ้าคะ ว่าไร้สกุลรุนชาติ ที่หมายตาให้คุณพี่นั่นก็คนในวังงามพร้อมล่ะเจ้าค่ะ”

ขนาดขุนอรรถเป็นถึงลูกของคุณพระไกรสีห์ยังถูกเหยียดได้ นับประสาอะไรกับชาวบ้านอย่างนวล

“แต่ฉันตอนนี้ว่าแม่นวลหน้าตาดีนี่นา กิริยาก็ดูเรียบร้อย ไม่เห็นมีอะไรน่ารังเกียจ” หล่อนย้ำ แยกกันระหว่างแม่หญิงคนเดิม…กับ…คนปัจจุบัน

แม่หญิงไพลินคนเดิมนี่ไม่น่ารักเอาเสียเล้ย! ไม่แปลก! คงเหมือนลูกคนรวยในยุคต่อๆ มา เรื่องนี้ฝังอยู่ในสายเลือด ไม่หมดไปง่ายๆ หรอก

“ถามจริงๆ เถอะ พี่อ่อนคิดอย่างไร แม่นวลคนนี้เป็นคนดีหรือเปล่า หรือคิดจะจับพี่ชายของฉันล่ะ ไม่ต้องตอบเพื่อเอาใจฉันหรอกนะ”

“บ่าวเป็นบ่าว…” พอให้แสดงความคิดเห็น เจ้าตัวก็พานมาอิดออดลีลาเสียนี่

“บ่าวอย่างพี่อ่อนนี่คิดเป็นไม่ใช่หรือ ไหนคอยแต่ห้ามปรามฉันทำโน่นทำนี่อยู่เรื่อย มาคราวนี้ทำอมพะนำ”

“แหม…เรื่องนี้บ่าวเคยท้วงแล้วยังโดนโกรธแทบตาย” อ่อนทำท่าหนักใจ

“เถอะ…บอกมาก่อน ฉันจำอะไรได้เสียที่ไหน”

พี่เลี้ยงอึกอักเป็นนานก่อนจะเอื้อนเอ่ยออกมา “คุณหลวงท่านไปพบกับแม่นวลตอนช่วงศึกครั้งก่อน แม่นวลน่าสงสารนัก บ้านอยู่ในแพ พม่ามันเผาพวกเรือนแพเป็นทะเลเพลิง พ่อแม่ตายหมดต้องไปอาศัยญาติอยู่ ทำขนม แต่พอที่บ้านรู้ว่าไม่สมศักดิ์ศรีก็โวยวายกันใหญ่ ท่านจะบังคับให้คุณหลวงแต่งงานกับลูกสาวท่านผู้ใหญ่ จนท่านต้องเอาเรื่องจับขโมยขโจรมาบ่ายเบี่ยง แม่หญิงนี่ออกหน้าเชียวเหยียดหยามส่งคนไปกลั่นแกล้งสารพัด ทั้งเรื่องแกล้งตีทาสเหตุก็เรื่องนี้ แม่หญิงกับคุณหลวงไม่มองหน้าไม่พูดกันมาหลายเพลา จนแม่หญิงมาป่วยแล้วจำอะไรไม่ได้นี่แหละเพิ่งได้พูดกัน เฮ้อ! พูดแล้วบ่าวก็เห็นใจนัก”

ลึกไปกว่านั้นตรงที่ถ้าท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงได้ข้อมูลออกจากปากหลวงเสนาโดยตรงคงจะพอทำเนา หากเรื่องของแม่นวลนั้นถูกสาธยายผ่านแม่หญิงไพลินที่แต่งเติมเสริมให้ไม่ดีไม่งามไปเสียสิ้น ท่านทั้งสองจึงมีอคติตั้งแต่เริ่มแรก

“ตอนแม่หญิงป่วย อับจนหนทางจะใช้ยา คุณหลวงท่านเลยให้สัตย์สาบานไว้ว่าจะเลิกรากับแม่นวลให้น้องพอใจ ขอเพียงให้แม่หญิงหาย จะให้ทำเช่นไรท่านก็ยอมหมด แล้วจู่ๆ แม่หญิงก็หายป่วยไข้จริงๆ“

“ช่าย… หายยย…ไปเลย จริงๆ” หญิงสาวลากเสียงยาว แล้วแกล้งทิ้งเอาไว้ให้แม่อ่อนคาใจเล่น

“อะไรหรือเจ้าคะ ที่หายไปเลย”

“เปล๊า! ไม่มีอะไร” หล่อนหัวเราะในลำคอ “ว่าแต่…แม่นวลคนนี้เป็นคนดีไหมเล่า”

“พวกที่ตลาดเขาว่า แม่นวลนี่รักษาตัวดี เรียบร้อย ไม่ยุ่งกับพวกที่มาวอแว แต่รู้ว่าหาคู่ควรกันกับคุณหลวงไม่”

“เฮ้อ!” หญิงสาวถอนหายใจ “สรุปว่าฉันปั้นเรื่องเสียจนคุณพ่อคุณแม่ท่านชังแม่นวลตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว” ว่าแล้วก็ถอนใจอีกเมื่ออ่อนยิ้มแห้งๆ รับคำอยู่ในที เรื่องความเหลื่อมล้ำกันทางฐานะและศักดิ์ศรีนั้นอาจเป็นปัญหาก็จริงแต่ด้วยปัญญาของหลวงเสนาเขาก็คงพอแก้ไขได้โดยเฉพาะถ้าไม่มีตัวแปรอย่างแม่หญิงไพลินมาคอยแปลงเรื่องให้เสียหาย

“เดี๋ยวกลับไปบ้าน พี่อ่อนช่วยเล่าให้ฉันฟังให้หมดเลยนะ ว่าก่อนป่วยฉันทำร้ายกาจกับใครไว้บ้าง ฉันจะได้ระวังตัวไว้ ไม่ไปไหนมาไหนคนเดียว ไม่อยากถูกคน ‘ตีหัว’ ”

“บอกตามตรงนะเจ้าคะ เล่าไม่หมดหรอกเจ้าค่ะ มัน…เยอะ…” คนสนิทหัวเราะคิกคักเมื่อพูดจบ คงพอคลายใจว่าแม่หญิงไพลินไม่เกรี้ยวกราดอย่างที่เกรง เฮ้อ! เห็นทีคงจะมีเรื่องต้องสะสางเสียแล้วสินะ

 

