ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 1 บทที่ 3 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 1 บทที่ 3 #นิยายวาย

บทที่ 3

 

ระยะนี้จวนอู่อันโหวบรรยากาศหม่นหมองโศกเศร้า

คุณชายเจิ้งเฉิงเป็นบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกแห่งจวนอู่อันโหว แม้ชื่อเสียงเขาจะไม่ดีจนราชสำนักไม่มีราชโองการให้แต่งตั้งเสียที แต่ความจริงนี่ก็เป็นกลยุทธ์ในการปกครองผู้ใต้บัญชาอย่างหนึ่งของราชสำนัก แม้ท้ายที่สุดแล้วใช่ว่าจะไม่แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้ แต่เมื่อมีเหตุผลนี้อยู่ก็สามารถควบคุมขุนนางในอาณัติ ให้อู่อันโหวระวังรอบคอบ สำรวมมิกล้ากระทำผิด

ไม่เฉพาะกับสกุลชนชั้นสูงผู้มีคุณต่อบ้านเมือง แม้กระทั่งกับคนสกุลจูซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์สายตรงเองราชสำนักก็ใช้วิธีการเดียวกัน เมื่อสถาปนาราชวงศ์นานเข้า สกุลจูก็แตกแขนงออกหลายสาแหรก กระจายทั่วแผ่นดิน เชื้อพระวงศ์จึงไม่สูงศักดิ์ล้ำค่าอีกต่อไป สำหรับจักรพรรดิและราชสำนัก นั่นล้วนแล้วแต่เป็นกาฝากที่ดีแต่สิ้นเปลืองเสบียงของราชสำนัก แต่ไร้งานการเป็นชิ้นเป็นอัน เพียงเพราะกฎมณเฑียรบาลจึงไม่อาจถอดบรรดาศักดิ์ได้เท่านั้น

ทว่าท่าทีของราชสำนักก็ส่วนท่าทีของราชสำนัก สำหรับเจิ้งอิงนั้น แม้เจิ้งเฉิงมักทำให้เขาหนักใจเสมอ อย่างไรก็เป็นบุตรชายคนโต ไม่มีใครที่บุตรชายตายแล้วยังยินดีปรีดาได้ มารดาแท้ๆ ของเจิ้งเฉิง ซึ่งก็คือภรรยาเอกของอู่อันโหวนั้นยิ่งน้ำตานองหน้า โศกเศร้าเสียใจจนล้มหมอนนอนเสื่อ

ตอนที่สุยโจวกับถังฟั่นไปถึงจวนอู่อันโหว ฉากภาพสีขาวซีดก็สะท้อนสู่สายตา แม้ศพของเจิ้งเฉิงจะถูกกักไว้ที่กองปราบฝ่ายเหนือ ทว่าพิธีการยังคงต้องมี ในจวนจึงแขวนไปด้วยผ้าขาว แม้กระทั่งบรรดาบ่าวรับใช้ก็สวมชุดไว้ทุกข์สีขาวกันถ้วนหน้า

เห็นพวกเขาแล้ว อู่อันโหวย่อมมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ เพียงแต่ติดที่บารมีของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร จึงจำต้องฝืนใจต้อนรับ “ไม่ทราบว่าทุกท่านมาที่นี่ มีธุระอันใดหรือ”

สุยโจวเองก็ไม่ทักทายเกริ่นนำ กล่าวเข้าประเด็นทันทีว่า “ท่านโหว พวกเราอยากพบฮุ่ยเหนียง”

อู่อันโหวนิ่งอึ้ง ครู่เดียวก็ตั้งสติได้ “นางมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของลูกชายข้าหรือ”

“แค่มีความจำเป็นต่อการสืบคดี ยังมิได้สรุป”

อู่อันโหวเองก็ไม่พูดพล่ามให้มากความ ให้คนไปตามฮุ่ยเหนียงมาทันที

คืนวันเกิดเหตุ ตอนที่ถังฟั่นตามพันปินมาที่จวนอู่อันโหว ก็ได้พบภรรยาเอกและอนุทั้งสามของเจิ้งเฉิงไปแล้ว

เจิ้งซุนซื่อเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม แต่เนื่องจากรูปโฉมธรรมดา ไม่เป็นที่พึงใจของเจิ้งเฉิง สองสามีภรรยาจึงร่วมหอกันน้อยมาก

อนุคนแรกหวั่นเหนียงแต่งเข้าสกุลนานกว่าใคร นิสัยค่อนข้างซื่อตรง ทว่าความสาวโรยราความรักจึงจืดจาง ก่อนเจิ้งเฉิงเสียชีวิตก็แทบไม่ได้ย่างเข้าเรือนหลังเล็กของนางแล้ว

อวี้เหนียงเป็นอนุคนใหม่ที่เพิ่งแต่งเข้าสกุลได้ไม่นาน งดงามเลอโฉม กำลังอยู่ในวัยสะพรั่ง นางจึงเป็นที่โปรดปรานของเจิ้งเฉิงมากที่สุด แต่บุปผาในเรือนก็หอมสู้บุปผาริมทางมิได้ เจิ้งเฉิงยังออกนอกลู่นอกทางเป็นระยะ แม้นางจะได้รับความโปรดปราน กลับไม่ได้เป็นคนโปรดเพียงหนึ่งเดียว

ยกเว้นแต่ฮุ่ยเหนียง นางเคยได้รับความโปรดปรานยิ่งกว่าอวี้เหนียง ได้ยินว่าเพื่อเอาใจนางแล้ว เจิ้งเฉิงเคยประเคนอาภรณ์และอัญมณีไปไม่น้อย แต่เมื่อหญิงงามคนใหม่เข้าสกุล สถานะของฮุ่ยเหนียงก็เริ่มสั่นคลอน ถังฟั่นนึกถึงความแตกต่างของท่าทีที่สตรีทั้งสี่มีต่อการตายของเจิ้งเฉิงในคืนนั้น ฮุ่ยเหนียงร่ำไห้เสียงดังที่สุด มองผิวเผินดูเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่หากขบคิดอย่างละเอียดในเวลานี้ ด้วยท่าทีที่เกินกว่าเหตุกลับทำให้ความเสมือนจริงลดลง

ฮุ่ยเหนียงถูกพาตัวมาอย่างรวดเร็ว

ภาษิตว่าอยากพริ้มเพราให้สวมอาภรณ์ขาว ฮุ่ยเหนียงที่อยู่ในชุดไว้ทุกข์สีขาวสะอาดจึงดูบอบบางน่าทะนุถนอม น่าเสียดายที่ถังฟั่นและสุยโจวต่างไร้อารมณ์จะเชยชม

สุยโจวให้เซวียหลิงกางภาพนั้นออกทันที “เจ้าจำคนนี้ได้หรือไม่”

ฮุ่ยเหนียงพินิจ “จำได้ เขาเป็นอาของข้าเอง”

“เขาอยู่ที่ใด” เซวียหลิงถาม

ฮุ่ยเหนียงน้ำตาคลอเบ้า สีหน้าเศร้าหมอง “เรียนใต้เท้า สามวันก่อนตอนที่อาของข้าออกจากเรือนก็ไม่ทันระวังจนถูกรถม้าชนเข้า ทนพิษบาดแผลไม่ไหว สิ้นลมทันที ทำพิธีฝังไปแล้วเจ้าค่ะ!”

เซวียหลิงแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ไหนเลยจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนั้น พวกเรามาหาคน ทางฝั่งเจ้าก็เกิดเรื่องพอดี”

“เรื่องจริงแน่นอนเจ้าค่ะ อาผู้เป็นญาติห่างๆ ของข้ารับใช้ในสกุล มิกล้าทำเอิกเกริกให้ท่านโหวทราบ แต่เรื่องนี้พ่อบ้านรู้ดี หากใต้เท้าไม่เชื่อ ก็เรียกเขามาสอบถามได้!”

“ไม่เป็นไร ตอนนี้คนที่พวกเราจะพบก็มิใช่อาของเจ้า แต่เป็นเจ้า เถ้าแก่ร้านซันหยวนถังและเหรินซินถังระบุแล้วว่าอาของเจ้าได้ไปซื้อยาไฉหูจำนวนมากที่ร้านของพวกเขา ใช่หรือไม่” เซวียหลิงถาม

“คำถามของใต้เท้าช่างไร้ต้นสายปลายเหตุ อาของข้าไปซื้อยา ไยถึงจะบอกกล่าวข้าล่วงหน้า และเกี่ยวอะไรกับข้า” ฮุ่ยเหนียงเอ่ยตอบ

“ฟู่หยางชุนเป็นยาตำรับโบราณ แม้จะไร้คุณประโยชน์กับร่างกาย แต่ก็ไม่ถึงกับให้โทษจนทำให้คนตายได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือน แต่เพราะเจ้าสั่งให้อาของเจ้าเพิ่มตัวยาไฉหูลงในยาลูกกลอน จึงทำให้เจิ้งเฉิงถึงแก่ความตาย ตบตาว่าพลังหยางพร่องเฉียบพลัน!”

“ข้าน้อยบริสุทธิ์…”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงร้องขอความเป็นธรรมก็ถูกเสียงกรีดร้องกราดเกรี้ยวขัดจังหวะ ที่แท้ก็เป็นฮูหยินของอู่อันโหวที่ถลาเข้ามาตบหน้าฮุ่ยเหนียงอย่างแรง!

“หญิงแพศยา ยังกล้าเล่นลิ้น อาของเจ้าไร้ความแค้นกับเฉิงเอ๋อร์และไม่มีโอกาสเข้าใกล้เขาด้วยซ้ำ แล้วจะทำร้ายเขาได้อย่างไร! หลักฐานแน่นหนา ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร ข้าดูออกแต่แรกว่าเจ้าไม่สำรวม คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าคิดร้ายกับเฉิงเอ๋อร์ นางคนต่ำช้า!”

ฮูหยินอู่อันโหวหลิวซื่อถือกำเนิดในสกุลบัณฑิต หนก่อนที่ถังฟั่นเจอ แม้นางจะเจ็บปวดเศร้าเสียใจกับการจากไปของบุตรชาย อย่างน้อยก็ยังคุมสติและรักษาความสุขุมได้ แต่ยามนี้เมื่อเห็นผู้ที่อาจเป็นฆาตกรอยู่ใกล้เพียงเอื้อม จึงไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป

ฮุ่ยเหนียงร้องอุทานเสียงหนึ่ง ยกมือกุมแก้มพลันเบี่ยงหลบด้านข้าง “ท่านโหวช่วยด้วย ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ข้าถูกปรักปรำ!”

หลิวซื่อเห็นนางยังกล้าหลบจึงยิ่งบันดาลโทสะ กระโจนเข้าไปหวังตบตีซ้ำ สถานการณ์วุ่นวายชุลมุน

สุยโจวมองภาพโกลาหลนั้นแล้วกล่าวเสียงเย็นชา “นี่ท่านโหวจะให้พวกเราดูละครลิงหรือ”

แม้ฮุ่ยเหนียงจะน่าสงสัยที่สุด แต่อย่างไรนางก็เป็นสตรีในตระกูล ไหนจะมีฮูหยินท่านโหวอยู่ ชายหญิงแตกต่าง องครักษ์เสื้อแพรยากจะสอดมือ

อู่อันโหวสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง ก่อนตวาดเสียงดัง “ยังไม่หยุดอีก! ไฉนพวกเจ้ายังยืนเบื้อใบ้อยู่ แยกฮูหยินไปอีกทาง คุมตัวฮุ่ยเหนียงไว้!”

เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เหล่าหญิงรับใช้จึงพากันกรูเข้าไป ในที่สุดก็จับทั้งสองแยกออกจากกันได้

ฮูหยินของอู่อันโหวหายใจหอบ แม้จะถูกคนประคองแยกออกไป ทว่าสายตาที่จดจ้องฮุ่ยเหนียงยังคงเต็มไปด้วยความอาฆาตและเคียดแค้น ทำให้ฮุ่ยเหนียงอดสั่นสะท้านไม่ได้ แม้กระทั่งเสียงร้องไห้ก็เบาลง

สุยโจวมองท่าทางร่ำไห้ของฮุ่ยเหนียงที่ราวกับบุปผาต้องหยาดฝน สีหน้าไร้วี่แววหวั่นไหว “เจ้าจะสารภาพเอง หรือรอไปถึงกองปราบฝ่ายเหนือแล้วค่อยสารภาพ”

ฮุ่ยเหนียงยังไม่ทันตั้งตัว ถังฟั่นจึงกล่าว “เจ้าเป็นสตรีอยู่เหย้าเฝ้าเรือน ทั้งยังอ่านเขียนไม่ได้ ยิ่งมิต้องกล่าวถึงความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ไหนเลยจะกล้าวางแผนสังหารเจิ้งเฉิง ต้องมีคนชักใยเจ้าอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ หากเจ้ายอมสารภาพโดยดี ไม่แน่อาจละเว้นโทษตายได้ แต่หากเจ้าเอาแต่ปกป้องผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ถึงเวลาเขาอยู่รอดปลอดภัย แต่เจ้ากลับต้องทุกข์ทรมาน กฎหมายต้าหมิงบัญญัติชัดเจน ผู้ใดฆ่าคนมีโทษประหาร เจ้ายืนกรานไม่ยอมรับผิด ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไปกองปราบฝ่ายเหนือสักหน น้ำไฟมีดดาบ เฆี่ยนโบยตัดนิ้ว แต่ละทัณฑ์ล้วนทำให้เจ้าขอเป็นไม่ได้ ขอตายก็ไม่ได้ ถึงตอนนั้นต่อให้เจ้าอยากตายก็น่ากลัวจะไม่ง่ายเช่นนั้นแล้ว”

วาจาของเขาแผ่วเบาปราศจากโทสะ แต่ฮุ่ยเหนียงฟังแล้วกลับพรั่นพรึงจนฟันสั่นกระทบ ความร้ายกาจขององครักษ์เสื้อแพรนั้นมีใครบ้างที่ไม่เคยได้ยิน ฮุ่ยเหนียงเหมือนมองเห็นสภาพโชกด้วยโลหิตของตนเองที่อยู่ในคุกหลวงแล้ว

ในความเป็นจริง คุกหลวงมิใช่สถานที่ที่นางจะเข้าไปได้โดยง่าย ผู้ที่เข้าคุกหลวงล้วนแล้วแต่เป็นนักโทษหลวงสำคัญ ไม่แน่ผู้ที่ตายอยู่ในนั้นอาจทิ้งนามไว้ให้จารึกด้วยซ้ำ ด้วยสถานะฮุ่ยเหนียง อย่างมากก็แค่ไปที่คุกใหญ่ของศาลซุ่นเทียนเท่านั้น คุกหลวงหรือจะอยากรับนางไว้

สุยโจวชำเลืองมองถังฟั่นแวบหนึ่ง ไม่มีท่าทีต่อพฤติกรรมของอีกฝ่ายที่ยกคุกหลวงมาข่มขวัญฮุ่ยเหนียง

“นายกองสุย ข้าเคยได้ยินว่าในกองปราบฝ่ายเหนือมีทัณฑ์อย่างหนึ่งเรียกว่าฝนพรำดอกเหมย คือการกดแขนขาของนักโทษ จากนั้นก็ใช้กระดาษที่ชุบน้ำวางปิดบนหน้า ชั้นแล้วชั้นเล่า ทับซ้อนทีละชั้น เริ่มแรกนักโทษจะยังไม่รู้สึกอะไร แต่จะเริ่มหายใจลำบากขึ้นเรื่อยๆ กระดาษที่ซับน้ำจะแนบสนิทกับใบหน้า ปิดรูจมูกไว้จนทำให้ไม่สามารถหายใจได้ คนร้ายก็จะทรมานกับการขาดอากาศหายใจจนตายอย่างช้าๆ ใช่หรือไม่” ถังฟั่นเอ่ยถาม

สุยโจวมีสีหน้าปราศจากอารมณ์ เขาพยักหน้าเล็กน้อย “อืม ใช่”

เซวียหลิงที่อยู่ข้างๆ หางตากระตุก…กองปราบฝ่ายเหนือของเรามีทัณฑ์ทรมานที่นุ่มนิ่มเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไร นั่นเป็นผลงานที่พวกขันทีสมควรตายในสำนักบูรพาคิดค้นขึ้นมิใช่หรือ

ฮุ่ยเหนียงราวกับประสบด้วยตนเองตามคำบรรยายอันสมจริงของถังฟั่น รู้สึกเพียงว่าดวงหน้าคล้ายถูกกระดาษเปียกน้ำล่องหนปิดทาบทีละชั้น เริ่มหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมา ฝนพรำดอกเหมยอะไรนั่น ชัดเจนว่าเป็นการทรมานคนให้ตายอย่างช้าๆ!

“ข้ายอม! ข้าสารภาพแล้ว! ข้าไม่ได้เป็นคนสังหาร! เป็นคุณชายรอง! คุณชายรองบอกให้ข้าทำ!” ในที่สุดนางก็ตะโกนอย่างยอมจำนน

อู่อันโหวตวาดดังลั่น “หุบปาก! หญิงแพศยา เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรอยู่!”

