ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 3 #นิยายวาย – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 3 #นิยายวาย

ปรากฏว่าโจวจิ่งว่องไวกว่า คว้าหมับเข้าที่ท่อนแขนเขา บีบแรงจนถังฟั่นรู้สึกว่าหากยังดิ้นขัดขืนอีกเกรงว่าแม้แต่ชุดขุนนางคงโดนกระชากติดมือลงมาเป็นแน่ ได้แต่ชะงักฝีเท้า “ราชบุตรเขยโจว ท่านกับองค์หญิงเป็นสามีภรรยา มีวาจาใดนั่งลงสนทนากันดีๆ ย่อมฝนลาฟ้าใสแล้ว ไยต้องทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่เล่า เกรงว่าข้าเองก็คงช่วยอันใดมิได้”

โจวจิ่งเริ่มฉุน “ท่านยังไม่ได้ฟังข้าเล่า ไฉนทราบว่าช่วยไม่ได้”

ถังฟั่นระอาใจ “ท่านดู ข้ายังไม่หายไข้เลย นี่ก็กำลังรีบกลับบ้าน พวกเราค่อยคุยกันวันหน้าได้หรือไม่”

ล้อเล่นหรือไร องค์หญิงกับราชบุตรเขยทะเลาะวิวาท ข้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยสักนิด

โจวจิ่งกลับบอก “ไม่มีปัญหา ตอนนี้ท่านไปบ้านข้าก่อน ข้าจะให้คนเตรียมสุราอาหารชั้นดีโต๊ะหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ เล่าให้ท่านฟัง ในเมื่อวันนี้ข้าเจอท่าน ท่านก็ต้องช่วยข้าออกความเห็น! ถังเก๋อเหล่า คิดเสียว่าข้าขอร้อง หากปล่อยให้องค์หญิงโวยวายต่อไปจนสะพัดถึงภายนอก ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด”

ถ้อยคำทั้งอ่อนและแข็งทำให้ถังฟั่นไม่ทราบควรร้องไห้หรือหัวเราะ ใคร่ปฏิเสธก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะผู้อื่นกำแขนเสื้อไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

ถังฟั่นถอนใจ “ไม่ไปได้หรือไม่”

โจวจิ่งกล่าวรวบรัด “ไม่ได้!”

ทั้งสองฉุดๆ ดึงๆ กลางถนน ฐานะก็มิใช่ธรรมดาจึงเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้คน หากยังไม่ไป แม้แต่คนของห้ากองกำลังรักษาเมืองคงได้รุดมากันหมดแน่ ถังฟั่นได้แต่ยอมจำนน ให้คนหามเกี้ยวกลับไป จากนั้นขึ้นรถม้าของโจวจิ่ง

รถม้าของวังองค์หญิงกว้างขวางใช้ได้ บุรุษฉกรรจ์สองคนขึ้นไปนั่งยังมีที่เหลือเฟือ ข้างใต้บุด้วยฟูกแพร แทบไม่รู้สึกถึงความสั่นโคลงขณะรถแล่นบนถนน แต่ถังฟั่นกลับไม่มีอารมณ์เสพสุข เพราะเมื่อครู่เขาเพิ่งโดนลมหนาวอยู่ด้านนอก ตอนนี้ขึ้นรถม้าที่อบอุ่นพลันอดจามทีหนึ่งมิได้ น้ำมูกน้ำตาไหลย้อย

โจวจิ่งชำเลืองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างห่วงใย “ถังเก๋อเหล่ายังหนุ่มแน่น ต้องรักษาสุขภาพให้มาก”

ถังฟั่นใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก ลอบค้อนเขาทีหนึ่ง

เป็นผู้ใดจะลากข้ามาให้ได้เล่า

โจวจิ่งคล้ายรู้สึกได้ถึงการตัดพ้อของอีกฝ่าย เพียงยิ้มแห้งๆ “ข้าเองก็จนปัญญา ถังเก๋อเหล่าโปรดอภัย”

ถังฟั่นถามอย่างอ่อนใจ “ไม่ทราบราชบุตรเขยกับองค์หญิงถกเถียงกันด้วยสาเหตุใด”

หลังขึ้นรถม้า ปราศจากคนนอก โจวจิ่งกลับเพียงเอ่ยอย่างคลุมเครือ “ก็แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง เดี๋ยวรอถึงวังก่อนข้าค่อยเล่ารายละเอียดให้ฟัง”