กลับจากไหว้พระแล้ว ณิรชาถึงได้กลับมานั่งพิจารณาถึงคนที่อยู่รอบกาย

แม่หญิงไพลินคนนั้นคงคิดและเห็นไปตามสมัยนิยมทั่วๆ ไปที่ว่าแม่นวลนั้นไม่คู่ควรกับหลวงเสนาสรศักดิ์ ไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือชาติตระกูล หากณิรชากลับมีแนวคิดและค่านิยมไปอีกแบบ ฐานะทางสังคม ศักดินาของอยุธยาไม่ได้แน่นแฟ้นหรือเคร่งครัดอย่างเช่นอินเดีย ในเวลาที่ผ่านมา ผู้ดีไพร่ต่างสับเปลี่ยนกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

อีกไม่นานอยุธยาจะต้องล่มสลายในด้านรูปธรรม บ้านเมืองจะมีศึกสงคราม แม้กระทั่งหล่อนเองยังไม่แน่ใจว่าจะเผชิญหน้ากับชะตากรรมเช่นไรในวันนั้น การที่พี่ชายคนดีจะมีคนอยู่เคียงข้างยามทุกข์โศกย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากกว่า

หนักใจตรงเรื่องที่แม่หญิงไพลินเป็นคนผูกทิ้งเอาไว้นี่สิ ช่างยากนักที่จะคลายปมแห่งความบาดหมางนั้นออกมา

“คิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ แม่หญิง” อ่อนซึ่งปรนนิบัติอยู่ไม่ห่างเห็นผิดสังเกตเมื่อนายหญิงหน้านิ่วคิ้วขมวด ราวกับคิดการบางอย่างอยู่

“คิดว่าทำอย่างไร… จึงจะไปตลาดบางกะจะได้” ณิรชายิ้มอย่างคนมีเลศนัย

“แม่หญิงจะไปทำไมเจ้าคะ หรือว่า…คิดจะไปหาแม่นวล!”

คนเป็นบ่าวมีอาการทุกข์ร้อนในทันทีจึงรีบหาทางออกให้เรื่องยุ่งยากพ้นตัวเอาไว้ก่อน “อย่าไปเลยนะเจ้าคะ ที่นั่นออกจะไกล ไปลำบาก”

ใครเล่าจะกลัวคำขู่ “พี่อ่อน ฉันอยากจะไป ได้ยินว่าที่นั่นมีของมากมาย ฉันอยากไปหาซื้อสักหน่อย แล้ว…จะไปแวะหาแม่นวลของพี่ดวงด้วย” หญิงสาวจงใจย้ำ ไม่อยากปิดบังเพราะอย่างน้อยกำลังหนุนสำคัญก็คือพี่เลี้ยงคนนี้

“นั่นล่ะ จะไปทำไมเล่าเจ้าคะ ในเมื่อเรื่องมันแล้วก็แล้วกันไป คุณหลวงท่านไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับทางโน้นตามความประสงค์ ต่างคนต่างอยู่ไปแล้ว”

“แล้วพี่คิดว่าพี่ดวงเขาตัดใจจากแม่นวลได้จริงๆ หรือ ฉันเชื่อว่าพี่ดวงไม่ใช่คนที่รักง่ายหน่ายเร็วหรอกนะ พี่อ่อนบอกเองไม่ใช่หรือว่าพี่ดวงไม่ยอมพูดกับฉันเลย ถ้าไม่สบายไปเสียก่อน พี่เขาคงไม่มาพูดดีกับฉัน ฉันตอนนี้คงเสียพี่ชายไปแล้ว” ไม่รวมกับเรื่องราวมากมายที่ได้รับการช่วยเหลือให้สมหวัง พี่ชายแสนดีอย่างนี้ ไม่รักษาเอาไว้ก็แย่เต็มที

“เจ้าค่ะ…แต่…” อยู่กันมานานจนเริ่มพอรู้ใจ อ่อนคาดเดาได้ไม่ยากว่าแม่หญิงคนดีอยากจะทำอะไรต่อไป ที่สำคัญ ต้องทำให้ได้เสียด้วยสิ

“ฉันไม่ได้คิดจะทำแบบนี้เพราะพี่ดวงช่วยฉันเรื่องเรียนฟันดาบหรืออะไรทั้งสิ้น แม่หญิงไพลินคนเดิมนั้นจะเคยเห็นแม่นวลเป็นเช่นไรก็สุดแต่จะว่ากันไป แต่ตอนนี้ฉันจะต้องเห็นด้วยตัวของฉันเองก่อนว่าถ้าแม่นวลเป็นคนดีจริงและพี่ชายของฉันรัก มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไปพรากพวกเขาออกจากกัน เสียดายที่ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย มิน่าถึงไม่เคยเห็นพี่ดวงใส่ใจแม่หญิงคนใดเลย จนฉันคิดว่า…” หญิงสาวหยุดแค่นั้น เพราะความคิดมันพิเรนทร์เกินไป

ขุนอรรถคนหน้าดุที่หล่อนค่อนแคะประจำคงโกรธเป็นบ้า ถ้าทราบว่าณิรชาคิดอะไรอยู่ระหว่างเขากับพี่ชายของหล่อน

“แม่หญิง…บ่าวว่ามันไม่ง่ายหรอกเจ้าค่ะ เพราะคุณหลวงท่านได้ให้สัตย์ไปแล้วว่าเพียงเพื่อให้แม่หญิงหายจากป่วยไข้ ท่านยินดีจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับแม่นวลอีก เพราะท่านว่าที่แม่หญิงล้มหัวกระไดฟาดพื้นป่วยปางตายนั้นเป็นเพราะเรื่องของท่านเป็นส่วนใหญ่”

เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าหลวงเสนาสรศักดิ์นั้นพอมีอะไร ‘ดีๆ’ ที่อธิบายไม่ได้ติดตัวอยู่บ้าง พอได้ทราบแล้วยังซาบซึ้ง คนโบราณใช่ว่าจะมาทำสัตย์สาบานอะไรง่ายๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญและคิดว่าจะรักษาได้จริงๆ

“เฮ้อ! พี่ดวงช่างเป็นพี่ที่ประเสริฐอะไรเช่นนี้ หากี่ชาติกี่ภพคงไม่เจอ รู้อย่างนี้แล้ว…ต้องคืนคำสัตย์ให้พี่ดวงเสีย เพราะฉันเองก็อยากได้พี่ชายของฉันกลับคืนมาเหมือนกัน”