“ไม่ใช่ข้า! ข้าไม่ได้ทำ! ข้าไม่ได้ฆ่าท่านพี่และไม่ได้ฆ่าท่านอาด้วย ทั้งหมดเป็นฝีมือคุณชายรอง! เขาเป็นคนสั่งให้ข้าเอาตำรับยาแผ่นนั้นให้ท่านพี่ จากนั้นก็ให้อาของข้าติดสินบนคนงานร้านขายยา เพิ่มตัวยาไฉหูเข้าไป! ใช่แล้ว ยังมีคนงานร้านขายยาคนนั้น! คุณชายรองก็เป็นคนสั่งให้คนฆ่าปิดปาก ไม่ใช่ข้า ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น!”

อู่อันโหวตะโกน “หุบปาก!”

หลิวซื่อเอ่ยปากอย่างเย็นเยียบ “หุบปากอะไร ให้นางพูดต่อ!”

อู่อันโหวกล่าวอย่างโกรธขึ้ง “ยังมีอะไรต้องพูดอีก หญิงชั่วนี่ปากพล่อยใส่ความ พูดจาเหลวไหล ต้องให้ทุกคนในสกุลติดร่างแหไปด้วยนางถึงจะพอใจใช่หรือไม่!”

หลิวซื่อแค่นหัวเราะเสียงเย็นชา “เห็นชัดว่าท่านกลัวนางจะเปิดโปงคนที่ไม่เหมาะไม่ควรมากกว่า ถึงได้รีบร้อนตวาดให้นางหุบปาก”

อู่อันโหวโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “ไฉนข้าจะมีความคิดเช่นนั้น เจ้ายังเห็นว่าไม่วุ่นวายพอหรือ!”

เห็นสามีภรรยาคู่นี้เริ่มมีปากเสียงกัน สุยโจวก็ทำเป็นไม่เห็น กล่าวกับอู่อันโหวว่า “รบกวนท่านโหวช่วยเรียกคุณชายรองมาที”

อู่อันโหวจำต้องหยุดทะเลาะกับหลิวซื่อกลางคัน เขาถลึงตาจ้องฮุ่ยเหนียงอย่างดุดัน ขยับริมฝีปากอ้าแล้วหุบอยู่อย่างนั้น สุดท้ายก็เค้นออกมาไม่กี่คำ “ยังไม่ไปเรียกเจิ้งจื้อมาอีก!”

บ่าวรับใช้รีบกระวีกระวาดทำตามคำสั่ง

ครู่เดียวเจิ้งจื้อก็มาถึง ยังมีสตรีวัยกลางคนอีกคนมาพร้อมกับเขาด้วย

ถังฟั่นเคยเจอนาง คืนวันเกิดเหตุ สมาชิกหญิงในสกุลของอู่อันโหวล้วนอยู่กันครบ เขาพอจำได้ว่าหญิงผู้นี้คืออนุของอู่อันโหว

เจิ้งจื้อทำความเคารพ “คำนับท่านพ่อ ท่านแม่ ไม่ทราบว่าสองท่านนี้คือ…?”

สายตาของเขามองไปที่สุยโจวและถังฟั่น คืนวันเกิดเหตุ เขามิได้ปรากฏกายในที่เกิดเหตุ จึงย่อมไม่รู้จักพวกถังฟั่น

เจิ้งจื้อมีหน้าตาละม้ายกับหญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างตัวอยู่หกเจ็ดส่วน จึงมีกลิ่นอายนุ่มนวลอยู่บ้าง กิริยาสุภาพเรียบร้อย ลำพังเพียงข้อนี้ เจิ้งเฉิงก็มิอาจเทียบเขาได้แล้ว

ซื่อจื่อยังไม่ถูกแต่งตั้ง ฐานะยังไม่แน่นอน บุตรคนรองกลับเพียบพร้อมกว่าบุตรคนโต อู่อันโหวย่อมต้องขัดแย้งสับสน

เมื่อสับสน จิตใจก็ย่อมโอนเอียง ยากจะทำใจให้เป็นกลางได้

ความขัดแย้งจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยเหตุนี้

อู่อันโหวหน้าตึง “สองท่านนี้คือใต้เท้าถังแห่งศาลซุ่นเทียน และใต้เท้าสุยแห่งกองปราบฝ่ายเหนือ มาสอบปากคำด้วยคดีของพี่ชายเจ้า ข้าขอถามเจ้า การตายของพี่ชายเจ้า มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่”

เจิ้งจื้อตะลึงพรึงเพริด “ท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ต้องการปรักปรำให้ข้าตายหรือขอรับ ข้าหรือจะแตกหักกับพี่น้อง วางแผนสังหารพี่ชายได้อย่างไรกัน!”

แม้เขาจะตบตาได้แนบเนียน แต่ท่าทีที่เขาเผลอเหลือบมองฮุ่ยเหนียงแวบหนึ่งเมื่อครู่ไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของถังฟั่น

“คุณชายรอง เวลานี้ฮุ่ยเหนียงชี้ว่าท่านบงการให้นางวางยาสังหารเจิ้งเฉิง และสังหารอาของนางเพื่อปิดปาก เป็นความจริงหรือไม่” สุยโจวถาม

เจิ้งจื้อปฏิเสธอย่างชัดเจน “มิใช่เรื่องจริงแน่นอน!”

ฮุ่ยเหนียงร้องไห้โฮ “คนสารเลว เจ้าเป็นคนสั่งให้ข้าทำแท้ๆ เจ้ายังบอกว่ารอเจ้าคนนั้นตายแล้วก็จะรับข้าไป!”

เจิ้งจื้อต่อว่าอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร เจ้าเป็นอนุของพี่ชายข้า ข้าจะมีสัมพันธ์กับเจ้าได้อย่างไร!”

หญิงงามวัยกลางคนแผดเสียงกรีดร้อง “นางแพศยาอย่างเจ้าเที่ยวใส่ร้ายป้ายสีไปทั่ว!”

กล่าวจบก็กระโจนเข้าไปหมายตบหน้าฮุ่ยเหนียง

เมื่อครู่หลิวซื่อฮูหยินของอู่อันโหวก็ทำเช่นนี้ เซวียหลิงไม่สะดวกจะสอดมือ ยามนี้เป็นอนุ เซวียหลิงจึงมิจำเป็นต้องเกรงใจ ปราดเข้าไปผลักนางตรงๆ “องครักษ์เสื้อแพรอยู่นี่ ใครกล้าสามหาว!”

หญิงงามวัยกลางคนถูกผลักจนล้มลงที่พื้น สีหน้าขาวซีด อยากบันดาลโทสะทว่าไม่กล้า จึงหันร่างโผเข้าหาอู่อันโหวแทน นางกอดต้นขาของเขาพลางฟูมฟาย “ท่านโหว ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับเราสองแม่ลูกนะเจ้าคะ!”

อู่อันโหวปวดเศียรเวียนเกล้า จึงรีบดึงนาง “ลุกขึ้นๆ ดูไม่ได้เลย!”

แม้จะกล่าวเช่นนั้น น้ำเสียงกลับนุ่มนวลกว่าตอนที่พูดจากับหลิวซื่อมาก

หลิวซื่อมองอย่างเย็นชา นิ่งเงียบไม่ปริปาก

เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ชุลมุนเพียงนี้แล้ว ถังฟั่นกับสุยโจวยังคงมีสีหน้าเป็นปกติ

“ฮุ่ยเหนียง เจ้าซัดทอดเจิ้งจื้อ มีหลักฐานหรือไม่” ถังฟั่นกล่าว

ฮุ่ยเหนียงตะลึงตาค้าง ไร้คำโต้ตอบ

หญิงงามวัยกลางคนชี้หน้าด่าทอ “ดีมาก เจ้าพูดไม่ออกแล้วใช่หรือไม่! ลูกจื้อของข้าบริสุทธิ์ จะทำร้ายพี่ชายได้อย่างไร มีคนเห็นว่าคุณชายใหญ่ตายแล้ว ไม่พอใจที่ลูกจื้อจะกลายเป็นซื่อจื่อ ฉะนั้นถึงได้บงการให้เจ้าใส่ความลูกจื้อใช่ไหม บอกมา!”

ท่ามกลางวาจากล่าวหาด่าทอมากมาย จู่ๆ ฮุ่ยเหนียงกลับร้องขึ้น “ข้ามีหลักฐาน! ข้ามี!”

นางอกสั่นขวัญหนีกับคำบรรยายของถังฟั่นเมื่อครู่แล้วจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นคุกหลวงของกองปราบฝ่ายเหนือ หรือฝนพรำดอกเหมยน่ารังเกียจอะไรนั่น นางก็ไม่อยากลิ้มรสทั้งสิ้น

“บอกมา” สุยโจวเอ่ย

ฮุ่ยเหนียงกัดฟัน “สะโพกของคุณชายรองมีปานแดง ขนาดครึ่งฝ่ามือ เป็นรูปดอกเหมย!”

เมื่อคำพูดถูกเอ่ย เสียงด่าว่าของหญิงงามวัยกลางคนก็หยุดชะงักไป

ชายหญิงแตกต่าง ปานบนหน้าและมือยังพอว่า แต่ปานบนสะโพก ต้องเป็นผู้ที่ใกล้ชิดเป็นพิเศษ มิฉะนั้นจะล่วงรู้ได้เช่นไร

ฮุ่ยเหนียงเป็นอนุของเจิ้งเฉิง เจิ้งจื้อเป็นน้องชายของเจิ้งเฉิง เดิมทีทั้งสองควรจะไร้ความเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น เวลานี้ฮุ่ยเหนียงกลับรู้ว่าเจิ้งจื้อมีปานที่สะโพก นั่นบ่งบอกถึงอะไร

สุยโจวมองเจิ้งจื้อที่หน้าถอดสี “จริงหรือไม่”

เจิ้งจื้อไม่ตอบ สุยโจวเองก็ไม่ต้องการคำตอบของเขาแล้ว ยกมือขึ้นโบกทันที “จับตัวเขาไว้ คุมตัวกลับกองปราบฝ่ายเหนือ!”

ก่อนจะชี้ฮุ่ยเหนียงแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเองก็ไปด้วย เห็นแก่ที่สารภาพความจริงเมื่อครู่ อนุญาตให้สาวใช้ติดตามไปด้วยหนึ่งคน”

หญิงวัยกลางคนร่ำไห้เสียงดัง ถลาเข้าไปกอดบุตรชายไว้แน่น ไม่ให้ใครเข้าใกล้

เมื่อนางฟูมฟายเช่นนี้ คนรอบข้างบ้างก็ฉุดดึง บ้างก็เอ่ยปราม สถานการณ์เริ่มวุ่นวายอีกครั้ง

“ช้าก่อน!” อู่อันโหวเอ่ยปาก “ใต้เท้าสุย ที่นี่คือจวนอู่อันโหว เจิ้งจื้อเป็นคนของจวนอู่อันโหว ไหนเลยจะยอมให้ท่านพาตัวไปตามอำเภอใจ!”

“ท่านโหว หากตรวจสอบแล้วคุณชายไร้ความผิด ท้ายที่สุดก็ย่อมปล่อยตัว” สุยโจวเอ่ย

อู่อันโหวกล่าวด้วยโทสะ “ท่านอย่าอาศัยบารมีนายวางอำนาจ! ฝ่าบาทให้ท่านสืบคดี มิได้ให้ท่านป่วนจวนอู่อันโหวของข้าจนวุ่นวาย ท่านจะทำอะไรกันแน่! ข้าจะยื่นฎีการ้องเรียนท่าน!”

สุยโจวไม่สะทกสะท้าน “ข้าปฏิบัติตามหน้าที่ ท่านโหวโปรดกระทำเรื่องราวตามสบาย”

อู่อันโหวโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ขณะกำลังจะอ้าปากพูด กลับได้ยินหลิวซื่อผู้เป็นฮูหยินกล่าวขึ้น “ใต้เท้าสุยทำตามหน้าที่เถอะ มีอะไรข้ารับผิดชอบเอง!”

“เจ้า! เจ้ากล้าหรือ!” อู่อันโหวชี้หลิวซื่อ โมโหโกรธาจนพูดจาไม่เต็มประโยค

“เหตุใดข้าจะไม่กล้า ข้าไม่มีสิทธิ์มีเสียงในจวนหรือ” หลิวซื่อมองเขา สายตาเย็นเยียบราวกับมองศัตรู “อย่าลืมว่าข้าเป็นภรรยาเอกของท่านอย่างถูกต้องตามประเพณี ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักเช่นกัน มียศมีตำแหน่ง ในจวนอู่อันโหวแห่งนี้ ข้าเองก็มีอำนาจดูแลกิจในเรือนเหมือนกัน!”

อู่อันโหวตะคอก “เฉิงเอ๋อร์ก็ตายไปแล้ว! คนตายมิอาจฟื้นคืน เจ้าจะทำให้เรือนลุกเป็นไฟจนอยู่ไม่ได้หรือ เช่นนี้มีผลดีกับเจ้าตรงที่ใด!”

หลิวซื่อแค่นหัวเราะเสียงเย็น “เฉิงเอ๋อร์เป็นลูกชายแท้ๆ ของข้า และเป็นลูกชายแท้ๆ ของท่านโหวด้วยเช่นกัน แต่ในสายตาของท่านโหว บุตรชายคนโตจากภรรยาเอกก็ยังมิอาจเทียบบุตรของหญิงแพศยา ในเมื่อพ่อของเฉิงเอ๋อร์ไม่เอาไหน เช่นนั้นก็มีแต่ให้แม่ทวงความยุติธรรมให้บุตรเอง!”

หญิงงามวัยกลางคนร่ำไห้ปานจะขาดใจ ทรุดลงไปคุกเข่าตรงหน้านาง “พี่หญิง! พี่หญิง! ทุกอย่างเป็นความผิดของข้า ท่านก็ละเว้นลูกจื้อเถิด เขาเป็นเด็กดีนะเจ้าคะ! ต่อไปท่านให้ข้าทำอะไร ข้าก็ยอม! พี่หญิง ข้าขอร้องท่าน!”

เมื่ออิสตรีถูกไล่ต้อนถึงขีดสุดมักใจเด็ดดุดันอย่างคาดไม่ถึง หลิวซื่อกระชากคอเสื้อของอีกฝ่าย ตวัดฝ่ามือตบติดกันไปหลายที เล็บยาวบนเรียวนิ้วข่วนลงบนแก้มขาวเนียนของหญิงวัยกลางคนจนทิ้งรอยแดงยาวไว้หลายรอย ก่อนจะบีบคอของอีกฝ่ายแน่น

“นางตัวดี ข้าทนเจ้ามานานแล้ว เอาชีวิตลูกชายข้าคืนมา!”

หญิงวัยกลางคนกรีดร้องเสียงดัง เจิ้งจื้อเองก็พลอยตะโกนด้วย “ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปกับพวกเขา!”