ถังฟั่นพลันรู้สึกตงิดๆ

โจวจิ่งเป็นคนอัธยาศัยดี องค์หญิงฉงชิ่งก็มิใช่สตรีก้าวร้าวเอาแต่ใจ หนำซ้ำทั้งคู่มิใช่เพิ่งแต่งงาน หากกล่าวว่าเกิดความขัดแย้งใหญ่โตอันใด ถังฟั่นกลับไม่เชื่อ แต่หากมิใช่เรื่องใหญ่ ไยโจวจิ่งต้องมาดักรอสมาชิกสภาขุนนางท่านหนึ่งกลางทางเพื่อเชิญเขาไปช่วยไกล่เกลี่ยถึงที่บ้านเช่นนี้ด้วย พึงทราบว่าความสัมพันธ์ของถังฟั่นและโจวจิ่งมิได้แนบแน่นถึงขนาดที่โจวจิ่งจะให้เขามาตัดสินเรื่องในครอบครัวตนเอง ซ้ำยังเป็นเรื่องในครอบครัวขององค์หญิงและราชบุตรเขยอีกด้วย

ครุ่นคิดถึงตรงนี้ ถังฟั่นวางผ้าเช็ดหน้า เสียงขึ้นจมูกเล็กน้อยเพราะยังไม่หายป่วย แต่ฟังไปคล้ายขรึมเศร้าหลายส่วน

“ราชบุตรเขยคงมีเรื่องจะบอกข้ากระมัง”

ถังฟั่นทำท่าขึงขังขึ้นมา น้อยคนนักจะสามารถรักษาความเยือกเย็นไว้ได้ภายใต้สายตาคมปลาบของเขา โจวจิ่งก็ไม่ยกเว้น

เขาอดที่จะหลบสายตาถังฟั่นมิได้ “ถังเก๋อเหล่าจะได้ทราบในไม่ช้านี้ โปรดอย่าเพิ่งถามเลย”

รถม้าหยุดจอดที่หน้าประตูวังองค์หญิง บ่าวในจวนเห็นราชบุตรเขยชักนำชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งเข้ามาด้วยท่าทางนบนอบก็อดฉงนฉงายมิได้ จึงลอบคาดเดาฐานะของอีกฝ่าย แต่ไม่ช้าพวกเขาก็กระจ่างแล้ว เพราะราชบุตรเขยเรียกขานเขาว่า ‘เก๋อเหล่า’

คำว่าเก๋อเหล่าย่อมมิใช่นามแฝงนามรองของใคร ทั้งราชวงศ์ต้าหมิงมีเพียงเจ็ดคนที่สามารถได้รับการเรียกขานเช่นนี้ เทียบเท่ากับมหาเสนาบดี อยู่ใต้คนผู้หนึ่ง อยู่เหนือคนทั้งแผ่นดิน

แม้ว่าตำแหน่งนี้มีความมั่นคงไม่เท่ากับบรรดาศักดิ์ของพวกราชนิกุลหรือผู้มีคุณูปการร่วมก่อตั้งราชวงศ์ หลายปีมักมีการผลัดเปลี่ยนครั้งหนึ่ง แต่มิอาจปฏิเสธว่าบุคคลที่สามารถขึ้นเป็นเก๋อเหล่าคือผู้กุมอำนาจศูนย์กลางของต้าหมิง ยิ่งเป็นผู้ตัดสินชะตากรรมของแผ่นดิน

ชายหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนอายุยี่สิบเศษ หากเขาเป็น ‘เก๋อเหล่า’ จริง ใต้หล้านี้ถึงกับมีมหาเสนาบดีที่เยาว์วัยปานนี้เชียวหรือ

ไม่ ความจริงแล้วใช่ว่าไม่มี

บ่าวไพร่ในวังองค์หญิงที่หูตากว้างขวางพลันนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา และวัยของคนผู้นี้ก็สอดคล้องต้องกันกับชายหนุ่มตรงหน้า เพียงแต่พวกเขาคิดไม่ถึง ถังเก๋อเหล่าที่หนุ่มแน่นและเก่งกาจตามตำนานเล่าขานท่านนั้นถึงกับเป็นบุคคลผู้มีรูปโฉมสง่างามปานนี้

เอ๊ะ แต่ยามเดินไยใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากจมูกคล้ายไม่สบายกระนั้น