อ่อนถอนหายใจยาวค้อนปะหลับปะเหลือกคล้ายจะต่อว่า…

ถ้าคิดได้อย่างนี้แต่แรกคงไม่เป็นแบบนี้

“แล้วทีนี้แม่หญิงจะมีแผนเช่นไรอีกเจ้าคะ บ่าวล่ะอกสั่นขวัญแขวนทุกที เกิดสุดท้ายเป็นเรื่องขึ้นมา คนที่จะโดนหวายก่อนก็คงไม่พ้นบ่าว” เจ้าตัวตบอกอย่างยอมรับชะตากรรม

ณิรชาอดสงสารไม่ได้ หล่อนไม่ปล่อยให้พี่เลี้ยงรับเคราะห์คนเดียวเป็นแน่ หญิงสาวลูบแขนประจบ

“ฉันไม่มีแผนอะไรซับซ้อนหรอกจ้ะ แล้วรับรองได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะรับผิดชอบเอง ถ้าพี่อ่อนถูกทำโทษ ฉันก็ต้องถูกทำโทษด้วย ไม่ปล่อยให้พี่ลำบากคนเดียวหรอก ว่าแต่…พี่จะช่วยฉันไหม”

ใจของพี่เลี้ยงไหวยวบ ลงแบบนี้แล้วจะขัดเห็นทีจะไม่ได้ “เป็นไงเป็นกัน” อ่อนคิดด้วยตัวเอง

“นี่พูดอย่างนี้ ตกลงว่าบ่าวมีแววต้องโดนหวายแน่ๆ ใช่ไหมเจ้าคะ เฮ้อ! แต่บ่าวยอมแล้วเจ้าค่ะ เป็นไงเป็นกันสิเจ้าคะ บ่าวเคยทิ้งแม่หญิงเสียที่ไหน…” ไม่ทันพูดจบ แม่อ่อนก็ต้องร้องลั่นเพราะถูกกอดเสียแน่น อย่างนี้หนอที่เรียกว่าเพื่อนตาย พรรณพิลาศไม่เคยทิ้งณิรชาฉันใด แม่อ่อนคนนี้ก็ไม่เคยทิ้งแม่หญิงไพลินฉันนั้น

 

สองสามวันถัดมา นายบ่าวสองคนก็ทำลับๆ ล่อๆ ออกจากบ้าน บอกแต่ว่าจะไปตลาด และไม่อยากถูกซักไซ้ เกรงว่าจะโกหกไม่แนบเนียน ทั้งสองคนเลือกเดินไปทางถนนอิฐตะแคงไปยังท่าเรือที่ห่างออกไปจากบ้าน แล้วว่าจ้างเรือไปตลาดบางกะจะ ณิรชานั่งเรือออกแม่น้ำใหญ่ด้วยความตื่นเต้น จะว่าไปต้องขอบคุณพันรบที่เอาหนังสือมาให้อ่านเสียหลายเล่มก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ ทำให้พอมีความรู้ติดตัวตามมาแบบสดๆ ร้อนๆ

ประวัติศาสตร์ว่าไว้ ตลาดแห่งนี้ถือเป็นตลาดใหญ่มากแห่งหนึ่งอยู่ใกล้น้ำวน เพราะเป็นจุดที่แม่น้ำสามสาย ป่าสัก ลพบุรี และเจ้าพระยามาบรรจบกัน น้ำเชี่ยวและแรงจนขึ้นชื่อ ใครผ่านไปผ่านมาไม่ระมัดระวังอาจถูกน้ำวนดูดให้เรือล่มได้ จนถึงรัตนโกสินทร์ ความแรงของน้ำถึงได้ลดลงไปมากเพราะมีการสร้างเขื่อนจากทางภาคเหนือ ถ้าเข้าใจไม่ผิดน่าจะเป็น ‘เขื่อนเจ้าพระยา’ สายน้ำจึงได้เปลี่ยนแปลงไป เป็นไปตามวัฏจักร

ความเจริญนี่…ได้อย่าง…เสียอย่าง

“นั่นป้อมเพชร! ใหญ่โตน่าเกรงเสียจริง” หล่อนชะเง้อมองป้อมใหญ่ รูปทรงแบบที่เคยเห็นในหนังสือ ตอนมาที่นี่ใหม่ๆ ได้เห็นไกลๆ มีคราวนี้ที่เห็นชัดเจนเพราะคนพายเรือเลี่ยงกระแสน้ำวนด้วยความชำนาญ ดูๆ แล้วคงมีแต่พวกมือใหม่เท่านั้นที่จะหาญกล้าพายเรือฝ่าลำน้ำไปตรงๆ และคง…ไม่น่ารอด

ถึงอย่างไรก็ตาม พวกหล่อนมาถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ตลาดบางกะจะใหญ่โตพลุกพล่านสมคำเล่าลือ เพราะชัยภูมิเหมาะนัก สามารถเป็นได้ทั้งตลาดน้ำและตลาดบกขนาดใหญ่ ทั้งยังเป็นท่าเปิดรับเรือขนถ่ายสินค้าจากต่างบ้านต่างเมือง พวกสำเภาน้อยใหญ่มีมากที่สุด

ในช่วงตอนปลาย อยุธยาเจริญสัมพันธไมตรีกับจีนมากขึ้น ในขณะที่สัมพันธภาพกับชาติอื่นลดน้อยลง หากแถวนี้ยังเป็นถิ่นพำนักของคนหลายชาติหลายภาษา บางกลุ่มสืบทอดกันมาหลายชั่วคนเพื่อมาแสวงหาแผ่นดินทอง

“พี่อ่อน…คนมากมายอย่างนี้จะหาแม่นวลได้อย่างไร” หญิงสาวหันไปมารอบกายด้วยความตื่นตา เรือขายของมีมากมาย แล้วยังมีที่ตั้งขายบนบกอีก ดูวุ่นวายไปหมด

อ่อนนั้นไม่ทันจับใจความ เพราะแท้จริงแม่หญิงไพลินนั้นย่อมต้องเคยมาตลาดบางกะจะ และเคยมาก่อเรื่องกับแม่นวลไว้แล้วพอสมควร แต่ส่วนใหญ่ที่เจ้าหล่อนไม่คิดมากเพราะ ‘คาถา’ ว่านายหญิงความจำเสื่อมนั้นถูกกำกับเอาไว้ตั้งแต่แรก

“คงต้องหาหน่อยเจ้าค่ะ น่าจะอยู่ทางโน้นเหมือนเดิม เพราะที่ค้าขายของคนอยุธยาไม่ปะปนกับพวกนี้หรอกเจ้าค่ะ” พี่เลี้ยงคนสนิทพาณิรชาหลบเลี่ยงผู้คนแปลกหน้าและต่างชาติ มีบางภาษาที่หล่อนฟังออกเป็นอย่างดีว่าพวกเขาพูดอะไรกัน ภาษาโบราณที่ผิดเพี้ยนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ยากเกินจะเข้าใจ