สำหรับองครักษ์เสื้อแพร การขัดขืนดิ้นรนของเขานับว่าไร้ประโยชน์ เพียงสายตาเดียวของสุยโจว คนก็ถูกคุมตัวออกไปด้านนอกแล้ว

เนื่องจากการซัดทอดของฮุ่ยเหนียงเมื่อครู่ นางจึงได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า ยังให้สาวใช้คนหนึ่งประคองติดตามได้ แต่ด้านหลังก็มีองครักษ์เสื้อแพรจับตาเขม็ง ไม่ยอมให้นางหลบหนี

ครั้นถังฟั่นกับสุยโจวออกจากจวนอู่อันโหว เบื้องหลังก็อลหม่าน เสียงดังอึกทึก ทว่าไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาแล้ว

“นางแพศยา! เจ้าไม่ได้ตายดีแน่!” เจิ้งจื้อแผดเสียงตวาดด่า แม้เขาจะถูกคุมตัวอยู่ กลับอยากจะกระโจนเข้าไปขย้ำฉีกทึ้งฮุ่ยเหนียงให้ตาย

คุณชายรองแห่งจวนอู่อันโหวในเวลานี้ไม่เหลือความสุภาพที่เพิ่งปรากฏก่อนหน้านี้อีกแล้ว

สุยโจวย่นคิ้ว “เซ่าปิง”

“คุณชายรอง ล่วงเกินแล้ว!” ได้ยินผู้บังคับบัญชาเรียกหาตนด้วยชื่อรอง เซวียหลิงก็เข้าใจความหมาย ยัดผ้าผืนหนึ่งเข้าปากของเจิ้งจื้อ

โลกกลับคืนสู่ความสงบ

เรื่องราวราบรื่นเหนือความคาดหมาย พอถึงกองปราบฝ่ายเหนือ ยังไม่ทันได้ใช้ทัณฑ์ทรมาน เจิ้งจื้อก็สารภาพหมดเปลือก

คำสารภาพของเขาไม่ต่างจากคำให้การของฮุ่ยเหนียงมากนัก

แม้อู่อันโหวจะไม่มีอำนาจแท้จริงในมือ ทว่าอย่างไรนั่นก็เป็นบรรดาศักดิ์โหวที่สืบทอดสู่ทายาทได้ จึงยังคงมีแรงดึงดูดล่อตาล่อใจ อู่อันโหวคนปัจจุบันบาดหมางกับหลิวซื่อภรรยาเอก กลับรักใคร่โปรดปรานอนุคนงามและเจิ้งจื้อที่เกิดจากนาง ไม่ใช่เพียงครั้งเดียวที่แสดงท่าทีไม่พอใจกับความไม่เอาไหนของบุตรชายคนโตต่อหน้าอนุคนงาม บ่อยครั้งเข้าเจิ้งจื้อจึงใส่ใจไปโดยปริยาย ประกอบกับเจิ้งเฉิงก็เอาแต่เที่ยวเตร่เจ้าสำราญ ต้าหมิงไม่มีกฎห้ามบุตรจากอนุสืบทอดบรรดาศักดิ์ เจิ้งจื้อย่อมต้องคิดว่าเขาเกิดช้ากว่าอีกฝ่ายเพียงสองปี เหตุใดจึงต้องสละยศถาบรรดาศักดิ์ให้ด้วย

เจิ้งเฉิงเป็นคนเหลาะแหละนิสัยแย่ หนำซ้ำยังเอาแต่สำราญหาความสุข สุขภาพจึงทรุดโทรม ส่งผลให้มีบุตรได้ยาก จวบจนวันนี้ก็ไม่มีทายาทแม้แต่คนเดียว ด้วยเหตุนี้เจิ้งจื้อจึงใช้แผนล่อลวงสมคบกับฮุ่ยเหนียง บงการให้นางนำตำรับยาฟู่หยางชุนไปให้เจิ้งเฉิง และเพิ่มไฉหูลงในยาผ่านอาของฮุ่ยเหนียง

เดิมทีฮุ่ยเหนียงเคยได้รับความโปรดปราน ภายหลังเจิ้งเฉิงได้ใหม่ลืมเก่า ในใจนางย่อมขุ่นเคืองเจ็บแค้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นเจิ้งจื้อจึงยิ่งเกลี้ยกล่อมนางได้อย่างง่ายดาย

ตามที่เจิ้งจื้อให้การ เดิมเขาไม่ได้คิดวางแผนสังหารพี่ชาย เพียงแค่อยากทำลายสุขภาพของเจิ้งเฉิง จนไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้อีกอย่างแท้จริง เนื่องจากไฉหูจะทำให้สรรพคุณของฟู่หยางชุนออกฤทธิ์รุนแรงขึ้น ทำให้คนเข้าใจว่าเป็นเพราะพลังหยางขาดพร่องได้ไม่ยาก เท่านี้ตำแหน่งโหวก็ย่อมตกเป็นของเจิ้งจื้อ ใครจะรู้ว่าไม่ได้คุมปริมาณยาให้ดี ฉะนั้นการตายของเจิ้งเฉิงจึงเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย

ไม่ว่าอย่างไรก็มีหลักฐานแน่นหนา เจิ้งจื้อรับโทษตามอาญา ต่อให้อู่อันโหวอยากแก้ต่างให้บุตรชายคนนี้มากเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ อำนาจของสกุลเดิมของหลิวซื่อฮูหยินอู่อันโหวยังอยู่ นางไม่มีทางรามือแน่ ทั้งสองร้องเรียนถึงราชสำนัก ทางสุยโจวเองก็นำหลักฐานและคำให้การขึ้นรายงาน เดิมทีสภาขุนนางตัดสินให้เจิ้งจื้อรับโทษประหาร ทว่าจักรพรรดิทานการวิงวอนร้องขอของอู่อันโหวไม่ไหว สุดท้ายจึงเปลี่ยนโทษตายให้เป็นโทษเป็น เจิ้งจื้อถูกเนรเทศไปเป็นสามัญชนนอกชายแดนทางเหนือ ห้ามกลับเมืองหลวงชั่วชีวิต

คดีดำเนินมาถึงจุดนี้ นับว่าสิ้นสุดลงชั่วคราว ตอนที่ถวายฎีกา สุยโจวถือโอกาสเอ่ยถึงศาลซุ่นเทียนด้วย โดยบอกว่าพวกเขาช่วยสืบคดี เป็นกำลังให้ไม่น้อย

อย่าดูแคลนถ้อยคำที่เอ่ยถึงเล็กน้อยนั้น หลังสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อเป็นต้นมา สถานะของสภาขุนนางก็ทะยานขึ้นไม่หยุด เมื่อดำเนินมาถึงรัชศกนี้ จักรพรรดิไม่ชอบว่าราชกิจ สภาขุนนางจึงแทบแบ่งอำนาจกับจักรพรรดิ

เนื่องจากอาของบิดาสุยโจวเคยดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมทหาร มีศิษย์และสหายทั่วราชสำนัก สภาขุนนางจึงมองเขาดีพอสมควร อีกทั้งความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับพระพันปีโจว อาศัยความสัมพันธ์สองทางนี้ วาจาของสุยโจวประโยคเดียวจึงมีน้ำหนักกว่าวาจาสิบประโยคของผู้อื่น จักรพรรดิย่อมต้องยินยอมฟัง ท้ายที่สุดความรับผิดชอบของศาลซุ่นเทียนเองก็ยุติไปโดยปริยาย

เมื่อประสบโชคดี อารมณ์ย่อมเบิกบาน พันปินไม่ต้องถูกปลด ไม่ต้องถูกตัดเบี้ยหวัดเนรเทศไปต่างแดน เพียงแค่ถูกว่ากล่าวตักเตือนสถานเบาเท่านั้น ดั่งลมเย็นพัดผ่านริมหู ไร้ปัญหาให้กังวล เขายินดีปรีดายิ่ง ทิ้งความหวาดหวั่นพรั่นพรึงในช่วงก่อน เรียกถังฟั่นไปหาแล้วกล่าว “รุ่นชิงเอ๋ย โชคดีที่มีเจ้า คดีนี้ถึงได้กระจ่าง ศาลซุ่นเทียนของเราจึงไม่ได้ถูกเรียกหาความรับผิดชอบอีก!”

“เพราะฝ่าบาททรงเมตตาและนายกองสุยมีน้ำใจ ไม่เกี่ยวกับรุ่นชิง ข้ามิกล้าถือว่าเป็นความดีความชอบของตนเอง!” ถังฟั่นกล่าว

พันปินพอใจกับท่าทีอ่อนน้อมรอบคอบเช่นนี้ของอีกฝ่ายมาก เขาพยักหน้าพลางลูบหนวด สีหน้าเปื้อนยิ้ม “เจ้าเองก็ถ่อมตัวเกินไป อย่างไรคดีนี้เจ้าก็ร่วมสืบสวนด้วย ข้าได้ยินว่าในฎีกาของสุยโจวก็เอ่ยถึงเจ้า ผลงานนี้ย่อมควรค่าแก่เจ้า! ข้าแยกแยะเรื่องงานและส่วนตัว เมื่อมีผลงานย่อมตกรางวัล มีความผิดย่อมลงอาญา ในเมื่อเจ้ามีผลงาน บอกมาเถอะ เจ้าอยากได้อะไร”

รองผู้พิพากษาแห่งศาลซุ่นเทียนเว่ยอวี้นั่งอยู่ข้างๆ กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “คดีอู่อันโหวปิดลงได้ครั้งนี้ รุ่นชิงติดตามวิ่งวุ่นไปทั่ว นับว่าลำบากแล้ว!”

“ข้าไม่มีอะไรอยากได้ ใต้เท้าชมเกินไป” ถังฟั่นยังคงถ่อมตัว

พันปินตบเข่าฉาด “อย่างนี้แล้วกัน พวกเราเคยพนันกันไม่ใช่หรือ ข้ายังติดค้างบะหมี่หน้าเนื้อสับเจ้าอยู่ชามหนึ่ง โอกาสเหมาะมาถึงแล้ว อีกเดี๋ยวเลิกงาน ข้าจะเลี้ยงบะหมี่เจ้าเอง!”

แม้ถังฟั่นจะรู้ว่าศิษย์พี่พันผู้นี้ตระหนี่ถี่เหนียวเล็กน้อย ทว่าตระหนี่ถึงเพียงนี้ก็ชวนให้เปิดหูเปิดตาจริงๆ

เขามองเว่ยอวี้ที่อยากขำแต่ไม่กล้าขำอย่างอ่อนใจแวบหนึ่ง ก่อนแย้มรอยยิ้มดีใจ “เช่นนั้นก็ขอบคุณใต้เท้าแล้ว!”

เว่ยอวี้ถูมือ กระแอมสองเสียง “ใต้เท้า ไม่ทราบว่าข้าเสวียนจางจะมีวาสนาได้ลิ้มลองบะหมี่น้ำที่ใต้เท้าเลี้ยงด้วยหรือไม่”

พันปินมองเขาแวบหนึ่ง “เสวียนจางเอ๋ย เจ้าทำไม่ถูกแล้ว จะว่าไปเจ้ามาประจำการที่ศาลซุ่นเทียนช้ากว่ารุ่นชิงด้วยซ้ำ เราสองคนยังไม่ได้ดื่มสุราเลื่อนตำแหน่งของเจ้าเลย!”

เว่ยอวี้แสนกลุ้ม อยู่เฉยก็ยังมีเรื่องเข้าตัวได้ เขาเพียงตามน้ำขอบะหมี่กินด้วยชามหนึ่ง ไฉนจึงกลายเป็นติดค้างอาหารสังสรรค์มื้อหนึ่งเสียได้ ผู้ว่าการผู้นี้หาทางลงเก่งเกินไปแล้ว!

“แน่นอนๆ หากใต้เท้ากับรุ่นชิงให้เกียรติ เราไปกันวันนี้เลย!”

“เช่นนั้นก็ไม่ไปร้านบะหมี่ที่รุ่นชิงบอกแล้วใช่หรือไม่” พันปินถาม

“ไม่ไปแล้วๆ สุราเลื่อนตำแหน่งย่อมต้องไปที่โรงเตี๊ยมเซียนเค่อ ข้าจะไปจองที่เดี๋ยวนี้!”

ถังฟั่นมองสีหน้าที่เหมือนกินแมลงวันเข้าไปของเว่ยอวี้แล้วก็หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง

ทั้งสามต่างก็เตรียมชุดปกติไว้ในจวนว่าการ เมื่อเลิกงานแล้วจึงผลัดเปลี่ยนชุด มุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมเซียนเค่อ

พันปิน เว่ยอวี้และถังฟั่นล้วนเป็นขุนนางจากการสอบรับราชการ พันปินเป็นศิษย์พี่ของถังฟั่น ส่วนเว่ยอวี้นั้นเป็นจิ้นซื่อในรัชศกเฉิงฮว่าปีที่แปด เมื่อปราศรัยกันย่อมมีหัวข้อสนทนาถูกคอกันไม่น้อย แม้ปกติพันปินจะชอบวางท่า นิสัยตระหนี่และคิดเล็กคิดน้อย แต่เขาไม่เพียงเป็นผู้บังคับบัญชาของเว่ยอวี้กับถังฟั่น ยังเป็นรุ่นพี่ในแวดวงขุนนาง มีประสบการณ์มากกว่าทั้งสอง มีข้อให้ชี้แนะอบรมได้เหลือเฟือ ฉะนั้นข้าวมื้อนี้ ทุกคนจึงสรวลสันต์หรรษา รื่นเริงกันทั้งแขกและเจ้าภาพ

ตอนที่พวกเขาออกจากโรงเตี๊ยมสุรา ฟ้ายังไม่มืด เพิ่งจะกลางยามโหย่ว* เท่านั้น ยังไม่ถึงยามวิกาลต้องห้าม

พันปินกับเว่ยอวี้มีคนจากที่เรือนมารออยู่ พาทั้งสองกลับบ้าน ถังฟั่นอาศัยอยู่ตัวคนเดียว ปราศจากทั้งผู้อารักขาและไม่จำเป็นต้องมีเด็กรับใช้ เห็นฟ้ายังไม่มืด หลังจากส่งทั้งสองไปจากโรงเตี๊ยมแล้วก็เดินกลับบ้านตามลำพัง

ก่อนหน้าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ราคาค่าบ้านนั้นไม่ถูก โดยเฉพาะบ้านในเมืองหลวง ทุกชุ่น** ล้วนมีค่าดั่งทอง จักรพรรดิก็แสนตระหนี่ นับตั้งแต่จักรพรรดิหงอู่ เบี้ยหวัดที่ได้ก็ไม่มาก ขุนนางต่างถิ่นมากมายที่มารับราชการในเมืองหลวงไร้กำลังซื้อหาคฤหาสน์อาศัย ตำแหน่งก็มิได้สูงถึงขั้นที่ราชสำนักประทานเรือนหลวง จำต้องล่องลอยไปมาในเมืองหลวงเช่นเดียวกับถังฟั่น…ลงท้ายด้วยการเช่าเรือนอยู่ ขุนนางบางคนสภาพแย่ยิ่งกว่า ถึงขั้นต้องขออาศัยในเรือนของสหายร่วมงาน พูดแล้วก็พานน้ำตาร่วงรินด้วยความปวดร้าว

ที่ที่ถังฟั่นเช่าอาศัย การสัญจรสะดวกและไม่ไกลจากจวนว่าการ หากไม่ใช่เพราะเรือนนั้นเป็นคฤหาสน์พร้อมสวนเล็กๆ ที่สกุลหลี่กั้นออกมาด้วยกลัวว่ามีวิญญาณสิงสู่จนไม่อาจร่วมอาศัยได้ ก็ไม่มีทางตกมาให้ถังฟั่นเช่าอยู่แล้ว

เมืองหลวงในยามพลบค่ำเต็มไปด้วยมวลเมฆสะท้อนแสงอาทิตย์อัสดง ร้านแผงลอยขายขนมร้องเรียกลูกค้า ผู้คนที่เรียกบุตรหลานกลับไปกินข้าวที่เรือน ผู้คนที่รู้จักมักคุ้นทักทายสนทนากัน คึกคักอึกทึก อบอวลด้วยกลิ่นอายชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง

ตอนที่ถังฟั่นเดินเข้าสู่ตรอกหลิ่วเย่ก็เห็นอาซย่า สาวใช้สกุลหลี่ก้าวออกจากคฤหาสน์ เตรียมไปเคาะประตูบ้านเขาพอดี

“อาซย่า?”

อาซย่าหันกลับมา กล่าวด้วยความดีใจ “ใต้เท้าถัง ท่านเพิ่งกลับหรือ”

ถังฟั่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่ เพิ่งกลับจากข้างนอกมาเมื่อครู่ นี่เจ้า?”

“วันนี้เป็นวันต้าสู่ที่อากาศร้อนที่สุด นายหญิงสั่งให้คนทำของว่างไว้ เลยให้ข้าแบ่งมาให้ใต้เท้าถังด้วย”

“ไยจึงต้องลำบากเช่นนี้ ข้าเพิ่งกินข้าวเสร็จ เจ้านำกลับไปเถิด ฝากขอบคุณนายหญิงด้วย”

อาซย่าร้อนรน “หากใต้เท้าถังไม่ยอมรับไว้ ข้าจะกลับไปรายงานอย่างไร หากใต้เท้าจะบอกปัดก็ไปบอกนายหญิงด้วยตนเองเถิด!”

นางมักใช้ไม้นี้ทุกครั้ง ถังฟั่นย่อมปฏิเสธลำบาก เขาเป็นบุรุษ ต่อให้มีไมตรีกับสกุลหลี่อยู่บ้างก็ไม่สะดวกไปพบฮูหยินของผู้อื่นบ่อยๆ เนื่องจากเจ้าบ้านไม่อยู่ ในสกุลหลี่เวลานี้นอกจากเด็กอายุสิบสองสิบสามแล้ว ล้วนมีแต่สตรีและคนชรา จึงต้องพยายามเลี่ยงเข้าไว้ แต่อาซย่าเป็นสาวใช้ ไม่มีอะไรให้ต้องเลี่ยง

ถังฟั่นเปิดประตูให้นางเข้าไป และเห็นสีหน้าของนางดูหม่นหมองเล็กน้อย จึงเอ่ยถาม “แม่นางอาซย่า เจ้าเป็นอะไรหรือ”

ยามที่นายหญิงสกุลหลี่มีสิ่งของอะไรจะให้ ปกติแล้วมักให้อาซย่าเป็นคนมาส่ง บ่อยครั้งเข้าจึงคุ้นเคยกัน อาซย่าอารมณ์หมองมัว กำลังอยากระบาย เห็นเขาเอ่ยถามก็เล่าเสียงเบา “หลายวันนี้ นายหญิงได้รับจดหมายที่นายท่านส่งมา บอกว่าตอนที่ค้าขายอยู่ข้างนอก นายท่านรับอนุภรรยาคนหนึ่ง หนำซ้ำหญิงผู้นั้นยังตั้งครรภ์แล้ว นายหญิงกำลังไม่พอใจกับเรื่องนี้มาก บ่าวรับใช้อย่างพวกเราจึงย่อมต้องระวังให้มาก หวังแค่นายหญิงจะทำใจได้!”