ถังฟั่นย่อมไม่ว่างไปสังเกตท่าทีของบ่าวไพร่ในวังองค์หญิง และโจวจิ่งก็ไม่อยู่ในอารมณ์นั้นเช่นกัน เขาพาถังฟั่นเร่งเดินตลอดทาง แม้แต่รอยยิ้มก็ไม่มี นี่ทำให้ถังฟั่นเกือบเข้าใจไปว่าเกิดเหตุร้ายอันใดกับองค์หญิงแล้ว

จวบจนทั้งคู่มาถึงห้องหนังสือด้านหลัง

โดยปกติห้องหนังสือด้านหลังจะไม่เปิดรับบุคคลภายนอก เว้นแต่สนิทสนมกับเจ้าของบ้านเป็นพิเศษ เพราะห้องหนังสือคือสถานที่เฉพาะ ยิ่งบ้านของผู้มีฐานะมักมีหนังสือสำคัญวางอยู่จำนวนมาก อย่าว่าแต่แขกผู้มาเยือนเลย บางครั้งกระทั่งบุตรธิดาของเจ้าบ้านยังอาจถูกห้ามไม่ให้เข้ามา

แต่เวลานี้โจวจิ่งกลับพาถังฟั่นมุ่งมาที่นี่โดยตรง

เขาผลักเปิดประตู กล่าวกับคนข้างใน “อาซู ข้าเชิญคนมาแล้ว”

ผู้นั่งอยู่ด้านในย่อมมิใช่ใครอื่น

องค์หญิงฉงชิ่งวัยเกินสี่สิบยังเปี่ยมเสน่ห์จับตา แลดูคล้ายไม่เกินสามสิบเศษ มากกว่าถังฟั่นไม่เท่าไร

เขากลับมิกล้าเสียมารยาท ประสานมือคารวะ “ถวายบังคมองค์หญิง องค์หญิงสบายดีหรือ”

องค์หญิงฉงชิ่งขยิบตาให้สามีคราหนึ่ง ฝ่ายหลังกระจ่างความนัย “ข้าไปเดินเล่นด้านนอกก่อน เชิญพวกท่านสนทนา”

เรื่องราวถึงขั้นนี้ ต่อให้ถังฟั่นด้อยปัญญาปานใดก็สามารถสำนึกได้ว่าเรื่องราวไม่ธรรมดา ยิ่งกว่านั้นถังฟั่นไม่โง่เขลาสักนิด

สามารถทำให้ราชบุตรเขยเฝ้าดูต้นทางอยู่ด้านนอกได้ ย่อมต้องเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด

ดังนั้นถังฟั่นมิได้เร่งร้อนตั้งคำถาม เพียงรออีกฝ่ายเปิดปากก่อน

องค์หญิงฉงชิ่งยิ้มหม่น “ใต้เท้าถัง อภัยที่พวกเราสามีภรรยาเชิญท่านมาถึงที่นี่ เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญมาก ข้าแม้ไม่เคยไปมาหาสู่กับใต้เท้าถัง แต่ได้ฟังข่าวลือเกี่ยวกับความเก่งกล้าของท่านมาไม่น้อย ดังนั้นที่จาบจ้วงล่วงเกิน ใต้เท้าถังโปรดอภัย”

น้ำเสียงนางหวานละมุนเหมือนที่คนเล่าลือไม่มีผิด ปราศจากท่าทีหยิ่งทะนงขององค์หญิง อีกทั้งยามเจรจาก็นอบน้อมถึงที่สุด ความรู้สึกขุ่นเคืองนิดๆ ในตอนแรกของถังฟั่นจึงพลอยจางหายไป

“องค์หญิงมิต้องเกรงใจ ผู้น้อยล้างหูน้อมฟัง” ถังฟั่นกล่าวคำนี้จบ อดล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดปากไอมิได้ และฉวยจังหวะนี้สูดน้ำมูกอีกที ก่อนยิ้มเขินเมื่อกล่าวกับองค์หญิงฉงชิ่ง “พิษไอเย็นยังไม่ทุเลา เสียมารยาทแล้ว”

องค์หญิงฉงชิ่งเข้าใจดี อันที่จริงคนที่เสียมารยาทคือพวกนางต่างหาก ไม่คำนึงว่าผู้อื่นกำลังเจ็บป่วยก็ดักเอาตัวมาระหว่างทาง ทว่านางและราชบุตรเขยไม่มีวิธีอื่นจริงๆ ได้แต่ใช้แผนชั้นเลวนี้