“ดีเหมือนกันนะ ได้มาเห็น ดูสิ ของเยอะแยะดูเพลินไปเลย” หญิงสาวเห็นข้าวของจากต่างแดนลานตาลานใจ ถ้าไม่นึกว่ามาที่นี่อย่างมีวัตถุประสงค์คงสนุกกว่านี้

คนเยอะแยะมากมาย ถึงแม้ว่าอ่อนจะบอกว่านวลขายขนมอยู่แถวนี้แต่ก็หาไม่เจอสักที เดินอยู่นานจนแทบท้อใจ

“แม่หญิง เราเดินหามานานมากแล้ว จะกลับกันก่อนดีไหมเจ้าคะ วันหลังค่อยมาใหม่”

“เดี๋ยวก่อนสิ ทางโน้นเรายังไม่ได้ไปดูเลย” หญิงสาวไม่อยากยอมแพ้ ฉุดพี่เลี้ยงเดินฝ่าฝูงชนชาวบ้านที่มาดูของ แถบนี้จะไม่มีพวกแต่งตัวดีๆ มามากนัก เพราะไม่ใช่เขต ‘ของนอก’ ส่วนใหญ่แถบนี้จะเป็นพวกผักปลา จู่ๆ อ่อนก็รั้งมือ

“โน่นไงเจ้าคะแม่นวล ขายของอยู่ทางโน้น”

“ไหน… ดูซิ”

หญิงสาวอายุไม่เกินยี่สิบ แก่กว่าแม่หญิงไพลินเล็กน้อย ผิวสีอ่อน ผมยาวสลวยในเครื่องแต่งกายแบบชาวบ้านธรรมดา รอยยิ้มแย้มยามเจรจานั้นดูนิ่มนวลสมชื่อ

หญิงสาวลอบสังเกตกิริยาที่ฝ่ายนั้นหยิบจับข้าวของขายให้ลูกค้า เห็นว่าเรียบร้อยดี ไม่มีชม้ายชายตาเกินงาม

“หัดดีๆ น่าจะเป็นผู้ดีกว่าฉันได้อีกนะ สมแล้วที่พี่ดวงจะต้องใจ” หล่อนรำพึง

แม่อ่อนเสียอีกที่ชะงักกึก หันมามองตาโต สีหน้างุนงงเป็นพิเศษ

“อะไรจ๊ะ” ณิรชาเลิกคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้นของอ่อน

“บ่าวแปลกใจน่ะเจ้าค่ะ อีตาทีแรกก็มาแอบมองอย่างนี้เหมือนกัน ไม่เห็นพูดแบบนี้เลย ว่าเสียหายสารพัด”

“ฉันคนนี้ไม่เหมือนคนก่อนแล้วจ้า อีกอย่างถึงฉันจะไม่ว่าอะไร แต่ด่านคุณพ่อคุณแม่นี่ก็หนักเอาการ” ณิรชาเองก็เพิ่งจะจบเรื่องของตัวเองเสียด้วยสิ

เอ…ชักสงสัย หรือที่ถูกส่งมาอยู่ในยุคนี้เพื่อก่อเรื่อง

“นั่นสิ บ่าวล่ะสงสารแม่นวลจริงๆ” คนสนิทพยักหน้าหงึกๆ

“พูดอย่างกับรู้จักมักจี่”

“แหม…แม่หญิงไม่เข้าใจหรอกเจ้าค่ะ ไอ้เรามันชาวบ้านอย่างเดียวกัน แทนที่จะดูว่าอีกฝ่ายคู่ควรกลับต้องคิดว่าคู่ควรกับเขาหรือเปล่า ดีพอหรือเปล่า แต่บ่าวเชื่อคุณหลวงนะเจ้าคะ ท่านไม่ตาถั่วหรอกเจ้าค่ะ ท่านต้องคิดดีแล้ว เพราะตั้งแต่ท่านเป็นหนุ่มเต็มตัวมานี่ นังบ่าวเล็กๆ ชายตามองแล้วมองอีกท่านก็ไม่สนใจเรียกพวกมันไปปรนนิบัติ แต่ท้ายสุดท่านก็ไปปักใจกับคนทุกข์ยากที่รอดพ้นจากพม่าอย่างแม่นวล ท่านมีเมตตานักนะเจ้าคะ”

“ชื่นชมกันอย่างนี้ ฉันให้ไปอยู่เป็นพี่เลี้ยงพี่ดวงเลยดีไหม”

“ว้าย! ไม่เอาหรอกเจ้าค่ะ” คนสนิทหัวเราะคิก เรื่องนี้ไม่ต้องสาธยายมาก เรื่องชนชั้นนั้นไม่ได้อยู่ในสมองของพี่ชายถึงขนาดแบ่งชั้นวรรณะหรอก

ณิรชาสะกิดอ่อนให้เดินเข้าไปยังเพิงชั่วคราวเสาไม้สี่เสามุงด้วยจากแค่กันแดดกันฝน ตั้งเอาไว้เรียงกันเป็นที่ขายของ

“ขายดีไหมจ๊ะ แม่ค้า” ถึงแม้จะรู้สึกขัดเขินที่มาทำอะไรอย่างนี้ แต่ถ้าเพื่อพี่ชายแล้ว ให้ทำอะไรก็ยอม

แม่ค้าขนมหวานสะดุ้งเมื่อเห็นว่าคนมาทักเป็นใคร สายตานั้นบอกว่าไม่ไว้วางใจว่าจะเจอฤทธิ์อะไร

“แม่หญิง…ไพลิน” นวลขยับกายอย่างอึดอัดพยายามดูว่านอกจากอ่อนแล้ว แม่หญิงไพลินมีบ่าวคนไหนตามมาอีกบ้าง คราวก่อนๆ นวลถูกแกล้งจนร้านพังข้าวของกระจัดกระจาย ทั้งขาดรายได้ไปหลายวัน อาศัยเป็นคนขยันถึงพอเอาตัวรอดมาได้

นึกแล้วเหมือนกันเมื่อตอนเจอกันที่วัดวันก่อน นวลถึงได้รีบไหว้พระแล้วกลับบ้าน คราวนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าจะโดนแม่หญิงไพลินกลั่นแกล้งอะไรอีก