สำหรับเรื่องส่วนตัวในครอบครัวเช่นนี้ ถังฟั่นไม่สนใจนัก ทว่าเขายังคงปลอบประโลมอาซย่า “วาจาเจ้ามีน้ำหนักมากที่สุดกับนายหญิง ก็ปลอบโยนเกลี้ยกล่อมนางเสียหน่อย อย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป”

สีหน้าของอาซย่าดีขึ้นเล็กน้อย นางมองตะกร้าที่ตนเองนำมา พวงแก้มพลันขึ้นสีระเรื่อ “อากาศร้อนนัก ขนมเก็บไว้นานไม่ได้ ใต้เท้าถังโปรดรีบกินนะเจ้าคะ อาซย่าขอตัว”

“แม่นางอาซย่า!” ถังฟั่นร้องเรียกนางไว้

อาซย่าหันร่างกลับมา “ใต้เท้าถังมีอะไรหรือ”

“ขนมตะกร้านี้มิใช่นายหญิงให้เจ้าส่งมาใช่หรือไม่”

“ไยใต้เท้าจึงกล่าวเช่นนั้น หากไม่ใช่นายหญิงให้มา ข้าหรือจะกล้ามาโดยพลการ”

“น้ำใจของแม่นาง ข้ารับไว้แล้ว เพียงแต่ขนมตะกร้านี้ เจ้าเอากลับไปเถอะ”

อาซย่าร้อนรนจนแทบร้องไห้ จำต้องยอมบอกความจริง “ใต้เท้าถังอย่าเข้าใจผิด ขนมนั้นนายหญิงให้ข้าเอามาส่งจริงๆ ข้าเพียงแต่ใส่เหอเปา* เพิ่มลงไป!”

ถังฟั่นยื่นมือเข้าไปควานในตะกร้า แล้วก็พบเหอเปาสีชมพูอันหนึ่งอยู่ใต้ขนม บนเหอเปาปักลายดอกเสาเย่า** ดูออกว่าฝีมือไม่เลว ทำเอาบุรุษหนุ่มหัวเราะมิได้ ร้องไห้มิออก

สาวน้อยมอบเหอเปา นัยชัดเจนโดยไม่ต้องกล่าว เพียงแต่อาซย่าไม่ได้ตรองดูว่าถังฟั่นเป็นใคร เขาเป็นถึงผู้พิพากษาแห่งศาลซุ่นเทียน สายตาเฉียบแหลมกว่าผู้อื่นหลายเท่า ท่าทีหลบสายตาเมื่อครู่ของนาง ย่อมไม่อาจรอดพ้นสายตาถังฟั่นไปได้

อาซย่าก้มหน้างุด “เหอเปานี้ข้าใส่ลงไปเอง หากใต้เท้าไม่รังเกียจ ข้ายะ…ยินดีเป็นบ่าวรับใช้ใต้เท้า คอยปรนนิบัติอยู่ใกล้ชิด”

ในที่สุดนางก็รวบรวมความกล้าสารภาพความในใจ กล่าวถึงตอนท้าย พวงแก้มก็แดงปลั่ง ดวงหน้าก้มงุดแทบชิดติดกับหน้าอก ไม่กล้ามองถังฟั่นแม้เพียงแวบเดียว

ถังฟั่นนิ่งเงียบครู่หนึ่ง “ขอบคุณน้ำใจของแม่นางอาซย่า ขนมข้าจะรับไว้ แต่เหอเปานั้นแม่นางโปรดนำกลับไปเถิด และต่อไปแม่นางก็อย่ามาอีกเลย”

อาซย่าเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงรื้น “ใต้เท้าคงเห็นว่าข้าไร้ยางอาย ทึกทักเสนอตัว ดูแคลนที่ข้าเป็นคนฐานะต่ำต้อยใช่หรือไม่”

ถังฟั่นส่ายหน้า “ข้าเป็นเพียงขุนนางจนๆ ไร้เงินทองติดตัว ทั้งยังไร้สมบัติพัสถาน เบี้ยหวัดเองก็พอเลี้ยงแค่ปากท้อง ไม่ควรคู่ให้แม่นางอาซย่ามีใจกับข้าเช่นนี้ ด้วยนิสัยและรูปลักษณ์อย่างแม่นาง ต่อไปต้องหาคู่ครองที่ดียิ่งกว่าได้แน่”

“ใต้เท้าถังอย่าหลอกข้าเลย ฐานะอย่างข้า จะหาคู่ครองที่ดีอะไรได้ หากท่านยอมรับข้าไว้ ต่อให้เป็นแค่บ่าวรับใช้ปัดกวาดเช็ดถู อาซย่าก็ยินดียิ่งแล้ว! ความรักที่ข้ามีให้ใต้เท้า ฟ้าดินเป็นพยานได้!”

อาซย่านับว่าหน้าตาไม่เลว อีกทั้งนางยังเป็นฝ่ายเข้าหาเอง ตามหลักแล้วบุรุษทั่วไปย่อมไม่มีทางผลักไสแน่นอน มิหนำซ้ำขอเพียงถังฟั่นเอ่ยปากกับนายหญิงสกุลหลี่ ด้วยฐานะของเขาและความสัมพันธ์กับสกุลหลี่ นายหญิงสกุลหลี่ไม่มีทางรั้งตัวสาวใช้คนหนึ่งไว้แน่ แม้บรรพบุรุษสกุลหลี่จะรับราชการเป็นขุนนาง ทว่าทายาททำการค้ามาหลายรุ่น กลายเป็นสกุลสามัญชนไปนานแล้ว หากสามารถสานสัมพันธ์กับถังฟั่นที่มีอนาคตไกลผ่านสาวใช้คนหนึ่งได้ นายหญิงสกุลหลี่เองย่อมยินดีให้สมปรารถนา

แต่ถังฟั่นไม่สนใจเรื่องรับสาวใช้คนงามเป็นอนุ ในเมื่อไร้ความสนใจ สู้ปฏิเสธไปเสียจะดีกว่า ไยต้องให้คนเขาเฝ้ารอความหวัง เพิ่มปัญหาโดยไม่จำเป็นด้วยเล่า

ฉะนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับคำวิงวอนและคำสารภาพอ้อมค้อมของอาซย่า ถังฟั่นก็ยังคงกล่าว “แม่นางอาซย่า เรื่องวันนี้ข้าจะไม่บอกใคร เหอเปานี่เจ้าเอากลับไปเถิด ข้าจะพักผ่อนแล้ว”

อาซย่าเห็นเขาไร้ท่าทีหวั่นไหว ซ้ำยังไม่มาช่วยพยุงนางสักนิด จึงรู้ว่าอยู่ต่อก็ไร้ประโยชน์ นางซับน้ำตาและลุกขึ้นยืน “เป็นเพราะอาซย่าไร้มารยาท ล่วงเกินใต้เท้า ขอใต้เท้าโปรดอภัยด้วย”

“ไม่เป็นไร แม่นางอาซย่ามิต้องมากพิธี” ถังฟั่นเอ่ย

อาซย่าคำนับ มือกำเหอเปาใบนั้นไว้ ในใจทั้งผิดหวังทั้งอับอาย จึงไม่ได้กล่าวลาตามมารยาท ก้มหน้างุดหันร่างจากไปทันที

 

นับตั้งแต่รัชสมัยจักรพรรดิอิงจง สถานะของสำนักการศึกษาก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ ราชสำนักกำหนดธรรมเนียมลับๆ ว่า ‘มิใช่ราชบัณฑิตห้ามเข้าสภาขุนนาง’ ขึ้น ถังฟั่นรูปงาม ซ้ำยังเป็นขุนนางจากสำนักราชบัณฑิต ฐานะนับว่าสูงศักดิ์ แม้เวลานี้ยังเป็นเพียงขุนนางเมืองหลวงขั้นเล็ก แต่ใครก็บอกไม่ได้ว่าภายภาคหน้าเขาจะดำรงตำแหน่งใหญ่โต เป็นเสนาบดีหรือไม่ ผู้ปราดเปรื่องมากปัญญาเช่นนี้ หาได้มีเพียงอาซย่าที่รักใคร่ชื่นชม เรียกได้ว่าเนื้อหอมจนแม่สื่อเข้ามาไม่ขาดสาย

อาซย่าเองก็เข้าใจข้อนี้ นางรู้ว่าด้วยสถานะบ่าวของนาง ย่อมไม่คู่ควรกับถังฟั่น ทว่าเป็นภรรยาเอกไม่ได้ อนุรับใช้นั้นอย่างไรก็เป็นได้ นางไม่ขอให้ถังฟั่นรับนางเป็นอนุอย่างถูกต้องตามประเพณีด้วยซ้ำ ขอเพียงได้รับความอ่อนโยนบ้าง อาซย่าก็พอใจแล้ว

แต่ต่อให้เป็นความปรารถนาเล็กน้อยถึงเพียงนี้ ถังฟั่นก็ยังไม่ตอบรับ

นางเจ็บปวดเสียใจ รู้สึกว่าไม่มีหน้าอยู่ต่อแล้ว จึงเปิดประตูพรวดพราดออกไป ไหนเลยจะคิดว่ามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า หากไม่ใช่เพราะนางหลบได้ไวคงชนเข้าอย่างจัง

อาซย่าเงยหน้าขึ้นด้วยความตระหนก เมื่อตั้งสติมองก็พบว่าคนผู้นี้ค่อนข้างคุ้นหน้า เป็นองครักษ์เสื้อแพรที่มาหาถังฟั่นหนก่อน

นางยังตั้งตัวไม่ทัน จึงเอาแต่มองอีกฝ่ายนิ่งๆ

อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะมองนาง ยกมือขึ้นเคาะประตู

อาซย่าสงสัยว่าเขาจะได้ยินเรื่องที่นางกล่าวกับถังฟั่นในลานสวนหมดแล้ว จึงทั้งโกรธทั้งอาย นางเร่งฝีเท้ากลับคฤหาสน์สกุลหลี่ที่อยู่ติดกันพร้อมความตระหนกลนลานเล็กน้อย

ด้านถังฟั่นเมื่อส่งคนกลับแล้วก็ไปดูตะกร้าใบนั้น

เมื่อครู่อาซย่าอยู่ เขาต้องรักษากิริยา ยามนี้นางไปแล้วย่อมหมดห่วง

ฝีมือของพ่อครัวสกุลหลี่ถังฟั่นเคยได้ลิ้มรสแล้ว เวลานี้เห็นขนมฝูหลิง* กับซานเย่า** ราดน้ำบ๊วยในตะกร้า ก็หยิบซานเย่าจานนั้นออกมา หยิบเข้าปากชิ้นหนึ่ง

ซานเย่าหั่นเป็นชิ้นยาวแล้วแช่เย็น จากนั้นราดด้วยน้ำบ๊วย รสชาติเปรี้ยวหวานสดกรอบ ทั้งเรียกน้ำย่อยและคลายร้อน

กินหมดไปชิ้นหนึ่งกลับหยุดไม่ได้ จึงหยิบอีกชิ้น

ใต้เท้าถังหิ้วตะกร้าขึ้นอย่างชื่นมื่น เตรียมนำกลับไปดื่มด่ำในเรือน

เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้น

ถังฟั่นคิดว่าอาซย่าย้อนกลับมาจึงขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่อยากให้ความหวังที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดกับสาวน้อยคนนั้นแม้แต่นิดเดียว จำต้องวางตะกร้าลง เดินออกไปหวังจะลงไม้ขัดประตู

ปรากฏว่าผู้ที่อยู่ด้านนอกคล้ายรอจนเริ่มหงุดหงิดแล้ว จึงผลักประตูเปิดออกเสียเอง

ถังฟั่นที่ปากยังคาบซานเย่าราดน้ำบ๊วยนิ่งอึ้ง

สุยโจวยืนอยู่ด้านนอก

ถังฟั่นโล่งอกไปเปลาะ “นายกองสุยนี่เอง รีบเข้ามาเถอะ!”

เขามองด้านหลังของสุยโจวแวบหนึ่ง ดีมาก ไม่มีใครแล้ว

“นายกองสุยกินอาหารค่ำแล้วหรือยัง จะกินสักหน่อยหรือไม่” ใต้เท้าถังซื้อน้ำใจอีกฝ่ายด้วยของของผู้อื่นอย่างสง่าผ่าเผย

กลางคืนอากาศเย็นสบาย ได้กลิ่นหอมของซานเย่าเบาบาง สุยโจวมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนหยิบซานเย่าชิ้นหนึ่งเป็นมารยาท

กัดไปคำหนึ่งเขาก็พยักหน้า “ไม่เลว”

ถังฟั่นหัวเราะครืน “ฝีมือทำขนมของพ่อครัวคฤหาสน์ข้างๆ ดีกว่าของพ่อครัวโรงเตี๊ยมเซียนเค่อหลายเท่า นายกองสุยเชิญเข้ามาข้างในก่อน ขนมนี่ต้องกินคู่กับน้ำชาถึงจะเหมาะ!”

หนก่อนสุยโจวก็มาหาถังฟั่น กลับไม่ได้เข้าเรือน เพียงแค่นั่งในสวนเท่านั้น เวลานี้ทั้งในและนอกเรือนไร้คนอื่น จึงเอ่ยถาม “ใต้เท้าถังอยู่คนเดียวหรือ”

ถังฟั่นต้มน้ำชงชา กล่าวหยอกเย้าตนเอง “ใช่ ข้าอิ่มคนเดียวก็ถือว่าอิ่มกันทั้งบ้าน ที่นี่โกโรโกโสไปสักหน่อย และไม่ได้เตรียมชุดชาชั้นดีไว้ ปกติข้าดื่มอยู่คนเดียว หวังว่านายกองสุยจะไม่รังเกียจ ใบชานั้นพอใช้ได้ แม้จะไร้ชื่อ แต่ก็เป็นชาที่เด็ดมาจากต้นชาในป่า มา ชิมดู!”

สุยโจวยกชาร้อนขึ้น ดมกลิ่นหอมกรุ่นของชา ก่อนจิบชิมลิ้มรส แล้วพยักหน้าเบาๆ “ขมทว่าไม่ฝาด เป็นชาชั้นดี”

ถังฟั่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คราวนี้ได้ฎีกาของท่านช่วยไว้มาก จึงทำให้สภาขุนนางยอมละเว้นความผิดของศาลซุ่นเทียน ข้ายังไม่ได้กล่าวขอบคุณนายกองสุย วันหน้าหากมีเวลา โปรดให้เกียรติให้ข้าเลี้ยงข้าวสักมื้อ!”

“ก่วงชวน” จู่ๆ สุยโจวก็เอ่ยขึ้น

ถังฟั่นสะอึกอึ้ง “หืม?”

“นามรองของข้าคือก่วงชวน”

ถังฟั่นเข้าใจแล้ว “ในเมื่ออย่างนั้น ท่านเองก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าใต้เท้าถังแล้ว เรียกข้าว่ารุ่นชิงก็พอ”

สุยโจวพยักหน้า

“แม้ตอนนี้ตำแหน่งข้าจะสูงกว่าท่านครึ่งขั้น แต่ด้วยความสามารถของท่าน การเลื่อนตำแหน่งก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น หนนี้ที่ศาลซุ่นเทียนรอดอาญาได้ ดีว่าได้ท่านช่วยเหลือ ใต้เท้าพันเองก็วานให้ข้ามาขอบคุณท่าน”

สุยโจวไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ “หากไม่มีเจ้า พันปินก็เป็นเพียงขุนนางไม่เอาไหน เดิมควรลดขั้นและย้ายตำแหน่งด้วยซ้ำ”

ถังฟั่นหัวเราะ “อันที่จริงความสามารถของใต้เท้าพันไม่ถือว่าเลว เพียงแค่อยู่ในแวดวงขุนนางมานาน เวลาใคร่ครวญอะไรย่อมพะว้าพะวังมากไปบ้าง ไม่แน่อีกหลายปีข้างหน้า ข้าเองก็อาจเป็นเหมือนเขา…แต่ว่าไปแล้ว ข้ารู้สึกว่าคดีนี้ยังไม่ถือว่าสิ้นสุด”

ถังฟั่นเปลี่ยนหัวข้อ สุยโจวก็ตอบพลัน

“เรื่องจุดลมปราณไป่ฮุ่ย”

สนทนากับคนฉลาดนั้นแสนเบาใจ ถังฟั่นพยักหน้า “ถูกต้อง แม้เจิ้งจื้อกับฮุ่ยเหนียงจะยอมรับผิดแล้ว แต่คดีนี้ยังมีจุดน่าสงสัยจุดหนึ่ง รอยบุ๋มตรงจุดไป่ฮุ่ยของเจิ้งเฉิงยังคงไร้คำอธิบายที่สมเหตุสมผล”

“ข้าสอบปากคำฮุ่ยเหนียงแล้ว นางไม่รู้ว่าบนตัวเจิ้งเฉิงมีบาดแผลลักษณะนี้ ตามคำให้การของนาง เจิ้งเฉิงไม่ได้ไปที่เรือนของนางนานแล้ว เรื่องนี้คนอื่นๆ ในจวนโหวเป็นพยานได้” สุยโจวกล่าว

“ก่อนหน้านี้พวกเราเคยหารือกันแล้ว คนคนหนึ่งไม่มีทางที่ถูกเคาะจุดไป่ฮุ่ยในยามมีสติแล้วจะไม่รู้ตัว ฉะนั้นคนคนนี้ย่อมมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจิ้งเฉิง อย่างน้อยต้องมีเวลาช่วงหนึ่งที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขา ด้วยเงื่อนไขนี้ ฮุ่ยเหนียงไม่สอดคล้อง เจิ้งจื้อยิ่งเป็นไปไม่ได้”