นางมุ่นคิ้วเบาๆ มิใช่เพราะถังฟั่น หากแต่กำลังหมักบ่มถ้อยคำ และคล้ายใคร่ครวญอยู่ว่าตนเองสมควรบอกเล่าออกไปหรือไม่

ถังฟั่นมิได้เร่งรัด ทั้งสองนั่งตรงข้ามกันเงียบๆ มีเพียงเสียงฝีเท้าที่เดินไปเดินมาเบาๆ นอกห้องหนังสือของราชบุตรเขยโจวเท่านั้น

เป็นครู่ใหญ่องค์หญิงจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ “เมื่อวานตอนข้าเข้าวังไปเยี่ยมเยียนเสด็จแม่ ได้ยินว่ารัชทายาทประชวรจึงเลยไปเยี่ยมเขาด้วย”

ได้ยินคำว่ารัชทายาท สีหน้าของถังฟั่นจริงจังขึ้นมาหลายส่วน นิ่งรอถ้อยความต่อไปของนาง

องค์หญิงกล่าว “ตอนนั้นข้าไม่รู้สึกมีอันใดผิดปกติ เพราะรัชทายาทประชวร พระสติไม่แจ่มใส ข้าจึงมิได้รั้งอยู่นาน ประมาณหนึ่งเค่อก็ลุกขึ้นบอกลา แต่หลังจากกลับมาข้านึกถึงเรื่องหนึ่ง ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่ถูกต้อง…ครั้งรัชทายาทยังทรงพระเยาว์เคยตกระกำลำบากอยู่ในฝ่ายใน เรื่องนี้ใต้เท้าถังคงเคยได้ยินมาบ้างกระมัง”

ถังฟั่นพยักหน้า องค์หญิงไม่สะดวกเอ่ยถึงวั่นกุ้ยเฟย แต่เรื่องนี้โดยพื้นฐานแล้วทั้งในวังหน้าฝ่ายในต่างรู้กันทั่ว

“ตอนเขาสามขวบเคยสะดุดธรณีประตูล้มลงครั้งหนึ่ง หน้าผากกระแทกจนเหลือแผลเป็นถึงทุกวันนี้ ซึ่งพอมองเห็นได้รางๆ ตอนนั้นข้าไม่ได้อยู่ด้วย นี่เป็นเรื่องที่เสด็จแม่เล่าให้ฟังในภายหลัง แต่ก็มีไม่กี่คนที่รู้ และการสะดุดล้มในครั้งนั้นรัชทายาทยังได้รับบาดเจ็บที่นิ้วก้อยซ้าย เศษไม้ทิ่มตำเข้าเนื้อจนเลือดไหลออกมา ทุกวันนี้ยังเห็นแผลเป็นจางๆ” นางสูดหายใจลึก “แต่เมื่อวานตอนข้าพบหน้ารัชทายาท ชำเลืองเห็นนิ้วก้อยข้างนั้นพอดี ทว่ากลับไม่พบแผลเป็นรอยนั้น”

เล่าถึงตรงนี้ องค์หญิงล้วนบรรยายถึงสิ่งที่นางพบเห็น แต่ความนัยที่เจืออยู่ในน้ำเสียงกลับชวนให้ผู้คนระทึกขวัญ

ถังฟั่นขมวดคิ้วแน่น “องค์หญิงแน่ใจว่าแผลเป็นรอยนั้นยังสามารถมองเห็นได้ถึงทุกวันนี้?”

องค์หญิงยิ้มหม่น “ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะข้าแก่แล้วสายตาพร่ามัวหรือไม่ เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก ข้าเองไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าวังไปดูให้แน่ชัดอีกที แต่หนึ่งเดือนก่อนหน้าตอนข้าเจอรัชทายาท เห็นบนนิ้วมือของเขายังมีแผลเป็นอยู่จริงๆ เวลาเดือนเดียวคงทำให้แผลเป็นที่เหลืออยู่ตั้งแต่เล็กนั่นหายวับไปมิได้กระมัง”

ถังฟั่นจึงถาม “แล้วแผลเป็นบนหน้าผากเล่า”

“ยังอยู่”