“ขายดีไหม” ณิรชาในร่างแม่หญิงไพลินพยายามทำเสียงให้เบาเอาไว้ เมื่อแววตาระแวงส่งมา

เห็นใจกับความร้ายกาจที่นวลเคยได้รับ หน้าตาของนวลเมื่ออยู่ใกล้นั้นธรรมดาไม่งดงามผุดผ่องเหมือนแม่หญิงชาววังที่หล่อนรู้จัก แต่เมื่ออยู่ใกล้แล้วเยือกเย็น หลวงเสนาสรศักดิ์คงรู้เรื่องนี้ดีกว่าใครๆ

“ฉันขอซื้อขนมสักหน่อย เอาของที่พี่ชายของฉันชอบนะ มีไหมจ๊ะ แล้วขอที่หวานน้อยๆ ให้คุณพ่อกับคุณแม่ แล้ว…ของฉันด้วย” เริ่มแรกใหม่ๆ แค่นี้คงน่าจะพอ ก่อนที่จะทำอะไรต่อไป หล่อนควรมั่นใจว่าแม่นวลคนนี้รักหลวงเสนาจริง

ชะรอยอีกฝ่ายคงไม่ค่อยมั่นใจว่าหล่อนจะมาไม้ไหน จนอ่อนต้องกำชับซ้ำ

“อ้าว! แม่นวล ขอซื้อขนมจ้า แหม…อากาศวันนี้มันร้อนจริงๆ นะ นี่…ขอแม่หญิงนั่งพักเหนื่อยตรงนี้สักหน่อยเถอะนะ” อ่อนช่างเป็นลูกรับลูกคู่ได้ดีเหลือเกิน จัดแจงเสร็จสรรพ จนณิรชาได้ไปนั่งทอดหุ่ยอยู่ในเพิงของนวล หนำซ้ำยังมีขนมข้าวต้มให้ได้รับประทานให้หายเหนื่อย หล่อนทำไม่รู้ไม่ชี้เวลามีคนผ่านไปผ่านมาที่รู้จักนวลเมียงมองอย่างแปลกใจพลางกระซิบกระซาบกันบ้าง เป็นอันรู้ได้ว่าชื่อเสียงของแม่หญิงไพลินแถวนี้คงไม่ใช่ย่อย

…ขากลับคงไม่ถูกดักตีหัวนะ

“นวลมาขายทุกวันหรือ” หล่อนถามอย่างไม่รู้ความ เถอะ…เก็บข้อมูลใหม่ก็แล้วกัน

แม่ค้าขนมพยักหน้า เก็บปากเก็บคำน่าดู มือไม้ยังคงหยิบจับขนม

“แม่นวล แม่หญิงตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะนะ” อ่อนชวนคุยเรื่อยเปื่อย

“ฉันเพิ่งหายป่วยน่ะ” หญิงสาวใช้ข้ออ้างแบบนี้ซ้ำๆ เวลาเจอคนรู้จักคุ้นเคย อะไรที่เคยทำผิดเอาไว้ผู้คนจะได้ลืมๆ กันไป

“ป่วยเสียนานเลย นวลคงพอรู้ข่าวบ้าง นอนซมไม่รู้เนื้อรู้ตัวเป็นแรมเดือน” มุกประจำตัวคือทำให้คนฟังสงสารเอาไว้ก่อน

“เจ้าค่ะ”

“พอหายป่วยแล้วเลยอยากออกมาเดินเล่น…ถ้าฉันจะแวะมาเยี่ยมบ้างคงไม่ว่ากันนะ”

“เจ้าค่ะ…” นวลรับคำ ไม่สบตา “แต่ที่นี่ไกลจากบ้านท่านเจ้าคุณมากนัก แม่หญิงจะเหนื่อยเกินไป”

“ฉันไม่เหนื่อยหรอก อยากออกมาดูบ้านเมืองบ้าง ไม่เคยเห็น เอ๊ย! ไม่ได้เห็นเสียนาน” ว่าพลางรู้สึกขำตัวเอง เออ…หนอ การกระทำของแม่หญิงไพลินคราวนี้คงสร้างความอึดอัดใจให้เจ้าของเพิงเสียมากกว่า เพราะมีสีหน้าไม่สบายและมองไปทางด้านอื่นเสมอ

“แม่หญิง…มีธุระอะไรกับฉันหรือไม่ ถ้าเกี่ยวกับ…คุณหลวง ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด ไม่ทราบข่าวมานานแล้ว”

ท่าทางน้องสาวของหลวงเสนาคงไม่กลับไปง่ายๆ นวลจึงวางมือจากการแสร้งทำเป็นจัดข้าวของ ดูท่าจะเป็นคนจริงไม่ชอบมีปัญหาค้างคาเช่นกัน หญิงสาวพูดประสาซื่อ ตามประสาชาวบ้าน หากแฝงไว้ด้วยความเศร้า

“เอ่อ…” ณิรชาเองก็ออกจะกระดาก เข้าใจถึงความรู้สึกที่จู่ๆ คนเคยเกลียดถึงขั้นกลั่นแกล้งกันอย่างนั้นมาคุยด้วย จะให้ไว้วางใจได้โดยง่ายคงเป็นเรื่องยาก

ดูอย่างขุนอรรถนั่นไง กว่าจะพอพูดดีกันได้บ้างก็ใช้เวลาพอควรทีเดียว ชะดีชะร้ายยังมีการปะทะฝีปากกันประปรายเป็นการออกกำลังทางสมอง

หล่อนชอบแหย่ เขาก็ชอบทำหน้าเบื่อๆ เป็นอันรู้กันว่าลับหลังก็ไปแอบหัวเราะขันกันบ้าง

“ก็…ที่ฉันมานี่เพราะเป็นความตั้งใจของฉันเอง อาจจะเกี่ยวกับพี่ดวงบ้าง แต่ยังไม่ใช่เรื่องหลักหรอก ฉันอยากมาทำอะไรบางอย่างแทนพี่ชาย เขาคงเป็นห่วงและอยากทราบข่าวคราวของแม่นวล แม่นวลก็อยู่ตัวคนเดียวไม่ใช่หรือ”

“ฉันอยู่กับญาติ”

“นั่นสิ… เออ… ตอนที่ป่วย ฉันได้คิดอะไรหลายอย่างทีเดียว” หล่อนเหมาๆ เอาว่าแม่หญิงไพลินเป็นตัวเอง ทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย เอาเถอะ…ถือเสียว่ามาแก้ตัวให้ จะได้เป็นบุญกุศลให้เจ้าหล่อน