สุยโจวถาม “ในใจเจ้ามีตัวเลือกหรือไม่”

“ผู้ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขมีไม่มาก แต่ก็ใช่ว่าน้อย ในจวนอู่อันโหว อวี้เหนียงอนุภรรยาของเจิ้งเฉิงก็คือหนึ่งในนั้น ได้ยินเจิ้งฝูบอกว่าเจิ้งเฉิงยังมีอนุนอกสกุล ระยะนี้เขาเองก็ไปที่หอนางโลมบ่อยๆ ฉะนั้นคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ต้องสงสัยทั้งสิ้น” ถังฟั่นตอบ

สุยโจวย่นคิ้ว “แต่คนเหล่านั้นต่างไม่มีแรงจูงใจที่เหมาะสม ว่าไปแล้วอวี้เหนียงน่าสงสัยที่สุด เสียดายที่คนของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรถอนกำลังจากจวนอู่อันโหวแล้ว แต่ถ้าจำเป็น ข้าจะส่งคนไปจับตาไว้”

ถังฟั่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ยังไม่จำเป็น แม้ศาลซุ่นเทียนจะมีกำลังไม่มากเท่ากองปราบฝ่ายเหนือ แต่ในบางโอกาสก็พอจะทำประโยชน์ได้ ตั้งแต่ตอนที่รื้อคดีอีกครั้ง ข้าก็จัดสรรกำลังไปเฝ้าแล้ว รออีกสักระยะก็อาจมีเบาะแส”

สุยโจวเห็นเขากล่าวอย่างมั่นใจ จึงไม่ได้ซักถามต่อ ก้มหน้าดื่มชากินขนม

แม้สุยโจวจะเงียบขรึมพูดน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่พูดเลย เขาทำงานอยู่ที่กองปราบฝ่ายเหนือนานกว่าช่วงเวลาที่ถังฟั่นเป็นผู้พิพากษา และเคยสืบสวนคดีไม่น้อย ประสบการณ์บางอย่างของเขามีค่าให้ถังฟั่นร่ำเรียนเอาอย่าง ฉะนั้นซักถามแลกเปลี่ยนความเห็นกัน เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ระหว่างสนทนาสัพเพเหระ ขนมฝูหลิงหนึ่งจานและซานเย่าราดน้ำบ๊วยอีกหนึ่งจานก็หมดลงโดยไม่รู้ตัว

ทั้งสองพร้อมใจกันยื่นมือไปยังขนมฝูหลิงชิ้นสุดท้าย

ในฐานะเจ้าบ้านย่อมไม่ควรแย่งกับแขก ถังฟั่นดึงมือกลับอย่างไม่เต็มใจนัก มองขนมฝูหลิงอันน่ารักชิ้นนั้นอีกแวบ

แววตานั้นอาลัยอาวรณ์เหมือนที่แม่นางอาซย่ามองเขาเมื่อครู่ไม่มีผิดเพี้ยน

สุยโจวนิ่งเงียบ

 

กล่าวถึงอาซย่า นางกลับไปถึงเรือนของนายหญิงสกุลหลี่อย่างหนักอกหนักใจ พบอาชุนเปิดม่านกั้นเดินออกมาจากด้านในพอดี อีกฝ่ายเห็นนางแล้วก็กล่าวอย่างไม่พอใจ “เหตุใดเจ้าถึงไปส่งขนมนานเช่นนี้ นายหญิงกำลังรอเจ้าอยู่แน่ะ!”

นายหญิงสกุลหลี่แซ่จาง แม้อายุล่วงเลยวัยห้าสิบแล้ว แต่ก็บำรุงดูแลได้ดีพอสมควร อย่างน้อยเทียบกับคนในวัยเดียวกันที่โรยราก่อนวัยนั้นนับว่าไม่เลว ทว่าบริเวณหางตามีริ้วรอยมากมายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง รูปร่างท้วมเล็กน้อย ใบหน้ามีเมตตา เห็นอาซย่าเดินเข้ามาแล้วก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ไปส่งขนมแล้วหรือ”

อาซย่าย่อตัวคำนับ “เจ้าค่ะ ใต้เท้าถังชอบมาก บอกว่าลำบากนายหญิงแล้ว ฝากข้าขอบคุณท่าน”

จางซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าถังเองก็ช่วยพวกเรามาไม่น้อย ปกติพวกเราก็ส่งแต่อาหารไป ไหนเลยจะเรียกว่าลำบากได้ อาซย่า เจ้ามานี่ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”

อาซย่ารีบเดินเข้าไป เห็นจางซื่อเอาแต่มองตนจึงเริ่มใจคอไม่ดี นางเอ่ยเสียงเบา “นายหญิงมีอะไรให้บ่าวรับใช้หรือเจ้าคะ”

จางซื่ออมยิ้ม “ไม่ต้องตระหนกไป ข้าถามเจ้า เจ้ามีใจชอบใต้เท้าถังที่อยู่เรือนถัดไปใช่หรือไม่”

อาซย่าใจหายวาบ กล่าวตะกุกตะกัก “นะ…นายหญิง”

“เจ้าบอกมาตามตรงก็พอ อย่างไรข้าก็ไม่ทำร้ายเจ้า ใช่หรือไม่”

อาซย่าตอบเสียงเบาเหมือนยุง “ใช่เจ้าค่ะ…”

จางซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี ใต้เท้าถังรับราชการอยู่เมืองหลวงตามลำพัง ข้างกายไร้คนคอยดูแล ปีนี้เจ้าเองก็อายุสิบเจ็ดแล้ว สมควรออกเรือนแต่งงานได้แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้ามีใจต่อใต้เท้าถัง แต่ด้วยฐานะของเจ้า จะแต่งเป็นภรรยาเอกของเขาน่ากลัวจะยากไป หากเป็นอนุก็ไม่น่าจะมีปัญหา เจ้าสะสวย หลายปีนี้ก็เรียนรู้จากข้าไปไม่น้อย หากคืนสัญญาขายตัวเป็นบ่าวให้เจ้า เจ้าออกเรือนไปเป็นนายหญิงในสกุลเล็กๆ ก็นับว่าสมฐานะ ข้าไม่รู้ความคิดของเจ้า จึงได้เรียกเจ้ามาถาม ว่าเจ้ายินดีรับใช้ใต้เท้าถัง หรือออกเรือนแต่งงาน”

อาซย่านึกถึงเรื่องที่ตนเพิ่งถูกปฏิเสธเมื่อครู่ ก็กล่าวด้วยสีหน้าแดงก่ำว่า “เมื่อครู่บ่าวไม่รู้จักอาย ได้บอกกล่าวความในใจกับใต้เท้าถังแล้วเจ้าค่ะ!”

จางซื่อประหลาดใจ “เจ้านี่นะ แต่มีอะไรต้องอายกัน เมื่อถึงวัยสมควรบุรุษย่อมแต่งภรรยา สตรีย่อมออกเรือน ข้าเห็นเจ้ามาตั้งแต่เล็ก ไม่เฉพาะเจ้า ยังมีพวกอาชุน อาชิว ข้าล้วนอยากเห็นพวกเจ้ามีคู่ชีวิตที่ดี เอาล่ะ รีบลุกขึ้นเร็ว ใต้เท้าถังว่าอย่างไร”

อาซย่ายังคงคุกเข่า น้ำตาที่สะกดกลั้นไว้ไหลริน กอดขาของจางซื่อพลางสะอื้นไห้ “นายหญิง ใต้เท้าถัง มิได้ชอบพอในตัวข้า ข้า…ข้าไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว!”

จางซื่อพยุงนางขึ้นมา “ไม่มีทางเปลี่ยนเรื่องราวได้สักนิดเลยหรือ ใต้เท้าถังว่าอย่างไรกันแน่”

อาซย่าสะอึกสะอื้น นางเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อครู่

จางซื่อฟังแล้วก็ถอนใจ “เห็นทีใต้เท้าถังคงไม่มีความคิดเช่นนั้นจริงๆ ด้วยนิสัยและหน้าตาของเจ้า ใต้เท้าถังน่าจะยินดี ทว่าบุรุษเพศในโลกหล้าหาได้มีแต่พวกละโมบบ้าตัณหา อย่างไรก็ย่อมมีคนที่ยกเว้น เอาเถอะ ข้าจะมองหาคนอื่นให้ ในเรือนนี้มีใครที่เจ้าต้องตาก็เลือกตามใจเจ้าได้!”

อาซย่าเอ่ยเสียงเบา “บ่าวไร้มารยาท ขอบังอาจให้นายหญิงช่วยออกหน้า ช่วยเกลี้ยกล่อมใต้เท้าถังสักนิด…”

จางซื่อส่ายศีรษะ “ช่างเป็นเวรกรรมแท้ๆ เอาเถอะๆ ได้ยินว่าหลายวันนี้ใต้เท้าถังออกจากเรือนแต่เช้า กว่าจะกลับก็มืด งานยุ่งวุ่นวาย รอให้ผ่านช่วงนี้ไปสักพัก ข้าจะให้คนไปเชิญเขามาเอง”

อาซย่ายิ้มทั้งน้ำตา “บ่าวขอบคุณนายหญิงเจ้าค่ะ บุญคุณใหญ่หลวงของท่าน อาซย่าจะจดจำชั่วชีวิต!”

 

เท้าเล็กๆ คู่หนึ่งเหยียบย่างแผ่วเบาบนระเบียงทางเดินของเรือนซิ่วโหลว

เดิมกระโปรงประณีตหรูหราคลุมปิดเท้าจนมิดชิด แต่ด้วยการเยื้องย่าง ชายกระโปรงจึงสะบัดพลิ้วเบาๆ เผยให้เห็นรองเท้าปักลายวับแวม พาให้คนจินตนาการ

ราวกับใต้เท้าของนางไม่ใช่บันได หากเป็นมวลเมฆ

นางเดินไปหยุดหน้าประตูบานหนึ่ง ยกมือขึ้นเคาะประตู

“ใคร” เสียงดังมาจากด้านใน

“ป้าหลู่ ข้าเอง” นางตอบ น้ำเสียงนุ่มนวลหวานหยด เจือกลิ่นอายอ่อนช้อยของสตรีแห่งเจียงหนาน ต่อให้มีโทสะก็ฟังแล้วคล้ายกำลังออดอ้อนงอแง บุรุษทั่วไปได้ยินแล้วเป็นได้ใจอ่อนยวบ

คนที่อยู่ด้านในมิได้มาเปิดประตูแล้วฉีกยิ้มสดใสให้ทันทีเหมือนยามปกติ กลับได้ยินเสียงสวบสาบเบาๆ ผ่านไปพักหนึ่งก็มีเสียงตอบรับว่า “รอเดี๋ยว มาแล้ว!”

กระดาษลงลายที่บุหน้าต่างมองเห็นเงาคนรำไรเดินจากไกลเข้ามาใกล้ จากนั้นก็มีเสียงเปิดประตู “ชิงจือเองหรือ เข้ามาเร็ว!”

ชิงจือเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ท่านป้าไม่สบายหรือ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย”

แม่เล้าหอนางโลมฝืนยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร มาๆ เข้ามานั่งสิ!”

นางชะโงกหน้าออกมาตะโกนเรียก “เสี่ยวลิ่วจื่อ ยกน้ำชามา!”

ชิงจือห้ามนางไว้ “ไม่รบกวน ป้าหลู่ หนนี้ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษาท่าน”

แม่เล้าอุทาน “มีอะไรก็บอกมา ไยต้องขึงขังจริงจังเช่นนั้น ปกติแล้วมีเรื่องใดของเจ้าที่ข้าไม่ยอมตกลงบ้าง บอกมาเถอะ!”

ชิงจือชั่งใจครู่หนึ่ง คล้ายในที่สุดก็ตัดสินใจแน่วแน่ “ข้าจะขอไถ่ตัว”

รอยยิ้มดั่งดอกเบญจมาศของแม่เล้าหายวับ “เจ้าว่าอะไรนะ”

ชิงจือถอนใจเฮือกหนึ่ง น้ำเสียงยามเอ่ยอีกครั้งกลับยิ่งหนักแน่น “ข้าจะขอไถ่ตัว”

แม่เล้าหมดความสุขุมเฉกเช่นก่อนหน้านี้ นางร้อนรนทันที “ไม่ได้ ข้าไม่เห็นด้วย!”

ชิงจือมองนางนิ่งๆ “ป้าหลู่ ก่อนหน้านี้เราตกลงกันแล้ว หากข้าหาเงินมาได้ครบห้าพันตำลึง ก็จะให้ข้าไถ่ตัวเป็นอิสระ” นางล้วงตั๋วเงินใบหนึ่งออกจากอกเสื้อ “นี่เป็นตั๋วเงินห้าพันตำลึง ตั๋วออกโดยร้านเงิน หากเป็นของปลอม ยินดีเปลี่ยนคืน”

แม่เล้าเสียงอ่อนลง “ชิงจือเอ๋ย อย่าหาว่าข้าไม่รักษาสัจจะเลยนะ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้เงินห้าพันตำลึงนี้จากคุณชายคนใด เพียงแต่ห้าพันตำลึงมิใช่จำนวนน้อยๆ เงินส่วนนี้น่าจะเป็นสมบัติทั้งหมดของเจ้าแล้วใช่หรือไม่ เจ้านำออกมาแล้ว ต่อให้ไถ่ตัวออกไปได้ แต่จะใช้ชีวิตอย่างไร สู้อยู่ต่ออีกสักสองสามปีดีกว่า

อีกประการ ข้าเคยเห็นหญิงสาวจำนวนไม่น้อยที่ออกจากหอฮวนอี้แล้ว ไม่นานก็ใช้เงินจนหมด จำต้องหวนกลับมาทำอาชีพเดิมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าพอถึงเวลานั้นค่าตัวก็ตกไปมากแล้ว ต่อให้แขวนป้ายชื่ออีกครั้งก็ไม่ได้ค่าตัวเท่าเดิม ชิงจือเอ๋ย ข้าไม่หลอกเจ้าหรอก หากจะไถ่ตัวเป็นอิสระ สู้แต่งไปเป็นอนุของคุณชายที่เจ้ามีใจดีกว่า เช่นนั้นถึงจะเป็นการใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง!”

“ป้าหลู่ บุรุษที่มาหอนางโลมมีสักกี่คนที่เป็นคนดี ท่านจะเอาวาจานี้มาหลอกข้าด้วยเหตุใด วันนี้ข้าอายุสิบเก้าแล้ว อย่างไรก็ทำได้อีกไม่กี่ปี เราอยู่ด้วยกันมานานเช่นนี้ ไม่มีไมตรีจิตก็มีวาสนา ไยท่านต้องรั้งข้าไว้ไม่ปล่อย ให้ข้าได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสักหน่อยไม่ได้หรือ” ชิงจือเอ่ย

แม่เล้าเห็นนางยืนกรานเด็ดเดี่ยว สีหน้าจึงย่ำแย่ลง ริมฝีปากขยับคล้ายจะกล่าววาจาไม่รักษาน้ำใจ ทว่านัยน์ตากลับกลอกกลิ้ง สุดท้ายก็ปั้นหน้ายิ้มแย้ม “เอาล่ะๆ ในเมื่อพูดจากันถึงขั้นนี้แล้ว ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก แต่เจ้าติดตามข้ามาตั้งแต่เด็ก ข้ากลัวเจ้าจะตกระกำลำบากอยู่ข้างนอก เอาอย่างนี้ ห้าพันตำลึง ข้ารับเพียงสี่พัน ที่เหลือหนึ่งพันเจ้าเก็บไว้เอง เผื่อยามจำเป็น”

ชิงจือประหลาดใจยิ่งนัก ไม่คาดคิดว่าป้าหลู่ที่ปกติรักเงินยิ่งชีพจะเจรจาได้ง่ายเพียงนี้ ไม่เพียงยอมปล่อยนางไป ยังคืนเงินจำนวนหนึ่งให้ด้วย นางซาบซึ้งเหลือเกิน ย่อตัวคำนับแม่เล้า “หลายปีมานี้ได้ท่านป้าอบรมสั่งสอน ชิงจือซาบซึ้งยิ่งนัก ไร้สิ่งตอบแทน ห้าพันตำลึงนี้ท่านป้าโปรดรับไว้เถิด ชิงจือพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ยังไม่อดตายในเร็ววันหรอก”

“ชิงจือเอ๋ย” แม่เล้าดึงมือนางมานั่งลง กดเสียงต่ำ “เจ้าบอกข้าตามตรง ตั๋วเงินนี่คุณชายเจิ้งคนนั้นให้เจ้าไว้ใช่หรือไม่ บัดนี้เขาตายไปแล้ว ได้ยินว่าเรื่องราวใหญ่โต เงินเหล่านี้คงไม่นำปัญหามาหรอกนะ”

“ป้าหลู่ ท่านคิดมากไปแล้ว เงินเหล่านี้คุณชายเจิ้งไม่ได้ให้ข้า เขาเป็นแค่คุณชายเหลาะแหละ ต่อให้มีเงินจับจ่ายอยู่บ้างก็ไม่มีทางควักห้าพันตำลึงในคราวเดียวมาช่วยข้าไถ่ตัว เงินเหล่านี้ล้วนได้มาอย่างถูกต้อง ท่านมิต้องกังวล” ชิงจือตอบ

“เจ้าไม่บอกข้าให้ชัดเจน ข้าก็อกสั่นขวัญผวาน่ะสิ ต้องเข้าใจว่าก่อนคุณชายเจิ้งตายหนึ่งวันเขาค้างคืนอยู่ที่หอฮวนอี้ของเรา เรื่องนี้อธิบายแล้วก็คลุมเครือ เกิดพวกชนชั้นสูงเหล่านั้นอยากขยายเรื่องราวเสียหน่อยแล้วเล่นงานพวกเรา ก็ทำได้ไม่ยาก”

“คดีนี้ปิดไปแล้วไม่ใช่หรือ เล่ากันว่าฆาตกรคือคุณชายรองแห่งจวนอู่อันโหว อีกฝ่ายสมคบกับอนุของคุณชายเจิ้ง ลอบสังหารคุณชายเจิ้ง เกี่ยวอะไรกับพวกเรา”

แม่เล้าฝืนยิ้ม “แม้จะบอกเช่นนั้น แต่ข้าได้ยินว่าคนของกองปราบฝ่ายเหนือยังสืบจากเบาะแสอยู่ บอกว่าคดียังมีจุดน่าสงสัย ก็ไม่รู้ว่าเป็นจุดน่าสงสัยอะไร ค่าใช้จ่ายของเจ้าในยามปกติล้วนมีข้าเป็นคนดูแล จะให้ข้าไม่ถามไถ่ได้หรือว่าเหตุใดเจ้าจึงนำเงินห้าพันตำลึงออกมาได้ในคราวเดียว ไม่ใช่ข้าจะฝืนรั้งเจ้าไว้ แต่เจ้าต้องบอกความจริงกับข้า เผื่อถึงเวลาแล้วเงินจำนวนนี้นำปัญหามา พวกเราต่างก็หนีไม่พ้น!”

ชิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง “ที่มาของเงินจำนวนนี้ข้าบอกไม่ได้ ท่านรู้เพียงว่าแขกคนสนิทให้มา เขามีใจกับชิงจือ เคยคิดตบแต่งข้าเข้าเรือน เพียงแต่ติดว่าในบ้านมีฮูหยินนิสัยดุดันอยู่ ฉะนั้นจึงไม่สำเร็จ”

แม่เล้ากลอกตาล่อกแล่ก “ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ ข้าก็สบายใจ แต่ข้ายังมีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ รอเจ้าอธิบายให้ข้าหายข้องใจ”

“ท่านป้ามีอะไรก็ถามมาตามตรงเถิด”

แม่เล้าผุดรอยยิ้ม “ชิงจือเอ๋ย ข้าได้ยินว่าเจ้ามีเรือนอยู่ข้างนอกหลังหนึ่ง จริงหรือไม่”

ชิงจือหน้าเปลี่ยนสี “ท่านป้ามีเจตนาอันใด ท่านให้คนลอบติดตามข้าหรือ!”

แม่เล้าตีหน้าขรึม “เจ้าเป็นเหมือนลูกสาวของข้า ยังมีเรื่องอะไรปิดบังข้าอีก ข้าเพียงถามดูแล้วจะเป็นไร เจ้าบอกมาตามตรงเถอะ เรือนนั่นมีที่มาอย่างไร”

ชิงจือลุกขึ้นพรวด แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา “เห็นทีวันนี้คงเสวนาไม่เข้าหูกัน ในเมื่อท่านป้าไม่ตอบรับ วันหน้าข้าจะมาใหม่ กลัวแต่ว่าถึงเวลาท่านอย่าเสียใจภายหลังก็แล้วกัน!”

ไม่รอให้นางสะบัดแขนเสื้อจากไป ในห้องก็มีเสียงของบุรุษแปลกหน้าดังขึ้น “หากแม่นางชิงจือไม่แจงเรื่องเรือนกับเรื่องเงินให้กระจ่าง เกรงว่าวันนี้คงไปมิได้แล้ว”

ปรากฏร่างคนสองคนก้าวออกจากหลังม่านกั้น คนหนึ่งถือดาบ สูงใหญ่เยือกเย็น ส่วนอีกคนสวมชุดคลุมยาวสีเขียวไผ่ ท่าทางสุภาพ

ชิงจือหน้าถอดสี กำลังจะถอยหลังออกนอกประตูไปก็มีเจ้าหน้าที่ศาลสองคนมาขวางหน้าประตูไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร

“พวกท่านเป็นใคร!” ชิงจือถาม

ถังฟั่นมองเห็นนางกำมือที่อยู่ใต้แขนเสื้อแวบหนึ่ง นั่นเป็นท่าทีอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความตื่นเต้นในใจ

“ถังฟั่นแห่งศาลซุ่นเทียน ดูแลเรื่องคดีจวนอู่อันโหว ยังมีคำถามอีกจำนวนหนึ่งอยากให้แม่นางชิงจือตอบให้หายสงสัย”

ชิงจือถาม “คดีปิดไปแล้วมิใช่หรือ”

ถังฟั่นส่ายหน้า “ยังมิได้ปิด เพราะพวกเราพบว่าคดีนี้ยังมีฆาตกรอีกคน แม่นางชิงจืออยากทราบหรือไม่”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า!”

“อย่างไรเจิ้งเฉิงก็เคยมีสัมพันธ์กับแม่นาง ร่วมหอหนึ่งราตรีพันผูกร้อยราตรี ไยแม่นางจึงตัดรอนกันเช่นนี้ เห็นแก่สัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับเจิ้งเฉิง ฟังเสียหน่อยเถิด”

ชิงจือมีสีหน้าตื่นเกร็ง เหยียดหลังตรง “ฟังนัยในวาจาของใต้เท้าถังแล้ว ท่านกำลังจะบอกว่าข้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของคุณชายเจิ้งสินะ”

“สาเหตุการตายของเจิ้งเฉิงมีสองข้อ หนึ่งคือในยาบำรุงกำหนัดที่เขากินถูกเพิ่มไฉหูเข้าไป ยาตัวนี้ทำให้พลังหยางของเขาพร่องจนถึงแก่ชีวิต สองคือจุดลมปราณไป่ฮุ่ยบนกระหม่อมของเขาถูกคนเคาะไปหลายครั้ง จนทำระบบชีพจรในกะโหลกแตกซ่านสับสน ผู้ที่เปลี่ยนตำรับยาถูกจับตัวแล้ว คิดว่าแม่นางชิงจือเองก็คงได้ข่าว เป็นคุณชายรองแห่งจวนอู่อันโหวเจิ้งจื้อ และอนุของเจิ้งเฉิงฮุ่ยเหนียง แต่ขณะที่เราไต่สวนเจิ้งจื้อกับฮุ่ยเหนียง พบว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องจุดไป่ฮุ่ยเลย และไม่ว่าฮุ่ยเหนียงหรือเจิ้งจื้อล้วนไม่มีโอกาสได้เคาะจุดลมปราณนั้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เจิ้งเฉิงหลับไม่ได้สติ คนที่จะทำเช่นนั้นได้ย่อมต้องร่วมเรียงเคียงหมอนกับเจิ้งเฉิงระยะหนึ่ง ผู้ที่สอดคล้องกับคุณสมบัตินี้มีสามคน คือเจ้า อนุของเจิ้งเฉิงอวี้เหนียง แล้วก็จ้าวซื่ออนุนอกสกุล” ถังฟั่นแจกแจง

“แล้วเหตุใดใต้เท้าจึงไม่ไปหาพวกนาง กลับมาหาข้า”

“นับตั้งแต่พบจุดน่าสงสัยข้อนี้ ข้าก็ส่งคนมาลอบเฝ้าหอฮวนอี้ จวนอู่อันโหว รวมถึงคฤหาสน์ส่วนตัวของเจิ้งเฉิงเพื่อจับตาดูพวกเจ้าทั้งสามคนอยู่ตลอด การสังหารคนต้องมีแรงจูงใจแน่นอน และย่อมมีจุดประสงค์ ครึ่งเดือนมานี้ทางอวี้เหนียงกับจ้าวซื่อล้วนสงบเงียบ พวกนางมิได้ติดต่อกับคนน่าสงสัยอะไร และไม่มีเงินก้อนใหญ่เข้าออก มีเพียงเจ้า แม้จะมีฐานะเป็นคนดังแห่งหอฮวนอี้ แต่เงินทองที่แขกคนสนิทให้อยู่ในมือของแม่เล้าตลอด จู่ๆ กลับมีเงินให้สาวใช้ลอบซื้อหาเรือนข้างนอกได้ ทั้งยังมีเงินไถ่ตนเองอีกต่างหาก”

เขาเพิ่งกล่าวจบก็มีเจ้าหน้าที่ศาลอีกสองคนเข้ามาจากด้านนอก “ใต้เท้า เจอของพวกนี้ในห้องของนางขอรับ!”

ถังฟั่นผงกศีรษะ “ข้าดูหน่อย เจอจุดใด”

เจ้าหน้าที่ตอบ “ใต้ฟูกขอรับ นางซ่อนไว้ตรงมุมระหว่างเตียงกับฟูก”

ชิงจือเห็นถุงหอมในมือของอีกฝ่าย สีหน้าท่าทางที่ค่อยๆ สุขุมเยือกเย็นลงแล้วก็กลับแตกตื่นลนลานอีกครั้ง

ถังฟั่นคลายถุงหอมออกแล้วดมกลิ่น ก่อนจะยื่นให้สุยโจว จากนั้นจึงกล่าวกับชิงจือ “ข้าเดาว่าของที่อยู่ในนี้ก็คือสิ่งที่ทำให้เจิ้งเฉิงหลับไม่ได้สติ และปล่อยให้เจ้าลงมือได้ตามใจใช่หรือไม่ ผงแป้งข้างในน้อยมาก น่าจะถูกเจ้าเททิ้งไปนานแล้ว แต่ไม่ได้เทจนหมดจดจึงยังหลงเหลืออยู่ เหตุใดเจ้าจึงไม่ทิ้งหรือเผาถุงหอมไปเลยเล่า เช่นนั้นก็ไม่ทิ้งหลักฐานไว้แล้ว”

ชิงจือตอบเสียงเย็น “ดูก็รู้ว่าใต้เท้าถังเป็นคนที่ไม่เข้าใจความรัก ถุงหอมที่สตรีปักเองกับมือ หากไม่มอบให้บุรุษที่มีใจ ก็มอบให้คนสนิทที่ใกล้ชิดที่สุด เหตุใดจึงจะทิ้งได้ลงคอ”

ถังฟั่นนึกถึงเหอเปาของอาซย่าที่ถูกเขาปฏิเสธแล้วก็ยกมือลูบจมูก “เช่นนี้เท่ากับว่าแม่นางชิงจือยอมรับแล้วสินะว่าตนเองเป็นฆาตกร”

“ถูกต้อง ข้าเป็นคนเคาะจุดไป่ฮุ่ยของเจิ้งเฉิงหลังจากที่เขาหมดสติ ทำเช่นนี้ประมาณหนึ่งเดือน คนก็จะตายอย่างไร้ร่องรอย หากรู้แต่แรกว่ามีผู้อื่นอยากให้เจิ้งเฉิงตายเช่นเดียวกัน ข้าก็ไม่ต้องลงมือแล้ว” ชิงจือกล่าว

“เพราะอะไรเจ้าถึงต้องทำเช่นนี้” ถังฟั่นเอ่ยถาม

“ใต้เท้าถังจับกุมฆาตกรสำเร็จก็ไปรับความดีความชอบได้แล้วมิใช่หรือ ไยต้องคาดคั้นเอาความให้ได้ คนอย่างเจิ้งเฉิงนั้นน่าชิงชัง ซ้ำยังชอบเล่นลูกไม้ใหม่ๆ บนเตียง ข้าถูกเขาทรมานจนทนไม่ไหวแล้ว หากสามารถปอกลอกเงินทองจากเขาได้บ้าง และทำให้เขาหายไปได้ตลอดกาล เรื่องดีเช่นนี้ไยข้าจะไม่ทำเล่า” สายตาของนางตวัดมองไปยังแม่เล้า ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “นางป้าอำมหิตนี่ ตั้งแต่เล็กจนโตทำร้ายข้าไปไม่รู้เท่าไร เดิมก่อนไปจากที่นี่ข้าคิดจะให้นางตาย คิดไม่ถึงว่ากลับถูกพวกท่านทำเสียเรื่อง!”

แม่เล้าเสียขวัญกับคำสารภาพของนางจนนิ่งอึ้ง เห็นนางจ้องตนเขม็ง จึงเบี่ยงไปหลบหลังถังฟั่น

ทว่าเพิ่งจะจับชายอาภรณ์ของถังฟั่นได้ สุยโจวที่อยู่ข้างๆ ก็สะบัดแขนเสื้อ แม่เล้าถูกผลักออกไปอย่างคุมไม่อยู่ จากนั้นก็ชนเก้าอี้ตัวหนึ่งกระเด็นกระดอนก่อนจะล้มลงที่พื้น ร้องโอดโอยเสียงดัง

สุยโจวย่อมไร้อารมณ์ฟังนางกล่าวต่อไป เอ่ยเสียงเย็น “คุมตัวไป พากลับไปไต่สวน”

เจ้าหน้าที่ดาหน้าเข้าไปขนาบซ้ายขวา คุมตัวนางออกไป

สุยโจวแสดงท่าทีรังเกียจกลิ่นเครื่องแป้งที่ฉุนจมูก แต่ก็ตามถังฟั่นเข้าไปค้นห้องของชิงจือรอบหนึ่งด้วยตนเอง หาของน่าสงสัยจำนวนหนึ่งมาได้ ทั้งสองจึงออกจากหอฮวนอี้

ถังฟั่นทอดถอนใจ “เริ่มแรกที่สาวถึงตัวฮุ่ยเหนียง ข้านึกว่าพวกเราเจอฆาตกรตัวจริงแล้ว คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะมีคนสองกลุ่มพร้อมใจอยากให้เจิ้งเฉิงตายโดยมิได้นัดหมาย เขาไม่ตายไม่ได้จริงๆ!”

“นอกจากให้สาวใช้ออกไปซื้อเรือนแล้ว หญิงผู้นั้นยังไปมาหาสู่กับใครอีก” สุยโจวถาม

ถังฟั่นส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว นาง…ไม่ใช่!”

ทันใดนั้นเขาก็ชะงักฝีเท้า

สุยโจวเองก็หยุดฝีเท้าด้วย มองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนัก

ถังฟั่นไม่มีเวลาอธิบายกับเขา “ต้องรีบตามชิงจือกลับมา เมื่อครู่พวกเราลืมไปคำถามหนึ่ง!”

สุยโจวเองก็ไม่เซ้าซี้ ทะยานร่างตะลุยสู่เบื้องหน้า ครู่เดียวเงาร่างก็ลับสายตาไป

เมื่อถังฟั่นรีบเร่งไปถึงคุกใหญ่ของศาลซุ่นเทียนในสภาพหายใจหอบนั้น ก็เห็นชิงจือนอนนิ่งอยู่ที่พื้น สิ้นใจไปแล้ว ส่วนสุยโจวยืนสอบสวนเจ้าหน้าที่หลายคนอยู่อีกทาง

เหล่าเจ้าหน้าที่เล่าว่าตอนที่พวกเขาคุมตัวชิงจือมา เนื่องจากนางให้ความร่วมมือ และเห็นว่านางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ จึงไม่ได้ทำการค้นตัว ใครจะรู้ว่าจู่ๆ นางก็ล้วงมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมา แทงเข้าที่หน้าอกโดยตรง พริบตาเดียวคนก็สิ้นใจ ทำอะไรไม่ได้แล้ว

ถังฟั่นย่อตัวนั่งลง แตะชีพจรของชิงจือพร้อมความหวังสุดท้าย กลับพบว่าไร้ทางช่วย

เมื่อเผชิญหน้ากับร่างไร้วิญญาณของชิงจือ ถังฟั่นอดยิ้มขื่นไม่ได้ กล่าวกับสุยโจวว่า “พวกเราประมาทเกินไป!”

สุยโจวขมวดคิ้ว “นางรับผิดแทนผู้อื่น ปิดบังฆาตกรตัวจริง”

ถังฟั่นพยักหน้า “เมื่อครู่นางยอมรับเร็วเกินไป ข้าเองก็รู้สึกว่ามีพิรุธ เดิมคิดจะพานางกลับมาแล้วค่อยสอบสวนอย่างละเอียด คิดไม่ถึงว่านางจะใจเด็ดเช่นนี้ ชิงฆ่าตัวตายเสียแล้ว!”

สุยโจวอดถามไม่ได้ “เมื่อครู่เจ้านึกอะไรได้”

“ข้านึกถึงสำนักบูรพา! ต่อให้ชิงจือมีเจตนาคิดสังหารเจิ้งเฉิง ยังไม่พูดถึงเรื่องที่นางสูบเงินทองจากเจิ้งเฉิงมาได้อย่างไร ยังมีเรื่องที่นางชำนาญเรื่องจุดลมปราณอีก นางเป็นเพียงคณิกาธรรมดา เหตุใดจึงสามารถทำให้สำนักบูรพายื่นมือเข้าแทรกแซงด้วยการชิงศพไปจากกองปราบของพวกท่านได้ นั่นก็น่าสงสัยเกินไปแล้ว!”