ถังฟั่นถามอีก “ขณะองค์หญิงเข้าตำหนักบูรพา ได้พบเห็นเรื่องใดที่ผิดแผกจากอดีตหรือไม่”

องค์หญิงครุ่นคิด “นั่นกลับไม่มี”

“กิริยาวาจาของรัชทายาทมีอันใดเปลี่ยนไปหรือไม่”

“ข้าสนทนากับเขาไม่กี่คำ ตอนนั้นเขานอนอยู่บนเตียงพอดี มองไม่เห็นความผิดปกติ”

“คนข้างกายของรัชทายาทเล่า มีการเปลี่ยนคนหรือไม่”

“คล้ายว่าไม่มี แต่โดยปกติข้าเจอหน้ารัชทายาทน้อยมากจึงมิได้สังเกตถึงคนรอบกายเขา”

นางเห็นถังฟั่นนิ่งงันจึงกล่าวต่อ “ข้ารู้ เรื่องนี้ออกจะเหลวไหลเกินไป ยากที่ใครจะเชื่อถือ หากข้าตาลายมองผิด นั่นก็แล้วไปเถอะ อย่างมากก็ถูกตำหนิยกหนึ่ง แต่หากเป็นจริงขึ้นมา ผลลัพธ์สุดจะคาดคิด พวกเราสามีภรรยาคิดมาคิดไป หากก็ไม่กล้าทำเป็นเรื่องใหญ่ จึงได้แต่อ้างการทะเลาะเบาะแว้งไปเชิญใต้เท้าถังมา ตามความเห็นท่าน เรื่องนี้ข้าสมควรจัดการเช่นไรดี”

ถังฟั่นยิ้มเจื่อน “ผู้น้อยไม่เคยเห็นแผลเป็นของรัชทายาทกับตา ยากจะวินิจฉัยเช่นกัน”

องค์หญิงเอ่ยน้ำเสียงละอาย “ข้าเองก็รู้ เรื่องนี้ทำให้ใต้เท้าลำบากใจแล้ว”

ยามนี้ทุกอย่างเป็นเพียงข้อสงสัยขององค์หญิงฉงชิ่ง บวกกับหลักฐานของข้อสงสัยมีเพียงแผลเป็นบนนิ้วมือซึ่งเล็กมากจนแทบไม่เห็น

ดีไม่ดีที่ไม่เห็นแผลเป็นรอยนั้นอาจเพราะแสงสะท้อนทำให้องค์หญิงตาลายก็เป็นได้ ใช่จะหมายถึงรัชทายาทเป็นตัวปลอมเสมอไป

ยิ่งไปกว่านั้นการปลอมแปลงรัชทายาทถือเป็นเรื่องใหญ่ปานใด เมื่อแผนถูกเปิดโปง อย่าว่าแต่คนต้นคิดอุบายจะหัวหลุดจากบ่า นั่นยังจะเป็นคดีใหญ่ที่พัวพันถึงผู้คนเป็นวงกว้างอีกด้วย

ดังนั้นแม้แต่องค์หญิงฉงชิ่งยังไม่กล้าแพร่งพรายออกไป ได้แต่ให้โจวจิ่งพาถังฟั่นมาหารือเงียบๆ

องค์หญิงสอบถาม “ถ้าอย่างไรข้าเข้าวังไปถามเสด็จแม่ดูดีหรือไม่”

ถังฟั่นสั่นหน้า “จำนวนครั้งที่พระพันปีและรัชทายาทได้เจอหน้ากันไม่แน่จะมากกว่าองค์หญิง อีกทั้งในวังมากคนมากความ เรื่องราวอึกทึกขึ้นมาคงไม่ดี เช่นนี้เถอะ ผู้น้อยจะหาคนผู้หนึ่งไปลองเลียบเคียง ค่อยวินิจฉัยอีกที”

องค์หญิงผ่อนลมหายใจ “เช่นนี้ดีที่สุด หวังว่าข้าจะมองผิดไป”

 

ม่านรัตติกาลค่อยๆ คลี่ลง วันนี้ตรงกับเดือนหนึ่งวันที่สี่ บรรดาขุนนางยังอยู่ในช่วงพักผ่อน หน่วยงานทุกแห่งล้วนหยุดทำการ