“ฉันเคยทำอะไรไปหลายอย่างที่แก้ไขไม่ได้ ฉัน…ไม่อยากให้นวลถือโทษโกรธฉัน…” จะให้พูดว่า ‘ขอโทษ’ เต็มปากเต็มคำดูจะผิดวิสัยของแม่หญิงจอมหยิ่งเกินไป

“แม่หญิงไม่จำเป็นต้องมาบอกฉันอย่างนี้ก็ได้ ฐานะอย่างฉันไม่คู่ควรที่แม่หญิงจะลดตัวลงมาพูดด้วย ฉันเองก็ว่าดีเสียอีก…ที่เป็นอย่างนี้เสียได้ คุณหลวงท่านเป็นคนดี เมตตาฉัน ควรกับคนมีศักดิ์ตระกูล ฉันต่างหากที่ไม่เจียม”

“อย่าพูดอย่างนั้น…ฉันเชื่อในเรื่องของสิทธิที่เท่าเทียมกัน จะต่างกันแค่บางเรื่อง” หญิงสาวคิดหาคำโบราณที่จะมาแทนคำว่า ‘สิทธิ’ ไม่ออก ได้แต่หวังว่าคนฟังจะเข้าใจ

“แค่รอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น” เวลาที่จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป อีกไม่นานหรอก การย้ายรากฐานวัฒนธรรม การเคลื่อนย้ายอพยพของผู้คน วิกฤตของบ้านเมืองจะทำให้สมดุลของชีวิตเปลี่ยนไป และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่ต้องมีใครกังวลต่อฐานะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอีกต่อไป

ณิรชากับอ่อนลาจากนวลมาด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นบ้าง

ที่หนักน่าจะเป็นขนมที่พากันหิ้วมานี่แหละ สองนายบ่าวช่วยอุดหนุนแล้วหอบกันตัวเอียง คนโบราณนี่เก่งนะ เอาไอ้นั่นไอ้นี่มาสานจนสามารถใส่ขนมพวกน้ำได้อย่างมิดชิด ไม่มีหกเลอะเทอะ

แต่…แหม…น่าจะมีถุงพลาสติกมาใช้บ้างนะ

อย่างน้อยดูๆ ไปแม่นวลน่าจะยังมีใจให้พี่ชายอยู่มากทีเดียว ถึงจะยังสงวนท่าทีอยู่บ้าง ให้เวลาเป็นเครื่องมือดีกว่า พออารมณ์ดีแล้ว หญิงสาวเลยคิดจะซื้อผ้าสีสวยสองสามผืนเอาไปฝากมารดา พ่อค้าบอกว่าเป็นไหมชุดใหม่จากเมืองจีนที่ลือชื่อนัก ชื่อออกจะจำยาก มีแม่หญิงลูกสาวผู้มีฐานะหลายคนแวะมาดูแผงขายผ้าเช่นกัน

ทั้งสองคนเลือกอยู่อย่างสนุกสนานพักใหญ่ ไม่นึกหรอกว่าจะได้เห็นอะไรดีๆ

“พี่อรรถคะ ผ้าผืนนี้งามเหลือเกินเจ้าค่ะ” ไม่นึกว่าโลกจะกลม ชื่อที่เรียกขานกันนั้นทำให้ณิรชาอดเงยหน้าขึ้นมาจากผ้าที่กำลังเลือกอยู่มาได้ ร่างสูงผิวคร้ามยืนอยู่ที่แผงฝั่งตรงข้ามหันหน้าเข้าหากันพอดี

ชะอุ๊ย! ตาต่อตาสบกันจังๆ

ตอนแรกเก๊าะ…จำไม่ได้หรอก จะว่าไปไม่เคยจำขุนอรรถได้สักทีต่อให้เดินสวนกันก็ตาม บางทีแต่งเสียหล่อเรี่ยมหน้าตาเกลี้ยงเกลา บางคราก็ แหม…นึกว่ามหาโจร

แต่เมื่อไหร่ที่สบตาแล้วเห็นตาดุคมวาววับนั่นแหละจะจำได้ทันที!

ที่แปลกตาตรงที่ขุนอรรถในวันนี้สวมเสื้อสีอ่อนดูสบายตา ผมเรียบเป็นมัน หนำซ้ำในมือยังไม่มีดาบ เรียกว่าแต่งองค์เสียจำแทบไม่ได้เชียว!

ณิรชามองเลยไปถึงเจ้าของเสียงหวานๆ เมื่อครู่ สาวน้อยหน้าหวาน ร่างก็งาม สไบสีตองอ่อนนั้นสดใส

ในความเป็นจริงแม่หญิงไพลินนั้นจัดได้ว่าเป็นสาวน้อยเช่นกัน หากจิตวิญญาณที่อยู่เป็นของณิรชาที่มีทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ ทำให้มองเห็นคนอื่นอ่อนวัยกว่าทั้งนั้น จะยกยอดให้สำหรับไม่กี่คนที่นับถือด้วยความคิดและการกระทำเป็นหลัก

“ว้าว!” หญิงสาวตาโต เกือบหลุดหัวเราะขำ ท่าทางที่เคยขึงขังดุดันกลับเปลี่ยนมาเป็นท่าทีอ่อนโยนยามเมื่อมีหญิงงามมาด้วย เป็นแม่หญิงบ้านไหนหนอ ขุนอรรถหน้าเคร่งถึงยอมห่างจากหลวงเสนามาเที่ยวสถานที่แบบนี้ได้

“อุ๊ย! แม่หญิง นั่นท่านขุนอรรถนี่เจ้าคะ”

อ่อนเอียงหน้ามากระซิบกระซาบ “เห็นพวกเราด้วยนะเจ้าคะ”

เขาเห็นพวกหล่อนแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ณิรชาทำตาค้าง หน้าทะเล้นนั่น

“น่านน่ะสิ…พี่อ่อน ถ้าเราไม่เข้าไปทักจะเป็นอะไรหรือเปล่า” ปากกระซิบไปพลางก้มหน้างุดซ่อนความสนุกสนานที่ได้เห็นความลับของขุนอรรถ ในขณะที่คนตัวใหญ่ยืนส่งสายตากำราบมา

“ก็ไม่งามน่ะสิเจ้าคะ”

“เถอะ…ฉันกลัวจะกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่จะยิ่งไม่งามกันไปใหญ่น่ะสิ ฉันว่านะ เรารีบเลี่ยงไปเถอะ อย่างมากคราวหน้าเจอกันขุนอรรถก็แค่ทำหน้าดุเข้าใส่” สองนายบ่าวรีบทำความเคารพชายหนุ่มแบบเงียบๆ แล้วรีบจูงมือพากันออกจากฝูงชน พอหลุดออกมาได้ก็หัวเราะเสียงดัง