สุยโจวพยักหน้า ชัดเจนว่าเมื่อครู่เขาเองก็นึกถึงจุดนี้เช่นกัน

ทั้งสองมีความคิดคล้ายกันหลายอย่าง นั่นทำให้พวกเขาเข้ากันได้ดี ต่างจากผู้อื่นอย่างหาได้ยากในยามสืบคดี

สุยโจวกล่าว “ทางสำนักบูรพาข้าจะไปสืบเอง”

ถังฟั่นเข้าใจ “ด้านชิงจือข้าเองก็จะสืบเบาะแสต่อ”

สุยโจวพยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดพล่าม ก่อนจะเดินออกไป

ถังฟั่นมองชิงจือที่นอนอยู่บนพื้น นางยังคงงดงาม ทว่ากลับไร้ซึ่งกลิ่นอายเย้ายวนชดช้อยในยามที่เป็นดาวเด่น บนหน้าอกมีมีดเล่มหนึ่งปักลึก โลหิตเริ่มจับเป็นลิ่มแล้ว ร่างกายก็เริ่มแข็งเกร็ง

ชีวิตคนดับสิ้นดั่งเทียนดับแสง ข้ามผ่านแม่น้ำหยินหยางก็ไม่หลงเหลืออะไร ต่อให้มีเงินทองมากมาย งดงามไม่เป็นรองใคร ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้

ชิงจือปลิดชีพตนเอง เห็นชัดว่ากลัวเข้าไปในคุกแล้วจะถูกไต่สวนให้คายอะไรออกมา จนสาวถึงฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง ทว่านับแต่โบราณกาล สิ่งยากเย็นแสนเข็ญไม่พ้นเรื่องการตาย สามารถตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ได้ในเวลาอันสั้น ชัดเจนว่าย่อมมีคน หรือมีสิ่งที่สำคัญมากพอจนทำให้ชิงจือต้องปกป้องฆาตกรตัวจริงด้วยชีวิตตนเอง

เมื่อนางตายไปเช่นนี้ พวกถังฟั่นก็จะขาดเบาะแสจนสืบสวนต่อไปไม่ได้แล้วจริงหรือ

แน่นอนว่าไม่ใช่

ต่อให้ชิงจือใจเด็ดเพียงใด อย่างไรก็เป็นเพียงหญิงคณิกา ความคิดสติปัญญาหาได้ซับซ้อน จึงนึกเพียงว่าขอเพียงตนตายแล้วทุกอย่างก็จะจบ ทุกอย่างก็จะยุติ

ถังฟั่นเริ่มสันนิษฐานจากมุมมองอื่น

นางซื้อเรือนอยู่ภายนอก ทั้งยังไถ่ตัวเป็นอิสระ ไม่ใช่เพื่อตนเองก็เพื่อคนอื่น หากทำเพื่อตนเอง เช่นนั้นนางก็จะไม่มีทางฆ่าตัวตาย เพราะหากเป็นผู้ที่รักตัวกลัวตาย ขอเพียงเห็นโอกาสรอดชีวิตแม้เพียงริบหรี่ก็จะไม่ปล่อยผ่านเป็นอันขาด เช่นนั้นนางก็ต้องทำเพื่อคนอื่นแน่นอน

ด้วยรู้ว่าตนถูกจับได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรจุดจบก็ไม่ดีไปถึงไหนแน่ หากจะต้องทนทัณฑ์ทรมานไม่ไหวจนคายความจริง สู้ปลิดลมหายใจตนเองไปเสียดีกว่า เช่นนี้จึงจะปกป้องผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้

ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง…

ถังฟั่นลุกขึ้นยืน “เหล่าหวัง”

“ขอรับใต้เท้าถัง” เหล่าหวังขานรับ

“ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าชิงจือให้สาวใช้คนสนิทไปช่วยนางซื้อเรือน ตอนนี้สาวใช้คนนั้นอยู่ที่ใด”

“ใต้เท้า วันนี้สาวใช้คนนั้นไม่อยู่ที่หอฮวนอี้ คิดว่าถูกสั่งให้หลบไปแล้ว แต่เราลอบติดตามนางมาหลายวัน รู้ว่าแม่นางชิงจือซื้อเรือนไว้ที่ใด ข้ายังให้เหล่าเกาเฝ้าอยู่นอกเรือนหลังนั้นแล้วขอรับ!”

ถังฟั่นพยักหน้าเป็นเชิงชมเชย “เจ้าไปจับตาดูไว้ตอนนี้เลย เปลี่ยนให้เหล่าเกามาที่นี่ ข้ามีบางอย่างจะถามเขา แล้วก็ศพของแม่นางชิงจือ ให้คนมานำไปทำพิธีฝังเสีย”

เหล่าหวังรับคำสั่ง ก่อนกระวีกระวาดจากไป

ครู่เดียวเหล่าเกาก็มาถึง เขารายงานผลการติดตามของตนเองในระยะนี้กับถังฟั่นอย่างละเอียด “ใต้เท้า เรือนหลังนั้นอยู่ที่ถนนเซี่ยวปี้ซึ่งอยู่นอกเมืองทางตะวันออก ข้าสืบข่าวกับคนละแวกนั้นแล้ว คฤหาสน์แถบนั้นล้วนราคาไม่แพง ทว่ามีจุดหนึ่งที่แปลกมาก นับตั้งแต่เรือนถูกซื้อไปก็ไม่เคยมีคนเข้าอาศัยเลย”

ถังฟั่นถาม “มีคนเข้าออกหรือไม่”

“นอกจากคนที่สาวใช้คนนั้นจ้างให้เข้าไปเก็บกวาดทำความสะอาด ก็ไม่เห็นใครเข้าออกอีก”

ถังฟั่นครุ่นคิดชั่วครู่ “เอาอย่างนี้เถิด เจ้าไปกับข้า ข้าจะไปดูให้เห็นกับตา”

เหล่าเการีบละล่ำละลัก “ใต้เท้า ที่นั่นทั้งรกทั้งสกปรก กลัวว่าจะทำให้ผู้สูงศักดิ์เช่นท่านแปดเปื้อนนะขอรับ!”

ถังฟั่นหลุดหัวเราะ “ไฉนข้าจึงเป็นผู้สูงศักดิ์ไปได้เล่า เรื่องบางอย่างให้เจ้าไปถามก็ไม่ชัดเจน ข้าต้องไปเองจึงจะเข้าใจสถานการณ์แจ่มแจ้ง”

เหล่าเกาเห็นขวางไม่อยู่ จำต้องเดินตามหลังเขาไป

 

เมื่อไปถึงที่หมาย ถังฟั่นจึงเข้าใจว่าเหตุใดเหล่าเกาจึงกล่าวเช่นนั้น

ถนนเซี่ยวปี้ทางใต้ของเมือง ความจริงแล้วก็คือเขตผู้ยากไร้

เนื่องจากอยู่ใกล้บ่อทิ้งศพแถบชานเมือง ผู้ที่พอมีฐานะย่อมไม่ยินดีอาศัยอยู่ละแวกนี้ นานวันเข้าที่นี่จึงกลายเป็นแหล่งรวมของเหล่าชนชั้นล่าง ห่างออกไปไม่ไกลยังมีอารามเต๋าทรุดโทรมหลังหนึ่งตั้งอยู่ ใกล้ๆ มีแหล่งน้ำสกปรกไหลนอง แมลงวันบินว่อน เสื้อผ้าอาภรณ์ของผู้คนล้วนเต็มไปด้วยรอยเย็บปุปะ เทียบกับความภูมิฐานในเมืองแล้ว ที่นี่ก็ราวกับอีกโลกหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ถังฟั่นที่สะอาดสะอ้าน ผิวขาวงดงาม ทั้งยามนี้ยังไม่ได้สวมชุดขุนนาง เมื่อยืนอยู่ที่นี่แล้วก็ดูขัดตาสิ้นดี พริบตาเดียวก็ดึงดูดสายตาแตกต่างมากมาย ซึ่งในนั้นย่อมไม่ไร้ผู้ที่ส่อเจตนาร้าย

แต่เหล่าเกาสวมชุดของเจ้าหน้าที่ทางการ พร้อมสะพายดาบเดินตามหลังเขา จึงไม่มีคนกล้าทำอะไร

ทั้งสองไปถึงหน้าเรือนเก่าหลังหนึ่ง

“ใต้เท้า นี่คือเรือนที่ชิงจือให้คนมาซื้อไว้ขอรับ”

ถังฟั่นยืนอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมนี้ก็รู้แล้วว่าชิงจือไม่ได้ซื้อเรือนเพื่อให้ตนเองอยู่อาศัย นางมีกระทั่งเงินไถ่ตัวจำนวนห้าพันตำลึง ไฉนจะมาขาดแคลนกับเรื่องนี้ อีกทั้งด้วยรูปโฉมของนาง หากจะอาศัยอยู่ที่นี่จริง น่ากลัวว่าจะปลอดภัยสู้หอฮวนอี้มิได้

เรือนนี้ถูกลงกลอนไว้ แต่เหล่าเกามือไม้แคล่วคล่องว่องไว เพียงครู่เดียวก็ปลดสลักกลอนได้

ถังฟั่นเปิดประตูเข้าไป แม้ที่นี่จะถูกทำความสะอาดตกแต่งไปรอบหนึ่งแล้ว ทว่ายังคงได้กลิ่นอับสายหนึ่ง คงถูกปิดร้างมานานหลายปี

เหล่าเกาตามหลังถังฟั่น ในใจเย็นวาบเล็กน้อย “ใต้เท้า เรือนนี้วังเวงเหลือเกิน เกรงว่าคงไม่มีใครอยู่!”

ถังฟั่นหยอกเย้า “เจ้าเองก็เคยไปค้างแรมที่บ่อทิ้งศพนอกเมืองมิใช่หรือ แค่นี้ก็กลัวแล้ว?”

เหล่าเกาหัวเราะแก้เขิน “ดูท่านพูดเข้า นั่นเป็นเรื่องสมัยหนุ่มๆ ตอนนั้นยังไม่ประสีประสา ยังปัสสาวะรดป้ายสุสานคนอื่นเขา ต่อให้ตอนนี้ข้ากลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้งก็มิกล้าแล้วขอรับ!”

ในลานสวนว่างเปล่าวังเวง ต้นไม้เก่าแก่หลายต้นไร้ชีวิตชีวา ยืนต้นเหี่ยวเฉาจะตายมิตายแหล่ ข้างบ่อน้ำยังมีถังไม้อีกใบวางอยู่ ทว่าดูแล้วก็ผุพังเช่นเดียวกับสวนแห่งนี้ ด้านล่างยังมีน้ำซึม เชือกก็เปื่อยรุ่ยไปแล้ว

ถังฟั่นย่างเท้าเดินเข้าไปด้านใน เปิดประตูเรือนหลัก กลับนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง

ภายในเรือนหลักที่มีขนาดไม่ใหญ่ ไร้ซึ่งเก้าอี้และโต๊ะน้ำชาใดๆ วางตกแต่ง มีเพียงโต๊ะยาวตั้งอยู่ตรงกลาง ด้านบนมีผลไม้สดวางอยู่จำนวนหนึ่ง ส่วนด้านหลังเรียงรายด้วยป้ายวิญญาณสี่ป้ายอย่างเรียบร้อย ป้ายวิญญาณสองป้ายที่อยู่กึ่งกลางถูกรองสูง

ถังฟั่นเข้าไปดูใกล้ๆ ผลไม้สดเหล่านั้นวางไว้ระยะหนึ่งแล้ว กดแล้วค่อนข้างนิ่ม ประเมินดูน่าจะตรงกับช่วงเวลาที่ชิงจือจ้างคนมาทำความสะอาดก่อนหน้านี้ได้

ป้ายวิญญาณสี่ป้าย ก็ย่อมเป็นสี่คน

บิดา ม่ายเจียน สกุลเฝิง

มารดา นางฉิน สกุลเฝิง

น้องหญิงรอง ชิงอัน สกุลเฝิง

น้องชายสี่ ชิงหนิง สกุลเฝิง

จากนามบนป้ายวิญญาณ คะเนได้ไม่ยาก ก่อนชิงจือจะเข้าไปอยู่ในหอนางโลม มีความเป็นไปได้สูงที่นางจะแซ่เฝิง และคนเหล่านี้เป็นคนในครอบครัวของนาง

บิดามารดาจากไปเร็ว บ้านแตกสาแหรกขาด ชวนให้สะท้านใจจริงๆ

ทว่าโลกนี้ไม่มีความรักที่ไร้เหตุผล และไม่มีความเกลียดชังที่ไร้สาเหตุด้วยเช่นกัน นางอยู่ในหอนางโลมมานานหลายปี เคยต้อนรับแขกมานับไม่ถ้วน ถังฟั่นไม่เชื่อว่านางจะลงมือสังหารเจิ้งเฉิงเพียงเพราะทนเขาไม่ได้ จนกลายเป็นฆาตกร

บิดา มารดา น้องสาวคนรอง น้องชายคนที่สี่

ในอดีตชิงจือเป็นบุตรคนที่เท่าไรของครอบครัวกันนะ

หากเป็นบุตรสาวคนโต แล้วบุตรคนที่สามของสกุลเฝิงอยู่ที่ใด

ถังฟั่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เหล่าเกา!”

“ขอรับ ใต้เท้ามีอะไรหรือ”

“เจ้าสอบถามจากเพื่อนบ้านในละแวก ได้ข่าวเจ้าของคนก่อนของเรือนหลังนี้หรือไม่”

“ถามแล้วขอรับ เมื่อหลายปีก่อนที่ดินผืนนี้เคยถูกเพลิงไหม้จนวอด ผู้อาศัยมากมายถ้าไม่ถูกไฟคลอกตายก็ย้ายออกไปหมดแล้ว มีเพียงคนแก่คนหนึ่งที่ยังพอจำได้บ้าง เล่าว่าสิบกว่าปีก่อน ที่นี่มีครอบครัวหนึ่ง สกุลเฝิง ต่อมาไม่รู้ว่าผิดอาญาอะไร ภายในคืนเดียวคนของทางการยกขบวนกันมา บุรุษในสกุลต่างถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารชายแดน ส่วนสตรีบ้างก็เจ็บไข้ได้ป่วย บ้างก็ตาย น่าเวทนามาก เรือนหลังนี้ถูกสั่งปิด คนผู้นั้นเองก็ไม่กล้าสืบถาม ภายหลังยังลือกันว่าเรือนนี้มีผีสิง จึงไม่มีใครกล้าเข้ามาอาศัย!” เหล่าเกาตอบ

ถังฟั่นนิ่วหน้า “เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนรึ”

เหล่าเการีบละล่ำละลักบอก “คนแก่ผู้นั้นก็จำไม่ได้แล้ว คะเนว่าน่าจะเมื่อสิบสามสิบสี่ปีก่อน เนื่องจากพวกเราบอกว่าปีที่ชิงจือถูกขายเข้าหอนางโลมอายุเพิ่งจะหกขวบเท่านั้น ปีนี้นางอายุสิบเก้า นับว่าสอดคล้องกันพอดีมิใช่หรือ”

ถังฟั่นไตร่ตรองชั่วครู่ จู่ๆ ก็กล่าวว่า “ไป กลับศาลซุ่นเทียนกัน!”

“หา? ท่านไม่ดูแล้วหรือ” เหล่าเกาสงสัย

“ไม่ต้องดูแล้ว จับต้นชนปลายได้แล้ว”

เขาบอกพลางย่างเท้าออกไปด้านนอก เหล่าเกาหันไปมองห้องมืดสลัวกับป้ายวิญญาณพวกนั้นแล้วก็อดหนาวสะท้านไม่ได้ จึงรีบเร่งฝีเท้าตามออกไป

 

ถังฟั่นกลับถึงศาลซุ่นเทียนก็ไปค้นบันทึกเหตุการณ์เมื่อสิบสามปีก่อนทันที

รับราชการอยู่ในศาลซุ่นเทียนมีข้อดีอย่างหนึ่ง ในฐานะที่เป็นหน่วยงานปกครองสูงสุดในเขตเมืองหลวง ไม่ว่าเหตุการณ์เล็กใหญ่ ล้วนถูกแยกหมวดจัดเก็บรวบรวมไว้ทั้งหมด

ถังฟั่นมุ่งความสนใจไปที่คดีใหญ่สำคัญเมื่อสิบสามปีก่อน ทว่าน่าเสียดาย เขาพลิกค้นอยู่ทั้งคืนก็ไม่พบเหตุการณ์ที่สกุลเฝิงผิดอาญา

เมื่อเห็นท้องฟ้าเริ่มทอแสง เขาจึงเพิ่งรู้สึกว่าสายตาเริ่มล้า สมองเองก็หนักอึ้ง

หรือเขาแกะรอยเบาะแสผิดทิศทาง

สิบสามปีก่อน ตรงกับรัชศกเฉิงฮว่าปีที่หนึ่ง ปีที่จักรพรรดิขึ้นครองราชสมบัติ

ถังฟั่นยันศีรษะพยายามเค้นความจำ ปีนั้น…เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น

หลังบิดามารดาจากไป เขาก็ออกท่องเที่ยว จึงรอบรู้เหตุการณ์น้อยใหญ่ในใต้หล้า ไม่เหมือนพวกหนอนหนังสือที่เป็นแต่ร่ำเรียนไร้การพลิกแพลง การที่บุรุษทั้งหมดในสกุลเฝิงถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารและถูกเนรเทศย่อมต้องผิดอาญาใหญ่หลวง หากไม่ได้ทำผิดอาญา เช่นนั้นก็คงติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย

ติดร่างแห…พลอยได้รับโทษ?