ทว่าท้องถนนในเมืองหลวงกลับมิได้ครึกครื้นขึ้นมาเพราะเทศกาล บรรยากาศเริงรื่นจำกัดอยู่ตามตรอกเล็กตรอกน้อยไม่กี่สายที่อยู่ใกล้ตลาดในตัวเมือง สถานที่อื่นๆ ยังคงเฉกเช่นปกติ เมื่อล่วงสู่ราตรีก็เงียบสงัดลง

เกี้ยวเล็กสีดำที่ไม่สะดุดตาหยุดลงที่ประตูหลังของบ้านหลังหนึ่งที่ไม่สะดุดตาเช่นกัน คนหามเกี้ยวขึ้นหน้าเคาะประตู สุ้มเสียงไม่ดังนัก ไม่ถึงกับทำให้เพื่อนบ้านโดยรอบแตกตื่น

อึดใจหนึ่งบานประตูก็ถูกเปิดจากด้านใน

ผู้เปิดประตูเป็นบุรุษวัยกลางคนที่ใบหน้าดุห้าว

คนหามเกี้ยวกระซิบเบาๆ ได้ครู่หนึ่งก็หมุนตัวกลับมาที่ด้านหน้าเกี้ยว ก้มเอวกล่าวอันใดมิทราบ ในเกี้ยวพลันมีคนเดินลงมา เข้าสู่บ้านหลังนั้น

เวลาล่วงผ่านราวหนึ่งก้านธูป คนผู้นั้นเดินออกมาจากข้างใน ขึ้นเกี้ยว แล้วจากไปอย่างเร่งด่วน

หลังจากอีกฝ่ายผละไปได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ บานประตูเปิดออกอีกครั้ง บุรุษวัยกลางคนเมื่อครู่เดินออกมา ท่าทางเร่งร้อน ไม่ช้าเงาร่างก็หายลับไปกับแสงสีราตรี

ทว่าหามีผู้ใดคาดคิดไม่ พฤติการณ์ทั้งหมดนี้ล้วนตกอยู่ในสายตาของผู้จงใจชมดู

 

ราชวังต้องห้าม

ฝีเท้าของวังจื๋อถี่กระชั้นกว่าปกติสองเท่า แม้มองไม่ค่อยออก แต่ขันทีที่ตามหลังกลับไล่ตามจนหอบ

เขาไม่กล้าตัดพ้อ เพียงลอบเร่งฝีเท้าพลางภาวนาให้โคมในมือตนอย่าดับลงเพราะเหตุนี้

ให้บังเอิญนัก ขณะความคิดของเขาเพิ่งผุดขึ้น ลมหนาวหอบหนึ่งก็พัดวูบมา โคมไฟแกว่งไกว ทำท่าจะดับลงจริงๆ

ขันทีตกใจสะดุ้งโหยง อดชำเลืองวังกงกงที่อยู่ข้างหน้ามิได้ อีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่เหลียวหน้ามา

กล่าวตามสัตย์ หากมิใช่เกรงว่าจะเป็นที่สะดุดตา วังจื๋อยังสามารถซอยเท้าได้เร็วกว่านี้

แต่เวลานี้เขาไม่อาจกระทำเช่นนั้น

นับแต่ไหวเอินจากไป หูตาของเขาแทบถูกกำจัดสิ้น ทั้งหมดล้วนถูกเปลี่ยนเป็นคนของเหลียงฟัง แม้แต่สำนักบูรพาก็ไม่เว้น เก้าอี้ผู้บัญชาการสำนักบูรพาของเฉินจุ่นยังนั่งไม่ทันร้อนก็ถูกผู้อื่นเตะไปเลี้ยงยุงที่สำนักตราสารแล้ว

เหลียงฟังหรือจะมีอำนาจทั้งยังไม่เกรงกลัวจักรพรรดิตำหนิปานนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เกี่ยวข้องกับคนที่อยู่เบื้องหลังเขาแน่นอน

ลำพังวังจื๋อ ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดังอยู่แล้ว

และเหตุที่วังจื๋อไม่ถูกกำจัดคือนอกจากเขาเป็นคนรู้รักษาตัวรอด ไม่เหมือนไหวเอินที่ยืนอยู่ข้างรัชทายาทและขุนนางบุ๋นอย่างเด่นชัดแล้ว ก็เป็นเพราะเขายังถือว่าเป็นผู้ที่วั่นกุ้ยเฟยอุปถัมภ์ค้ำชูขึ้นมา หลังไหวเอินจากไป เขาพินอบพิเทาต่อกลุ่มอำนาจวั่นอย่างรู้เวลา ท่าทีชนิดนี้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามชะล่าใจ ปล่อยปละละเว้นเขา แต่กลับต้องหลุดจากสำนักตรวจฎีกาและสำนักทหารม้าส่วนพระองค์ซึ่งสำคัญยิ่งยวดไปอยู่ที่สำนักรักษาลัญจกรแทน