“เอาอีกแล้ว ไม่งามนะเจ้าคะ หัวเราะเสียงดังแบบนี้” คนเตือนก็หัวเราะคิกคักเหมือนกันนั่นแหละ คงตื่นเต้นที่ได้เห็นคนหน้าดุพาสาวมาเที่ยว

“ก็มันขำนี่ เป็นเพื่อนกันอย่างไรไม่รู้ ทำไมขุนอรรถไม่เหมือนพี่ดวงสักนิด พี่ดวงออกจะยิ้มเก่ง ใจดี แต่ขุนอรรถกว่าจะยิ้มออกมาสักทีอย่างกับมีใครมาบังคับให้กินยาขม แล้ววันนี้…พาแม่หญิงคนงามมาเที่ยวตลาดบางกะจะ แทนที่จะยิ้มงามๆ กลับมาทำหน้าดุใส่เราอีก”

“ใครก็รู้ว่าขุนอรรถท่านดุ แล้วท่านก็ฉลาดนัก ต้องรู้แน่ว่าแม่หญิงจะมาหาใคร มาทำอะไร เกิดท่านไปบอกคุณหลวงเสนาว่าเจอเราที่นี่ก็แย่”

“เชอะ! เชิญขี่ม้าสามศอกไปบอกสิ เอามีดดาบมาฟันแขนฉันทีหนึ่งยังไม่พอให้มันรู้ไป เราไปตลาดจริงๆ มีของซื้อหาติดมือจริงๆ ไม่ได้ไปทำผิดที่ไหนนี่นา” ณิรชาบอกกวนๆ เมื่อครู่หล่อนเห็นเขาก้มลงยิ้มกับแม่หญิงคนนั้นแวบหนึ่งด้วย

ฮึ! ไม่แน่นะ พาสาวๆมาเที่ยวตลาดวันนี้ หลังจากซื้อผ้าสวยๆ แล้วอาจจะพายเรือหลบบ่าวไพร่ไปเที่ยวบึงบัวอย่างที่เขาว่ากันก็ได้ ใครจะรู้…

 

หลวงเสนาสรศักดิ์มีสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นน้องสาวมานั่งรออยู่ที่ท่าน้ำ ณิรชาเองอยากจะเกาะแขนพี่ชายเอาอกเอาใจหากประเพณีไม่เอื้อให้ทำอย่างนั้น

“รอพี่หรือเจ้า” ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างมีเมตตา

“ค่ะ คุณพ่อคุณแม่อยู่ข้างบน บ่นว่าพี่ดวงยังไม่กลับ ฉันเลยอาสาลงมารอ”

ขนบธรรมเนียมในอยุธยาค่อนข้างหลากหลาย ที่ทราบมาว่าส่วนใหญ่จะต้องให้ฝ่ายชายรับประทานอาหารก่อน ทำอะไรก่อน ถึงจะตามด้วยฝ่ายหญิง หากบ้านนี้แตกต่าง มักจะรอพร้อมหน้าพร้อมตาอบอุ่น ยิ่งถ้าเป็นเรื่องภายในบ้านคุณหญิงผู้มารดาจะเป็นผู้จัดการเสียสิ้น ในบ้านนี้จึงยกให้ผู้หญิงเป็นใหญ่กลายๆ

เพราะเหตุนี้แม่หญิงไพลินจึงเป็นคนเอาแต่ใจนัก

เดี๋ยวนี้เอียงมาทางประชาธิปไตยเน้นเสียงข้างมากเล็กน้อย ผิดจากที่ผ่านมา แม้มีสองเสียงเท่ากัน แต่…ความใหญ่ของเสียงอยู่ที่ฝ่ายหญิงเสียมากกว่า

หญิงสาวจัดแจงเรื่องสำรับมาจัดวางให้เรียบร้อย เรื่องเย็บปักถักร้อยนั้นยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน แต่ถ้าเป็นเรื่องอาหารหล่อนพอทำได้ ด้วยอานิสงส์ที่พรรณพิลาศเคี่ยวเข็ญทำให้ได้รับคำชื่นชมพอควรทีเดียว เมื่อเสร็จจากอาหารคาว ณิรชาก็ให้บ่าวยกสำรับขนมของหวานจากตลาดบางกะจะออกมา

“วันนี้แม่ลูกสาวเป็นอะไร ดูเอาอกเอาใจเราสารพัด เจ้าคิดการใดอีกหรือไพลิน”

ท่านเจ้าคุณเอ่ยถามอย่างคนมีประสบการณ์ จนทำให้หญิงสาวต้องรีบปฏิเสธพัลวัน

“เปล่าเจ้าค่ะคุณพ่อ ลูกเพียงแค่อยากแบ่งเบาภาระของคุณแม่เท่านั้น”

หากแต่คุณหญิงกลับค่อนขอดตามประสาหญิง “อุ๊ยตาย! แค่อยู่กับบ้านบ้างแม่ก็ชื่นใจแล้ว ที่เคยไปก็ไม่ไป ที่ไม่เคยไปก็ชอบไปนัก ดีอยู่หน่อยเมื่อวันก่อนยังอุตส่าห์ไปไหว้พระให้แม่ตั้งหลายวัด”

“แหม…คุณแม่ก็…” หญิงสาวก้มหน้าทำทีท่าเป็นสำนึกผิดไปอย่างนั้น ทำอย่างไรได้ ขนบธรรมเนียมนิสัยเดิมๆ ต่างหลุดลอยหายไปกับแม่หญิงไพลินคนเดิมเสียแล้ว

“พี่ดวงลองขนมนี้หน่อยนะคะ น่ารับประทานเชียวค่ะ” หญิงสาวเลื่อนถ้วยของหวานให้หลวงเสนาสรศักดิ์ คนเป็นพี่รับมาใส่ปาก ครู่เดียวสีหน้าของเขาก็ดูผิดปกติไปอย่างเห็นได้ชัด เคี้ยวยังไม่หมดคำดีเขาก็หยิบขันน้ำขึ้นมาดื่ม

“อ้าว! อิ่มแล้วหรือคะ” หญิงสาวหน้าจืด เขาคงทราบแหล่งที่มาของขนมชุดนี้แล้ว ผิดคาดที่คิดว่าจะดีใจ แต่ชายหนุ่มกลับหน้าเคร่งขนาดหนัก หลังรับประทานอาหารเย็นเห็นเขาลุกขึ้นลงไปข้างล่าง ณิรชาจึงตามลงไปดู