ถังฟั่นจรดปลายพู่กันเขียนทีละขีดลงบนกระดาษขาว เขียนอักษรออกมาได้หลายตัว

 

‘รัชศกเฉิงฮว่าปีที่หนึ่ง สกุลเฝิง…’

 

“ใต้เท้า” ตู้เจียงที่เป็นจเรยืนรายงานหน้าประตู “นายกองสุยแห่งกองปราบฝ่ายเหนือมาขอรับ กำลังรอพบอยู่ด้านนอก”

ถังฟั่นแย้มรอยยิ้ม เหยียดหลังนั่งตรง “รีบเชิญเขาเข้ามาเร็ว!”

สุยโจวเพิ่งก้าวเข้าห้องทำการแห่งนี้ ก็เห็นถังฟั่นยิ้มหวานส่งมาให้ เขาถึงกับนิ่งอึ้ง

ถังฟั่นลุกขึ้นต้อนรับ “ก่วงชวน มีเรื่องหนึ่งอยากรบกวนให้ท่านช่วย ข้าได้ยินว่ากองปราบฝ่ายเหนือมีบันทึกเหตุการณ์แต่ละปีเก็บรักษาอยู่ใช่หรือไม่”

“ถูกต้อง”

“ให้ข้ายืมอ่านได้หรือไม่” ถังฟั่นถาม

สุยโจวพยักหน้าแล้วบอกสาเหตุที่มา “เหตุเพลิงไหม้สำนักบูรพาคราวก่อนมีเค้าลางแล้ว”

ถังฟั่นตื่นตัว “อย่างไร”

“หัวหน้าเวรวันนั้นชื่อเมิ่งฉีซาน เป็นคนจากหน่วยองครักษ์เสื้อแพร สกุลของเขาเป็นทหารสืบทอดกันมาทุกรุ่น ปู่เคยทำงานให้กับอิงเฉิงป๋อรุ่นก่อนด้วยซ้ำ”

แม้สำนักบูรพาจะมีขันทีเป็นผู้บัญชาการ ทว่าผู้ใต้บัญชาไม่ได้เป็นขันทีเสมอไป ทั้งยังมีที่ถูกยืมกำลังไปจากหน่วยองครักษ์เสื้อแพรอีกมาก ฉะนั้นสุยโจวอยากสืบอะไรก็ค่อนข้างสะดวก

ถังฟั่นพึมพำ “อิงเฉิงป๋อ…อิงเฉิงป๋อสกุลซุน?”

ทันใดนั้นเขาก็ตาสว่าง

สุยโจวพยักหน้า

ถังฟั่นรอไม่ได้แม้แต่ประเดี๋ยว ดึงแขนเสื้อของเขาออกไปข้างนอก “รีบพาข้าไปดูบันทึกของรัชศกเฉิงฮว่าปีแรกที่กองปราบฝ่ายเหนือเร็ว ข้าเริ่มจับต้นชนปลายได้แล้ว!”

 

บันทึกของกองปราบฝ่ายเหนือมีครบถ้วนกว่าของศาลซุ่นเทียนมาก นี่ก็คือข้อดีของหน่วยงานพิเศษ คดีมากมายที่ศาลซุ่นเทียนบันทึกเพียงผิวเผิน ยังสามารถตรวจสอบเหตุการณ์ที่สมบูรณ์และความลับบางอย่างที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้ที่กองปราบฝ่ายเหนือ

ทว่าเวลานี้ถังฟั่นย่อมไม่มีใจไปสืบความลับเรื่องเล่าที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เขาค้นบันทึกช่วงรัชศกเฉิงฮว่าปีแรกทันที จากนั้นก็ดึงออกมาเปิดอ่าน ก่อนจะเล่าเรื่องที่ตนไปบ้านสกุลเฝิงให้สุยโจวฟัง

“เจ้าสงสัยว่าสกุลเฝิงก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับอิงเฉิงป๋อหรือ” สุยโจวเอ่ยถาม

ถังฟั่นพยักหน้า “ข้าคิดเช่นนั้น แต่ยังต้องหาหลักฐานให้พบ มิฉะนั้นอาศัยแค่เรื่องไฟไหม้สำนักบูรพา ก็ยากที่พวกเราจะพิพากษาเขา!”

สุยโจวเองก็ไม่พูดมาก ก้มหน้าหยิบบันทึกฉบับหนึ่งขึ้นมาเริ่มเปิดอ่าน

ถังฟั่นไม่ได้นอนมาตลอดคืน เดิมทีนั้นเหนื่อยล้าเอาการ แต่เนื่องจากสุยโจวมา มีเบาะแสสำคัญเพิ่มมาอีกหนึ่ง เวลานี้สมาธิจึงยิ่งจดจ่อ เขาอ่านรายละเอียดเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็ว กวาดตาครั้งหนึ่งก็อ่านไปสิบแถว ครู่เดียวก็พลิกหน้ากระดาษ

ความจริงจักรพรรดิขึ้นครองราชสมบัติตั้งแต่ก่อนรัชศกเฉิงฮว่าปีที่หนึ่งแล้ว แต่ตอนนั้นยังใช้รัชศกเดิมของจักรพรรดิองค์ก่อน ต้องรอให้ผ่านปีใหม่แล้วจึงจะเปลี่ยนรัชศกอย่างเป็นทางการได้ ซึ่งในปีนั้นเกิดเหตุการณ์ขึ้นมากมาย

หลังศึกกบฏป้อมถู่มู่ บารมีของราชสำนักย่อยยับ ทัพหลวงแทบสิ้นกำลัง หนำซ้ำยังมีภัยธรรมชาติ ปัญหามากมายที่ทับถมสั่งสมมานานจึงปะทุในที่สุด ลำพังเพียงปีนั้นก็มีเหตุก่อกบฏอย่างน้อยสี่แห่ง แม้สุดท้ายจะปราบได้จนหมด แต่ก็ส่งผลให้ราชสำนักสูญเสียกำลังพลและเงินท้องพระคลัง ไม่เพียงเท่านั้น ลัทธิบัวขาวยังฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย ล่อลวงราษฎร ใช้นามแห่งทวยเทพตั้งตนเป็นปรปักษ์กับราชสำนัก…

ด้วยเหตุนี้ บันทึกในปีนั้นจึงค่อนข้างหนา มากพอที่จะให้ทั้งสองอ่านอยู่นานพักใหญ่

เดือนหนึ่ง รัชศกเฉิงฮว่าปีที่หนึ่ง โหวต้าโก่วระดมพลชนเผ่าเหยาแห่งต้าเถิงสยาก่อกบฏ หลังจากนั้น…

ไม่ ไม่ใช่คดีนี้

เขาอ่านต่อไป

เดือนสาม รัชศกเฉิงฮว่าปีที่หนึ่ง ชาวเหมียวในซื่อชวนก่อกบฏยึดอำเภอเจียงอัน อำเภอเหอเจียง เฉิงป๋อหลี่จิ่นรับราชโองการกรีธาทัพปราบกบฏ ขันทีหลิวเหิงคุมทัพ จวบจนกลางเดือนหก…

ไม่ใช่คดีนี้

เดือนห้า รัชศกเฉิงฮว่าปีที่หนึ่ง โจรกบฏจ้าวตั๋วสถาปนาตนเป็นจ้าวอ๋อง…

ก็ไม่ใช่คดีนี้

เดือนสาม รัชศกเฉิงฮว่าปีที่หนึ่ง หลิวทง สือหลง เฝิงจื่อหลงที่ถูกเนรเทศไปยังจิงเซียง ซ่องสุมกำลัง อ้างสถาปนาแผ่นดิน กำลังพลหลายแสนนาย กรีธาบุกเข้าฮั่นจง ได้ชัยชนะ ไม่นาน…

สายตาของถังฟั่นจดจ่อเขม็ง นิ้วเรียวที่วางอยู่บนบันทึกชะงักกึก

“ก่วงชวน ท่านมาดูอันนี้!”

สุยโจวรับมา สายตากวาดมองไปยังจุดที่ถังฟั่นระบุ “เฝิงจื่อหลง?”

“ใช่แล้ว กองปราบฝ่ายเหนือของพวกท่านสืบความเกี่ยวข้องของเฝิงจื่อหลงคนนี้กับสกุลเฝิงได้หรือไม่”

สุยโจวพยักหน้า “ได้ โจรกบฏเช่นเฝิงจื่อหลงนี้ โดยมากมักมีบันทึกถูกสังหารล้างบาง”

ครู่เดียวเขาก็ค้นเจอเอกสารฉบับหนึ่ง “เจอแล้ว เฝิงจื่อหลงเป็นชาวจิงเซียง ในรัชศกเฉิงฮว่าปีที่หนึ่ง เขาเพิ่งเข้าร่วมกองกำลังกบฏ ราชสำนักยังจับตัวไม่ได้ ตอนนั้นเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ราชสำนักจึงสั่งการให้จับบรรดาบุรุษทั้งหมดในสกุลของหลิวทง สือหลงและเฝิงจื่อหลงเนรเทศไปเป็นทหาร เป็นการกดดันให้โจรกบฏยอมศิโรราบ สกุลเฝิงอาศัยอยู่ทางใต้ของเมืองหลวง ซึ่งก็คือเครือญาติที่ห่างกันไม่เกินห้ารุ่นของเฝิงจื่อหลง เดิมทีพวกเขาสมควรถูกเนรเทศ แต่ให้บังเอิญแม่น้ำหวงเหอในเขตมณฑลเหอหนานท่วมเอ่อ ขุนนางในเหอหนานถวายฎีกาขอให้ราชสำนักส่งคนไปซ่อมแซมเขื่อนกั้นน้ำ คนสกุลเฝิงจึงถูกจัดสรรไปอยู่ในกลุ่มนั้นพอดี”

ถังฟั่นถาม “สถานที่แน่ชัดคือที่ใด”

สุยโจวตอบอย่างเน้นย้ำทีละคำ “เมืองเว่ยฮุย มณฑลเหอหนาน!”

ถังฟั่นตะลึงงัน “คนงานร้านขายยาหุยชุนถังที่หายตัวไปก่อนหน้านี้ก็มีพื้นเพเป็นชาวเมืองเว่ยฮุย มณฑลเหอหนาน!”

สุยโจวกล่าวต่อ “ไม่เพียงเท่านั้น สถานที่ที่อิงเฉิงป๋อรุ่นก่อนปักหลักก็คือเหอหนาน”

ถังฟั่นถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “เท่านี้ เหตุการณ์ทุกอย่างก็เชื่อมโยงกันได้แล้ว ก่อนหน้านี้เราสันนิษฐานไว้ไม่ผิด ผู้ที่สังหารเจิ้งเฉิงมีสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งก็คือฮุ่ยเหนียงกับเจิ้งจื้อ อีกฝ่ายคาดว่าคงเป็นเจิ้งซุนซื่อหลานสาวของอิงเฉิงป๋อ นางบงการเฝิงชิงจือ พวกฮุ่ยเหนียงใช่ว่าจะรู้เรื่องที่เจิ้งซุนซื่อทำ แต่นางกลับรู้ความเคลื่อนไหวของพวกฮุ่ยเหนียง ฉะนั้นจึงให้คนงานร้านขายยาคนนั้นผสมโรงด้วยอีกแรง”

“ป้ายวิญญาณสกุลเฝิงขาดไปสอง คนหนึ่งคือเฝิงชิงจือ อีกคนน่าจะเป็นบุตรชายลำดับที่สามคนนั้น ดูจากการกระทำของชิงจือแล้ว บุรุษผู้นั้นน่าจะยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งเคยได้รับการคุ้มหัวจากอิงเฉิงป๋อ ฉะนั้นเฝิงชิงจือจึงได้ช่วยเจิ้งซุนซื่อสังหารคน หนำซ้ำหลังจากมีคนล่วงรู้ความลับ ยังปลิดชีพตนเองเพื่อปกป้องเจิ้งซุนซื่ออย่างไม่เสียดาย เพราะนางรู้ว่าน้องชายของตนเองมีคนดูแล แต่หากนางให้การซัดทอดถึงเจิ้งซุนซื่อ นอกจากตัวนางเองก็ยากจะรอดชีวิต เจิ้งซุนซื่อย่อมต้องแก้แค้นเอากับน้องชายของนางแน่” สุยโจวกล่าว

หายากที่เขาจะพูดจามากมายเช่นนี้ในอึดใจเดียว ทว่าสีหน้ากลับปราศจากความเปลี่ยนแปลง ถังฟั่นรู้สึกอยากหัวเราะ แต่ก็อดทนไว้ พยักหน้าขึงขังแล้วกล่าวว่า “ถูกต้อง ดูจากเวลาแล้ว พวกฮุ่ยเหนียงน่าจะวางยาก่อน แต่เจิ้งซุนซื่ออาจรู้สึกว่าสัมฤทธิผลช้าเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงลอบกระตุ้นอีกทาง ทว่าเรื่องเหล่านี้ตอนนี้ยังเป็นเพียงการสันนิษฐานเท่านั้น หากหาตัวน้องชายของเฝิงชิงจือหรือคนงานคนนั้นพบ ก็จะยืนยันความคิดของพวกเราได้”

สุยโจวย่นคิ้ว “คนงานร้านขายยาผู้นั้นน่าจะหาไม่พบ กุญแจสำคัญเช่นนั้นเกรงว่าจะถูกคนสกุลซุนฆ่าปิดปากไปแล้ว แต่หากเป็นน้องชายของเฝิงชิงจือน่าจะลองตามหาดูได้ เพื่อเป็นการบีบบังคับชิงจือ เจิ้งซุนซื่อต้องจัดสรรให้น้องชายของนางอยู่ในสายตาตนและในที่ที่เฝิงชิงจือวางใจได้แน่นอน”

ถังฟั่นกล่าวย้ำ “เวลานี้ปิดข่าวการตายของเฝิงชิงจือไว้ก่อน ให้คนภายนอกรู้เพียงว่านางอยู่ที่กองปราบฝ่ายเหนือ แล้วค่อยจับตาดูคนของจวนอู่อันโหวให้ดี เฝิงชิงจือถูกจับกุม ย่อมมีคนกังวลว่านางอาจพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดจนเผยพิรุธแน่”

สุยโจวตอบอืมและไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก ลุกออกไปสั่งการผู้ใต้บัญชาทันที

หน่วยองครักษ์เสื้อแพรและสำนักบูรพาแฝงกายอยู่ทุกที่ จัดสรรกำลังของตนเองกระจายทั่วเมืองหลวง จับตาเหล่าขุนนางอย่างลับๆ เพื่อสะดวกในเวลาที่จักรพรรดิต้องการ สามารถรายงานความเคลื่อนไหวได้ทันที ซึ่งนี่เป็นธรรมเนียมเก่าแก่ที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ

ตอนที่เขาย้อนกลับมา ก็เห็นถังฟั่นฟุบหลับอยู่บนโต๊ะไปแล้ว

ถังฟั่นไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อครู่จึงต้องฝืนตั้งสติไว้เพื่อตรวจอ่านเอกสารคดี เวลานี้ผ่อนคลายลงแล้วก็หลับทันที

ตอนแรกสุยโจวตั้งใจจะถามเขาเกี่ยวกับเรื่องคดี พอเห็นสภาพนั้นของถังฟั่นก็ไม่สะดวกจะเข้าไปปลุกให้ตื่น จึงนั่งลงอีกทาง จัดเก็บเอกสารที่พวกเขาสองคนรื้อค้นจนกระจัดกระจายเมื่อครู่ให้เรียบร้อย

เขาถือกองเอกสารเดินไปยังชั้นวาง สายตากวาดมองผ่านใบหน้าของถังฟั่นอย่างไม่ตั้งใจ แสงสว่างสาดส่องเข้ามาจากด้านนอก อาบไล้อยู่บนร่างของชายหนุ่มดูแล้วให้รู้สึกถึงความอบอุ่น แล้วยังสว่างจ้ากระจ่างชัดทั่วทุกอณู ยิ่งขับให้ดวงหน้าของเขาราวกับหยกน้ำงามไร้ตำหนิ

ยามปกติไม่สังเกต เวลานี้เมื่อมองอีกครั้งโดยอาศัยแสงสว่างและตำแหน่งที่เหมาะเจาะ จึงมองเห็นไม่ยากว่าขนตาของถังฟั่นทั้งยาวและดกหนา ซ้ำยังช้อนงอนเล็กน้อย เพียงแต่ขอบตาล่างดำคล้ำจางๆ เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเมื่อคืนพักผ่อนไม่พอ

พินิจอยู่ครู่หนึ่ง สุยโจวก็ละสายตา วางเอกสารกลับที่เดิม แล้วหับประตูห้องปิดตามหลัง

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดใน รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 1 ฉบับเต็ม

ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป, JamClub หรือคลิกสั่งซื้อได้ที่ JamShop

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com