วังจื๋อเองยังพอมีกำลังคนอยู่บ้าง ทว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นเขาชุบเลี้ยงขึ้นใหม่หลังกลับเข้าวัง หลายคนไม่สามารถไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งที่สอดคล้องทำให้ไม่อาจแผ่ขยายอำนาจ สำแดงฤทธิ์เดชอันใดได้

ในด้านน้ำใจไมตรี ภายในวังหลวงยิ่งเหนือกว่านอกวัง ไม่ช้าก็มีคนทุ่มหินซ้ำเติมเมื่อเห็นวังกงกงเสียท่า ทว่าเขาหาใช่คนที่ยินยอมให้ผู้อื่นระราน หลังกลับเข้าวัง ความอหังการของเขาถูกกดข่มเอาไว้ภายใต้ความนอบน้อมถ่อมตนอันเสแสร้ง แต่ในใจของวังกงกงที่สามารถยืดหยุ่นตามสถานการณ์ได้จดจารใบหน้าของคนเหล่านี้ไว้ในบัญชีดำเรียบร้อยแล้ว

หากมีใครเข้าใจว่าวังกงกงมีชีวิตอย่างอนาถในวังหลวงเพราะเหตุนี้ นั่นกลับคิดผิดเสียแล้ว

อูฐผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า* วังกงกงยังพอมีขุมกำลังของตนเองอยู่บ้าง ไหวเอินถึงขนาดส่งต่อขุมกำลังส่วนหนึ่งของตนให้เขา ดังนั้นเหลียงฟังถึงไม่กล้ากดดันวังจื๋อเกินไป หลังเบียดไหวเอินออกไปได้จึงทำเพียงหลับตาข้างหนึ่งต่อวังจื๋อ หากขันทีใหญ่ที่หยั่งรากลึกล้ำสองคนถูกบีบให้จนตรอกแล้วตอบโต้เหลียงฟังขึ้นมา ผลลัพธ์คงมีแต่เจ็บตายสองฝ่าย

ความยากลำบากเหล่านี้เขาไม่เคยปริปากกับถังฟั่น ต่อให้ถังฟั่นเก่งกาจปานใด ความสามารถก็มีจำกัด อีกประการหนึ่งขุนนางฝ่ายนอกไม่อาจก้าวก่ายกิจในวัง นี่ถือเป็นพฤติกรรมต้องห้าม นับแต่วังจื๋อกลับเข้าวัง ทั้งคู่จึงพยายามลดการติดต่อ หากมิใช่สถานการณ์คับขันจริงๆ จะไม่ใช้เส้นทางลับสายนี้

และหนึ่งหรือสองหนที่ใช้การติดต่อวิธีนี้ล้วนเพื่อรัชทายาททั้งสิ้น

คราวนี้ก็ไม่ยกเว้น

หลังวังจื๋อได้รับข่าวกรองจากเว่ยเม่าจึงหาเหตุเข้าตำหนักบูรพาอย่างเร่งด่วน

เขาต้องไปดูด้วยตาตนเองจึงจะวางใจได้

หากเป็นยามปกติรัชทายาทอาจยังกำลังกอดผ้าห่มอ่านตำรา แต่ระยะนี้รัชทายาทประชวร ย่อมเข้าบรรทมแต่วัน

 

* อูฐผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า เป็นสำนวน หมายถึงคนร่ำรวยมีฐานะต่อให้ตกอับ ยากจนลง ก็ยังดีกว่าคนยากจนทั่วไป

Comments

comments

Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-1

บทที่ 27-1 หวงปอรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานาน แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกไป๋ตันหย่งที่ยืนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของฮ่องเต้มาตั้งแต...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 125

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า หลายวันก่อนตอนรอเขากลับมา ซูเสวี่ยจื้อเคยมโนภาพหลายครั้งมากว่าคนทั้งคู่จะพบหน้ากันแบบไหน แต่เธอค...

community.jamsai.com