ร่างสูงสูบยาเส้นพิงเสาศาลาท่าน้ำอยู่ตามลำพัง หลวงเสนาสรศักดิ์ชำเลืองดูด้วยสายตาเย็นชา ยังดีที่อุตส่าห์ดับยาสูบทิ้งเสีย เพราะทราบว่าแม่หญิงไพลินจู่ๆ นอกจากแพ้หมากแล้วก็ยังเกิดอาการแพ้กลิ่นยาสูบ ไอค่อกแค่กตลอด

ณิรชาทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว ไม่เคยเจออย่างนี้มาก่อน จึงได้แต่นั่งลงห่างๆ

“วันนี้เจ้าไปตลาดบางกะจะมาหรือ” เขาจับได้จริงๆ ด้วย

“ค่ะ ทำไมพี่ดวงถึงรู้เล่าคะ”

ชายหนุ่มถอนหายใจ “ทำไมพี่จะไม่รู้ พี่จำได้”

เป็นอย่างที่คาดจริงๆ คนโบราณ…ลงเมื่อปักใจแล้ว สิ่งละอันพันละน้อยย่อมจดจำได้ หายากนักในยุคสมัยของหล่อน โลกรอบตัวหมุนวนรวดเร็วจนไม่อาจยึดติดอะไรได้นาน

วันนี้เช้าหัวเราะ ตกเย็นร้องไห้ วันนี้รัก พรุ่งนี้เลิก คนเสียใจก็ประเดี๋ยวประด๋าว รุ่งขึ้นก็มีคนใหม่

“พี่เคยขอเจ้าแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับทางโน้นอีก” น้ำเสียงของผู้สูงวัยคาดคั้น

“ฉันก็ไม่ได้ไปยุ่งหรือไปทำอะไรให้ใครเดือดร้อนนะคะ แค่ไปคุยด้วยเท่านั้น” หญิงสาวบิดมือกระวนกระวาย เกรงว่าจะถูกโกรธเสียก่อน

เรื่องก่อนหน้านี้เป็นเรื่องของแม่หญิงไพลินคนก่อน ไม่เกี่ยวกันนี่!

“ฉันแค่ไปถามไถ่ทุกข์สุขแล้วก็อุดหนุน ไม่ได้ทำอะไรเลย ยังคุยกันตั้งนาน แม่นวลยังเอาขนมข้าวต้มมาให้ บางอันเป็นของแถม ฉันยังไม่ได้จ่ายอัฐเลย”

“เจ้าน่ะรึไปคุยกับนวล แล้วแม่นวลน่ะหรือที่เอาขนมข้าวต้มมาเลี้ยงเจ้า แล้วเจ้าก็ยอมรับเอาไว้ไม่จ่ายอัฐ” คนเป็นพี่ชายเสียงสูง ใครเล่าจะนึกได้ว่าแม่หญิงไพลินจะลดตัวยอมเป็นตลกบริโภคขนมแม่นวลได้

“ใช่น่ะสิคะ ไม่เชื่อเรียกพี่อ่อนมาถามก็ได้” ณิรชากระตือรือร้นหาพยาน แต่เขากลับไม่พอใจกว่าเดิม

“เจ้านี่…ชักเอาใหญ่แล้ว ท่าจะไม่สบายหนักแล้วนะไพลิน” หลวงเสนากระแทกเสียงประชดประชัน

“ใช่ๆๆ ฉันไม่สบายจริงๆ นั่นแหละ แต่ตอนนี้ฉันสบายดี” หล่อนรีบเหมารับ ให้เขาคิดว่าเป็นบ้าบอยังดีกว่าอย่างอื่น

“ไพลิน! เจ้าต้องการอะไรกันแน่ คนอย่างแม่หญิงไพลินน่ะหรือที่จะไปตลาดบางกะจะ ไปคุยกับคนที่ตัวเองรังเกียจเดียดฉันท์นักหนา ถ้าไม่มีอะไรแอบแฝงแล้วจะไปทำไม”

“ฉันไม่ได้คิดอะไรแอบแฝงในทางไม่ดีเลยนะพี่ดวง ฉันรู้ดีว่าฉันทำอะไรแย่ๆ ลงไปมากมาย แต่ในช่วงที่ป่วยอยู่ ฉันก็ได้คิด ชีวิตคนเรามันสั้นนักหนา บางเรื่องอยากทำแต่ไม่ได้ทำนั้นน่าเสียดายนัก เวลาข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็สุดจะรู้ ขนาดกรุงศรีอยุธยาที่คนว่าแข็งแกร่งยังแทบเสียทีให้กับพม่า แล้วถ้าอนาคตไม่ใช่…แต่…หรือ…เกือบ…เล่า เมื่อถึงตอนนั้น ฉันอยู่ที่ไหน พี่อยู่ที่ไหน พ่อแม่จะอยู่ที่ไหน ชะตาชีวิตจะเป็นอย่างไร มีใครหยั่งรู้บ้าง”

เอาไว้ให้หลวงตาน้อยอรรถาธิบายดีกว่า ท่านคงทราบดี

“เจ้าพูดแบบนี้อีกแล้ว เรื่องศึกสงครามให้เป็นหน้าที่ของบุรุษดีกว่า”

“เอาเป็นว่าฉันขอให้พี่ยกโทษให้ฉันที่ทำให้พี่ทุกข์ใจ ไม่ว่าแม่หญิงไพลินทำอะไรผิดไป อยากให้พี่…อโหสิกรรม…ให้” ณิรชาขออโหสิกรรมแทนแม่หญิงไพลินซึ่งบัดนี้ได้จากไปสู่ภพอื่นเสียแล้ว

“ไพลิน!” คราวนี้หลวงเสนาลงเสียงหนัก

“คนที่ไม่สบายใช่ว่าพอหายแล้วจะให้เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นลบเลือนหายไปได้ ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว เจ้าเลิกคิดเรื่องนี้เถอะ เรื่องมันเกิดไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจกลับมาเป็นไปตามความต้องการของเจ้าได้ มัน…สายไปเสียแล้ว”

“พี่ดวง…”

“พี่ไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก เจ้าขึ้นเรือนไปเถอะ ขอพี่อยู่คนเดียวเงียบๆ”

หลวงเสนาหันหลังให้เป็นการไล่กลายๆ เฮ้อ! คนสองคน ทั้งนวลทั้งพี่ชายของหล่อนล้วนใจแข็งทั้งคู่

แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดี! ณิรชาคิดไม่ออกเลยจริงๆ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in LOVE

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com